ตอนที่ 66 หักแขนตนเอง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 66 หักแขนตนเอง
ต๭นที่ 66 หักแขนตนเอง เป็นเพียงบุคคลที่มีอยู่แค่ในตำนานของคนทั่วไปเท่านั้น ไม่นึกว่าจะปรากฎตัวขึ้นที่ด้านหน้าของพวกเขาจริงๆด้วย? ฝูงชนต่างตกตะลึง ทันทีที่ได้สติกลับมาคือความหวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั่งบุคคลอย่างฮูเหยียนหลิวหยุนก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุ พวกเขาเป็นแค่ลูกหลานของข้าราชสำนักสกุลใหญ่ทั่วๆไป ไหนเลยจะกล้าเกิดความขัดแย้งกับพระพุทธรูปอันใหญ่โต (เปรียบเป็นผู้มีอำนาจเหนือล้น) สองผู้ใจกล้านึกอยากจะวิ่งหนีหันหลังกลับ เมื่อฮูเหยียนหลิวหยุนได้เห็น ก็มองพวกเขาด้วยสายตาหยามเหยียด แต่ทว่าเมื่อเทียบความการสูญเสียความน่าเชื่อถือจากฮูเหยียนหลิวหยุนแล้วจึงได้พบว่าชีวิตของตนและผลประโยชน์แห่งสกุลของตนต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่า “ขออภัยด้วยหลิวหยุน ข้านึกขึ้นมาได้ว่าบิดาของข้ากำลังรอข้ากลับไปทบทวนหนังสือ ข้า..ข้าไปก่อนล่ะ” “ข้า...ข้าก็เหมือนกัน ข้าลืมว่าวันนี้เป็นวันเกิดของมารดาข้า” แต่ละคนได้หาข้ออ้างแก้ต่างให้กับตนเอง อธิบายแก่ฮูเหยียนหลิวหยุนไปมั่วๆเสร็จก็วิ่งหนีหายไป มีเพียงอู่ฉือยังยืนอย่างโง่งมอยู่ที่ตรงนั้นไม่จากเขาไปไหน ความเป็นจริงก็คือความโหดร้าย ก่อนหน้านี้ฮูเหยียนหลิวหยุนยังถูกห้อมล้อมไปด้วยพรรคพวกดั่งเช่นดาวล้อมเดือน ทว่าในชั่วพริบตาที่หันหลังก็ทรยศหักหลัง เช่นนี้จึงเรียกได้ว่ากงกรรมกงเกวียน หลินซินเยียนดูเหมือนเศร้าใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าการปล่อยให้คนเหล่านั้นหนีไปก็น่าเสียดายอยู่บ้าง เมื่อได้ฟังความนัยในคำพูดของคุณชายเหล่านั้น สตรีที่เคยถูกย่ำยีคงไม่ใช่น้อย เรื่องเลวร้ายที่เคยได้กระทำก็คงกองเป็นพะเนินเทินทึก เพียงแต่ นางมองโม่จื่อเฟิง คนผู้นี้ไม่ใช่ทั้งผู้ช่วยชีวิตและไม่ใช่ทั้งผู้พิพากษา จะคาดหวังให้เขาลงโทษความชั่วร้ายงั้นหรือ? ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ฮูเหยียนหลิวหยุนเห็นอู่ฉือที่ยังไม่ไปไหน ก็คำรามใส่ด้วยความโกรธ “ทำไมเจ้าจึงไม่ไป? ไม่กลัวว่าข้าจะพ่วงเจ้าไปด้วยหรือ?” อู่ฉือพลางส่ายศีรษะตอบ “เป็นพี่เป็นน้อง มีทุกข์ย่อมร่วมต้าน” เขาหันไปหาโม่จื่อเฟิง ประสานมือคารวะกล่าว “หวังว่าท่านอ๋องจะทรงอภัยโทษ ด้วยความสัตย์จริงพวกข้าไม่ทราบว่าแม่นางผู้นี้คือสตรีของท่าน หากได้ทราบก่อนหน้านี้พวกเราล้วนมิกล้าที่จะดูหมิ่นนางตามใจชอบอย่างแน่นอน" หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เคยเห็นสีหน้าอู่ฉือมาก่อน แม้แต่หลินซินเยียนก็รู้สึกว่าการที่อู่ฉือที่เสนอตัวขึ้นมาในยามนี้และยังกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ดูเหมือนว่ากลับมีความกล้าหาญอยู่บ้าง ดังนั้นนางจึงยืนปากเบะใส่กับพฤติกรรมอัปยศของสุภาพบุรุษประเภทนี้ ทว่านางรั้งแขนเสื้อของโม่จื่อเฟิงอย่างเงียบๆ "ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าคุณชายเหล่านี้คงมิได้เจตนา เช่นนั้นก็นับว่าแล้วกันไปเถิดเพคะ จะดีชั่วอย่างไรพวกเขาก็เป็นบุตรชายคนเดียวของฮูเหยียนอ๋อง อีกผู้หนึ่งก็ทายาทสายตรงของอู่หนิงโหว สร้างปัญหาถึงพวกเขาก็เท่ากับล่วงเกินคนเพคะ” “อ้อ งั้นหรือ? โม่จื่อเฟิงเหล่สายตามองนาง “เจ้าจะให้ข้าปล่อยพวกเขา?” หลินซินเยียนพยักศีรษะ ดูเหมือนกำลังเห็นด้วยอย่างจริงจัง โม่จื่อเฟิงกลับหัวเราะขึ้นมาทันที เขายื่นมือไปบีบคางของนาง ในดวงตาทั้งคู่ลึกลับราวกับน้ำแข็ง "เปิ่นหวางไม่เคยเตือนเจ้าหรือว่าอย่าใช้อุบายเช่นนี้ต่อหน้าเปิ่นหวาง! สิ้นเปลืองแรงมากขนาดนี้ มิใช่ว่าเจ้าคิดจะยืมมือเปิ่นหวางจัดการคนพวกนี้หรอกหรือ? แล้วอย่างไร ตอนนี้จะให้เปิ่นหวางปล่อยพวกเขาไป?" หลินซินเยียนตกใจพลันเบิกตาค้างมองโม่จื่อเฟิงที่อยู่ตรงหน้า นางยังดูแคลนเขาเกินไป ที่แท้เขานั้นดูออกตั้งแต่แรกแล้ว! ก็อย่างว่า ถ้าหากถูกคำพูดของคนใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆเช่นนั้น โม่จื่อเฟิงก็คงไม่ใช่อู่เซวียนอ๋องผู้มีชื่อเสียงร่ำลือแล้วล่ะ แต่การที่เขายังคงตามนางมาถึงที่นี่ คงอธิบายได้ว่า เขายินดีจะเป็นมีดในมือของนาง เพื่อให้นางได้ยืมใช้สักครั้ง “เปิ่นหวางจะถามอีกครั้ง เจ้าต้องการให้เปิ่นหวางจัดการพวกเขาหรือว่าให้ปล่อยพวกเขา?” มือของโม่จื่อเฟิงเพิ่มแรงบีบขึ้นอีกเล็กน้อย สามารถเห็นได้ว่าใต้คางของนางหลงเหลือรอยนิ้วมือทิ้งไว้ บนต้นพลัม/ต้นเหมยบานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้ ในสายลมยามค่ำคืนที่เย็นเยียบ มีหลายดอกที่แอบบานอย่างลับๆ กลิ่นหอมที่ปล่อยออกมาราวกับเป็นมนต์เสน่ห์ไร้สำเนียง ทำให้เขาโน้มตัวดูภาพของนางที่ทำให้เกิดกลิ่นบางๆแสนคลุมเครือ เขาค่อยๆก้มศรีษะอย่างช้าๆ ริมฝีปากบางเข้าใกล้ข้างใบหูของนาง และลมหายใจอุ่นร้อนได้หายใจรดข้างหูของนาง เขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบออกมาหนึ่งคำ "พูด!" หลินซินเยียนกลืนน้ำลาย เมื่อสายตาฉับไวเห็นฮูเหยียนหลิวหยุนและอู่ฉือเตรียมถือโอกาสจะลาจาก จึงตัดสินใจในฉับพลัน "หม่อมฉันหวังว่าท่านอ๋องจะสามารถช่วยหม่อมฉันจัดการพวกเขา" “ดี” โม่จื่อเฟิงปล่อยมือออกทันที ยามที่หันร่างกลับมา เพียงสายตาก็ทำให้สองคนที่กำลังคิดหนีหยุดเท้าลง "หักแขนออกหนึ่งข้าง พวกเจ้าจึงค่อยไปได้" เขากล่าวอย่างราบเรียบ ราวกับไม่เคยมีตัวตนของฮูเหยียนหลิวหยุนกับอู่ฉืออยู่ในสายตา ในหนานเยว่ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ นอกจากผู้ที่มีตำแหน่งอยู่ในวังหลวงก็เหลือเพียงเขา..อู่เซวียนอ๋อง ฮูเหยียนหลิวหยุนกับอู่ฉือสบตากันและกัน แผ่นหลังทั้งสองคนล้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น แต่จะหนีไปเช่นนี้หรือ? มีข่าวร่ำลือมาว่าวรยุทธ์ของอู่เซวียนอ๋องยอดเยี่ยมมาตั้งแต่กำเนิด เคยชนะในสนามรบมากกว่าร้อยครั้ง อาศัยพวกเขาทั้งสองเดิมทีไม่คิดหนี แต่กลับต้องหักแขนตนเองงั้นหรือ? ท้ายที่สุดใครที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ โม่จื่อเฟิงถอนหายใจพลันกล่าวว่า “ดูพวกเจ้า ช่างไม่เห็นแก่คำพูดของเปิ่นหวางเอาเสียเลย ช่างเถอะ พรุ่งนี้เปิ่นหวางจะเข้าวังกราบทูลฝ่าบาท ให้ฝ่าบาททรงดำเนินการตัดสิน เหตุผลอันใดองค์ชายหลิวหยุนและเสี่ยวโหวเหย่จึงเกี้ยวพาราสีสาวใช้ของข้าอู่เซวียนอ๋อง ในราชวงศ์มีผู้ใหญ่ไม่น้อยที่สามารถแก้ไขปัญหาของเปิ่นหวางได้” นี่คือการข่มขู่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน หากเรื่องนี้เลื่องลือไปถึงพระกรรณขององค์จักรพรรดิ แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับข้าราชสำนัก? เสนาบดีคนใดบ้างที่ไม่มีศัตรูทางการเมือง เมื่อเรื่องนี้ถูกนำมาเปิดเผย หลายคนคงถือโอกาสราดน้ำมันบนกองไฟ นอกจากนี้อิทธิพลของอู่เซวียนอ๋องในราชสำนักคงมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าจะทัดทาน อู่ฉือกัดฟันทำการคารวะแก่โม่จื่อเฟิง หลังจากนั้นจึงยกกำปั้นขึ้นทุบบนไหล่ของตน เพียงได้ยินเสียงดัง "ครึ่ก" นั่นคือเสียงของกระดูกที่หัก เขาส่งเสียงอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นจึงกล่าวกับฮูเหยียนหลิวหยุน "หากเจ้าไม่สามารถลงมือได้ ข้าจะช่วยเจ้า" ฮูเหยียนหลิวหยุนเปิดตามองดูอู่ฉือลงมือตนเองอย่างโหดร้าย ดวงตาทั้งสองจ้องมองด้วยนัยย์ตาที่แดงก่ำ เขามองไปยังโม่จื่อเฟิงด้วยความเกลียดชังและหันมามองอู่ฉือ จึงกัดฟันให้แขนของตนออกมาให้จัดการ พวกเขาทั้งสองลากแขนอันบาดเจ็บที่ห้อยลงมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ประคองกันและกันเดินจากไปโดยไม่เหลือบมองโม่จื่อเฟิงอีก ฉากเบื้องหน้านี้ทำให้หลินซินเยียนเห็นถึงอิทธิพลของโม่จื่อเฟิงเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ แม้กระทั่งคนอย่างฮูเหยียนหลิวหยุนและอู่ฉือสามารถเลือกได้แค่หักแขนตนเพื่อแลกกับการปล่อยพวกเขาไป นางจะสามารถได้รับความไว้วางใจจากเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วค่อยถอนตัวได้หรือไม่? ทันใดนั้นความสับสนได้เกิดขึ้นภายในใจของนาง เรื่องเช่นนี้นางรู้มานานแล้ว ในตอนแรกนางเองก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุเขาอย่างง่ายดาย “พอใจหรือยัง?” โม่จื่อเฟิงหันกลับมาถามพลางยกมือขึ้นลูบไล้ใบแก้มของนาง แล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเปิ่นหวางจึงช่วยเจ้าจัดการพวกเขา?” ว่ากันตามจริง หลินซินเยียนก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ โม่จื่อเฟิงเองก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะสามารถตอบได้ จึงได้กล่าวขึ้นมาเอง “เพราะว่าตอนนี้เจ้าคือสัตว์เลี้ยงของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางผู้นี้ชอบปกป้องเป็นที่สุด ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงแต่ก็ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้ามามีส่วนร่วม ใครมาแตะต้องสิ่งของของเปิ่นหวาง ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน ดังนั้นเจ้าควรที่จะยินดี สำหรับเปิ่นหวางแล้ว จนกระทั่งบัดนี้เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่เลวเลยทีเดียว
已经是最新一章了
加载中