ตอนที่ 37 เหมือนเสือที่ปกป้องลูก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 37 เหมือนเสือที่ปกป้องลูก
ต๭นที่ 37 เหมือนเสือที่ปกป้องลูก “ข้า...”หลินซีนเยียนลำบากที่จะพูดจึงลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่คนหลอกง่าย แต่ถ้าบอกความจริงไปล่ะ?บอกว่าวิญญาณของเธอมาจากอีกภพหนึ่งเหรอ? หากบอกไปแล้ว กลัวว่าเขาจะยิ่งไม่เชื่อกว่าเดิมอีก “พูดมา!”ความอดทนของโม่จื่อฟงเกือบถึงขีดสุด แรงที่มือได้เพิ่มหนักขึ้น “ปล่อยข้าก่อน ข้าจะบอกเจ้าตามจริง”หลินซีนเยียนบังคับพูดออกมา ตอนนั้นรู้สึกว่าเธอได้เหมือนตายไปแล้วจริงๆ โม่จื่อฟงก็ค่อยๆ ปล่อยมือออก“ที่จริง ข้ารู้เรื่องการออกแบบอาวุธทหาร” “อ้อ?”โม่จื่อฟงเหยียดยิ้มที่มุมปาก รอให้เธอพูดต่อ หลินซีนเยียนเอ่ยขึ้น“ที่จริง ตอนข้ายังเด็กเคยติดตามผู้สูงส่งท่านหนึ่งร่ำเรียนการประดิษฐ์อาวุธ เช่นนั้นย่อมมองภาพวาดอาวุธนั้นออก ข้าประกอบภาพวาดอาวุธหน้าไม้นั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะการออกแบบอาวุธมันดูคุ้นมาก จึงพอเดาโครงสร้างอย่างคร่าวๆ ได้ ที่ข้าพูดได้ก็บอกไปหมดแล้ว ข้าสาบานได้ว่าข้าไม่ใช่คนของสำนักเทียนจี ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่สามารถพูดได้ หากฐานะของอาจารย์รั่วไหลไป ชีวิตข้าคงหาไม่หาแน่ ” เธอหวังว่าคำพูดจริงครึ่งไม่จริงครึ่งจะสามารถจบเรื่องนี้ได้ “เข็มธนูที่เจ้ายิงทำร้ายคนในเรือนของข้านั้น เจ้าทำมันเองรึ?”โม่จื่อฟงถาม หลินซีนเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง นึกตอนที่เธอถูกขังอยู่ในเรือนบนเขาได้ เธอเคยใช้ของเล่นที่ตนเองทำขึ้นทำร้ายคนในเรือนนั้นตอนนี้จึงเริ่มกลัวว่าช่วงเวลานั้นจะเป็นช่องโหว่ได้ เธอพยักหน้า โม่จื่อฟงก็ไม่ได้ถามอะไรอีก และหันหน้าไปมองในลานบ้าน ศึกในลานบ้านใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว คนชุดดำส่วนใหญ่ล้มอยู่บนพื้น มีคนส่วนน้อยที่บุกเข้าไปโจมตีอีก หนึ่งในนั้นก็ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากับตาเฒ่าสวี่เก๋อ “ปล่อยมันไปหรือยัง?”โม่จื่อฟงถามจินมู่อย่างเย็นชา “ทูลท่านอ๋อง ปล่อยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”พอจินมู่ตอบเสร็จก็สั่งการให้เริ่มเผด็จศึก “อืม ปล่อยมันกลับไป จะสะกดรอยตามมันไปถูก ”โม่จื่อฟงโบกมือสั่งการไป คนที่รอบๆ ก็กระจายตัวออกไปในทันที สายตา ของเขามองไปยังเนินเขาลูกเล็กที่อยู่ข้างๆ กับลานบ้าน เห็นเขายิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวแล้วสั่งคนที่อยู่ด้านข้าง“ส่งธนูมาให้ข้า” ถึงจะไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่จินมู่ก็รีบส่งธนูไปให้ทันที โม่จื่อฟงรับธนูมา นิ้วมือที่เรียวยาวลูบสายธนูที่แน่นหนา จากนั้นเขาก็ง้างธนูแล้วยิงออกไป ในชั่วพริบตา ลูกธนูที่อยู่ในมือได้พุ่งตรงอย่างรวดเร็วจนประกายเป็นแสงสว่าง แนวโค้งของลูกศรที่สวยงามได้เข้าไปในความมืด สุดท้ายด้วยพลังที่ทรงอานุภาพก็พุ่งเข้าไปในป่าตรงเนินเขาลูกเล็กที่อยู่ไกลมาก ผู้คนต่างไม่ทราบว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พอเห็นเงาคน 2 คนวิ่งอุตลุตจากเนินเขาลูกเล็กนั้น มีคนหนึ่งที่คล้ายกับได้รับบาดเจ็บ ตอนที่กำลังวิ่งหลบหนีก็มีรอยเลือดสดสีแดงกระเด็นออกมา ความรู้สึกเฉียบแหลมมาก! คนนอกที่ไม่เป็นวรยุทธอย่างสมบูรณ์แบบหลินซีนเยียนนึกภาพไม่ออกเลยว่าระยะห่างขนาดนั้น ทำไมเขาถึงรู้ว่ามีคนซ่อนอยู่ในนั้นได้? พอเห็นแบบนั้นแล้วหลินซีนเยียนก็รู้สึกกลัว พอกลัวก็ไม่กล้าลองดีกับโม่จื่อฟงอีก “จัดการที่นี้ให้เรียบร้อย”พอโม่จื่อฟงสั่งการไปก็เดินอย่างสง่าออกไปด้านนอก จากนั้นก็หันหน้ามาโบกมือเรียกหลินซีนเยียน คนที่อยู่ใต้ชายคาบ้านเดียวกัน หากอยากจะรักษาชีวิตอันน้อยนิดต้องรู้จักการก้มหัวให้ หลินซีนเยียนไม่ลังเลที่จะรีบวิ่งสะบัดก้นเข้าไปหาทันที โม่จื่อฟงกวาดตามองมาอย่างรู้สึกสนใจ มุมปากก็เหยียดยิ้มขึ้น โม่จื่อฟงกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วก้มตัวยื่นมือไปหาหลินซีนเยียน “ขึ้นมา” “เออ...”หลินซีนเยียนรู้สึกหวาดระแวงที่จู่ๆ เขามีท่าทีเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ เพียงส่งมือให้เขาแล้วขึ้นไปนั่งด้านหน้าของเขา ม้าออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานภาพกลุ่มคนก็ได้หายไปจากสายตาแล้ว ยอดเขาที่อยู่ห่างไกลจนไม่มีใครพบเห็นว่ามีเงาคน 2 คนที่กำลังอำพรางตัว เพื่อจับตามองอยู่ตรงแถวนั้น ใต้ต้นไม้ใหญ่ อินฉีกำลังโรยผงยาจินชวงใส่ลงบนไหล่ของจิ้นฉู่ “อ๋องอู่เสวียนนี่ มีพลังการสังเกตที่เฉียบแหลมจริงๆ” “เก่งมากจริงๆ พวกเราอยู่ไกลขนาดนั้นยังถูกเขาหาเจออีก ธนูที่เขายิงมา ข้ากลับหลบไม่พ้น”จิ้นฉู่ถ่มน้ำลายลงพื้นแต่ในใจรู้สึกหวาดผวา “อืม อ๋องอู่เสวียนร้ายกาจกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ซะอีก คนเช่นนี้ หากกลับเมืองหลวงไป ไม่ควรเป็นศัตรูด้วยอย่างยิ่ง”อินฉีถอนหายใจ จิ้นฉู่เห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขาก็รู้สึกลำบากใจ“แล้วแม่นางหลินคนนั้นเล่า?” “ดูจากเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมแล้ว นางไม่เต็มใจอยู่ข้างกายอ๋องอู่เสวียน แต่นางชำนาญเรื่องอาวุธ หากมีโอกาสเก็บไว้กับตัวก็คงจะดีอย่างมาก”ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่สายตาของเขาทนไม่ได้ที่จะมองไปยังทิศทางที่โม่จื่อฟงได้หายไป ข่าวลือที่ว่าอ๋องอู่เสวียนเป็นคนเจ้าสำราญ แต่คนที่กุมอำนาจอย่างพวกเขาแล้ว ใครจะรู้ว่าคนเจ้าสำราญอย่างอ๋องอู่เสวียนอาจจะเป็นเพียงการแสดง หากเป็นเรื่องจริง จากนี้ไปอ๋องอู่เสวียนคงไม่ได้หยุดแค่ผู้หญิงคนเดียวอย่างแน่ ค่ำคืนอันมืดมิด ไม่รู้ว่ายามใดแล้ว ตอนนี้บนท้องฟ้าถึงจะมีดวงดาว มันกลับไม่ส่องเปล่งประกายระยิบระยับ แต่ทำให้คนแหงนหน้าขึ้นไปมอง ตอนที่โม่จื่อฟงพาหลินซีนเยียนกลับมาที่โรงเตี๊ยม ยังไม่ได้ลงจากม้าก็เห็นเงาคนหนึ่งวิ่งพุ่งมาเข้ามาอย่างโซซัดโซเซ พอมองอย่างละเอียด กลับเป็นฉินอี้เซิงที่ใบหน้ามีแต่รอยฟกช้ำดำเขียว “พี่!”เมื่ออี้เซิงเห็นหลินซีนเยียนก็วิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ อีกนิดเดียวเกือบจะโดนกีบดีดเอา หลินซีนเยียนก็ตกใจเสียงร้องที่เรียกมา เขาไม่เคยเรียกเธอว่าพี่! คำเรียก ‘พี่’ กลับทำให้หลินซีนเยียนดีใจจนอยากจะร้องไห้ เขายืนอยู่ข้างหน้าม้าอย่างหวาดกลัว เสื้อผ้าบนตัวถูกฉีดขาด ทำให้เห็นรอยทุบตีถีบเตะอย่างชัดเจน เขาไม่ได้แสดงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย กลับยิ้มแย้มอย่างดีใจ เขายิ้มหน้าบานจนน้ำตาคลอ หลินซีนเยียนรู้สึกปวดร้าวในใจ พยายามจะลงจากม้า โม่จื่อฟงแค่นเสียงและกดที่ตัวของเธอ“ร้อนใจไปทำไม เขาก็ยังยืนดีๆ อยู่ตรงนี้ไม่ใช่รึ?” “นั่นเรียกว่าดีๆ รึ?”หลินซีนเยียนโกรธจนหน้าแดง ชี้ไปยังรอยแผลบนตัวของอี้เซิง หันหน้ามาตะคอกใส่โม่จื่อฟง“เจ้าไม่เห็นแผลบนตัวของเขารึ? เขายังเป็นเด็กอยู่ คนไหนกันที่ลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้!” เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอี้เซิง นางกลับเปลี่ยนเป็นเหมือนแม่เสือที่คอยปกป้องลูกเสือตัวหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าชายที่อยู่ตรงหน้าอารมณ์เริ่มไม่ดี “เหอะ บาดแผลแค่ภายนอก เจ้าโมโหขนาดนี้เลย!หลินซีนเยียน เจ้าอย่าลืมว่าเจ้ากำลังพูดอยู่ใคร?”หน้าของโม่จื่อฟงดำขรึมลง มองไปที่อี้เซิงด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับคมมีด “เชื่อหรือไม่หากเจ้าพูดอีกคำหนึ่ง เปิ่นหวางจะให้เขาตายอยู่ตรงนี้ทันที” เพราะว่าคำขู่ ทำให้หลินซีนเยียนฝืนตนเองให้ใจเย็นลง เธอกัดปากแน่นไม่กล้าพูดอีก 
已经是最新一章了
加载中