ตอนที่ 117 เหมือนครอบครัว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 117 เหมือนครอบครัว
ต๭นที่ 117 เหมือนครอบครัว “ศิษย์ใหม่?” ชายทั้งสองคนตะโกนพูดเสียงพร้อมเพรียงกัน ชายที่ขี้อายคนก่อนหน้านั้นก็พูดโพล่งขึ้นมากับท่าเยว่ “ อาจารย์ นี้มันเวลาไหนแล้ว ท่านยังลำเอียงอยู่หรือ? เมื่อกี้ยังจะให้นางมารับผิดชอบข้า พอมาตอนนี้กลับบอกว่าข้าไม่คู่ควรกับนาง ท่านกล้าลำเอียงอีกหรือ?” “มีอะไรที่ไม่กล้า? ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างพวกเจ้าสองฟังข้าให้ดี ต่อไปใครกล้ารังแกศิษย์น้อง ได้เห็นดีกับข้าแน่!” ท่านเยว่ยืนเท้าเอว พอหลังจากเตือนทั้งสองคนนั้นไปรอบหนึ่งแล้วก็หันหน้ามาแนะนำให้หลินซีนเยียน “ศิษย์ตัวเล็กของอาจารย์ มาพบศิษย์พี่ใหญ่เซียวฝานกับศิษย์พี่รองอู๋อี้ ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ก็ไปลงที่พวกเขาได้ตลอดเวลา อาจารย์จะเป็นคนช่วยเจ้าเอง! คำพูดของท่านเยว่ ทำให้เซียวฝานและอู๋อี้ร้องเสียงโหขึ้นมาทันที หลินซีนเยียนยิ้มแล้วพยักหน้า คิดว่าเข้าใจท่านเยว่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยใช้เหตุผลซะเท่าไร เขาเพียงอยากจะปกป้องใครก็จะปกป้องคนนั้น “ขอบคุณท่านอาจารย์ เช่นนั้นตอนนี้กินได้แล้วหรือยัง ข้ารู้สึกหิวแล้ว” “นี่ยังจะให้พูดอีกหรือ” ท่านเยว่หันหน้าไปเรียกเซียวฝาน “เจ้าเป็นถึงศิษย์พี่ ย่างกวางป่าเสร็จแล้วทำไมไม่เอาขาให้ศิษย์น้องของเจ้าล่ะ? เจ้าไม่ได้ยินศิษย์ของเจ้าบอกว่าหิวหรือ? ไม่ได้อย่างจริงๆ” “อาจารย์….” เซียวฝานมองท่านเยว่อย่างรู้สึกน้อยใจ ท่านเยว่ก็ถลึงตาแล้วชี้ไปยังเนื้อกวางป่า เซียวฝานส่ายหน้าอย่างจำใจ หยิบกริชที่อยู่ข้างๆอู๋อี้ออกมา แล้วเฉือนเนื้อกวางไปพลางบ่นงึมงำไปพลาง “ศิษย์น้อง ดูเหมือนว่าต่อไปพวกเราสองคนคงถูกส่งเข้าตำหนักเย็นแล้ว” “อือ ชีวิตช่างแสนเศร้า แสนเศร้าเหลือเกิน” อู่อี้ก็ส่ายหน้าไปมา แต่เหมือนว่าหลินซีนเยียนจะเข้าใจผิด ตอนที่พวกเขาพูดอยู่ แม้ปากจะบ่น แต่ดวงตาบ่งบอกถึงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ในตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่าความหมายของการเป็นที่รักของท่านเยว่เท่าไร แต่สำหรับความรู้สึกเป็นกันเองระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์แบบนี้ เธอกลับชื่นชอบอย่างมาก ในที่นี่พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แต่มันเป็นมากกว่าครอบครัวเดียวกัน เธอรู้สึกว่าตนเองไดเตัดสินใจถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสสี่ท่านเยว่เป็นอาจารย์ที่เหมาะสมกับเธออย่างแท้จริง พวกเขานั่งล้อมวงกันกินเนื้อกวาง ท่านเยว่ไม่ใช่คนถือตัวอะไร เซียวฝานกับอู๋อี้ก็เป็นคนสบายๆ ปฏิบัติกับหลินซีนเยียนไม่ใช่แค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยกันอย่างถูกปากถูคอ เมื่อสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ เซียวฝานก็ยุยงให้ท่านเยว่นำสุราหอมที่ตนเองเก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดีออกมาดื่ม พวกเขากินเนื้อไปดื่มสุราไป เมื่อถึงยามดึกก็แยกย้ายกัน ถึงหลินซีนเยียนจะไม่ได้ดื่มสุรามาก แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งถึงความเรียบง่ายที่เป็นกันเองของพวกเขา ดังนั้นตอนที่ท่านเยว่ชี้ไปที่ห้องของเธอ เธอก็ล้มนอนลงบนเตียงอยู่นานยากที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา เมื่อมีลมหนาวพัดมากระทบกับบานหน้าต่างที่ยังปิดไม่สนิทอย่างเสียงดัง พอหลินซีนเยียนตะแคงหน้ามองไป จู่ๆก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง “ดื่มเหล้ามาหรือ?” โม่จื่อเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าไร หลินซีนเยียนลุกขึ้นมานั่งแล้วสวมเสื้อคลุมอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็นำกระบองเชื้อไฟมาจุดเทียน “เจ้ามาได้อย่างไร ดึกขนาดนี้” โม่จื่อเฟิงเดินมานั่งข้างๆเตียง แล้วยื่นมือไปดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก เธอจึงไปนั่งอยู่บนตักของเขา ทั้งสองก็อยู่ในท่าทางที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดในทันที “ยังไม่ตอบคำถามของเปิ่นหวางเลย” “ดื่มไปนิดหน่อยเพื่อให้อาจารย์ดีใจ” หลินซีนเยียนหดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย จมูกได้กลิ่นหอมจางๆบนตัวของเขา “อาจารย์…ดูเหมือนว่าท่านเยว่คนนี้จะถูกอกถูกใจเจ้าอย่างมาก” โม่จื่อเฟิงกอดเธอ มือทั้งสองข้างกลับไม่อยู่สุข ค่อยๆเรื่อยไปจับที่เอวของเธอ หลินซีนเยียนตัวแข็งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผ่อนคลายลงโดยฉับพลัน “จะว่าไปแล้วท่านเยว่กับศิษย์พี่ทั้งสองเป็นคนเรียบง่ายอย่างมาก” ใช่ เรียบง่ายมาก เหมือนกันพวกเพื่อนร่วมงานของเธอที่ร่วมแรงร่วมใจในการประดิษฐ์อาวุธด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หลินซีนเยียนชื่นชอบบรรยากาศการทำงานแบบนี้มากที่สุด เธอไม่คิดเลยว่าการอยู่ในภพนี้จะมีโอกาสแบบนี้ด้วย “ศิษย์พี่ เรียกได้สนิทเหลือเกิน ” โม่จื่อเฟิงแค่นเสียงแล้วใช้ออกแรงที่มือขึ้นอีก ทำให้หลินซีนเยียนรู้สึกเจ็บจนคิ้วขมวดทันที “ ไม่ให้เรียกศิษย์พี่แล้วจะให้เรียกอะไรหรือ? ท่านอ๋อง...หึงแล้วหรือ?” ไหนบอกจะให้อิสระเธอครึ่งปีไง? น้องสาวเจ้าสิ นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ โม่จื่อเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา แรงที่มือกลับผ่อนเบาลง จากนั้นสอดเข้าไปในเสื้อของเธอ “ เปิ่นหวางรู้สึกว่ายิ่งนานวันยิ่งชื่นชอบเรือนร่างของเจ้าจริงๆ” “เหอๆ...” หลินซีนเยียนหัวเราะของเก้อเขิน ชอบร่างกายของเธอ พูดได้น่าฟังจริงๆ “ท่านอ๋อง ท่านบอกจะให้อิสระข้าครึ่งปีไม่ใช่หรือ?” “เจ้าขอจากไปเป็นเวลาครึ่งปี แต่ไม่ใช่ออกจากเมืองเฟิ่งซีไม่ใช่หรือ? และก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เปิ่นหวางตามมา แต่เปิ่นหวางก็ไม่ได้มาเพื่อเจ้า แต่ในเมื่อเป้าหมายของเราคือสิ่งเดียวกัน คิดซะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็แล้วกัน ” ตอนที่โม่จื่อเฟิงพูดอยู่ เสื้อผ้าของหลินซีนเยียนก็ถอดออกหมดแล้ว เมื่อลมหนาวพัดมาทำให้หลินซีนเยียนตัวสั่นไม่หยุด เธอกัดปากเบาๆ ร่างกายคล้ายกับโดนไฟไหม้ เมื่อไรกันที่เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเขา? “ท่านอ๋อง....” เธอเรียกอย่างเบาๆ จากนั้นโม่จื่อเฟิงก็นอนทับมาบนร่างของเธอ เมื่อความรู้สึกเข้าสู่จุดลึกที่สุด เธอทนไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ย เขาชอบร่างกายของเธอก็แค่เพียงร่างกายเท่านั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงของพระราชทานที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับเธอกลับเป็นการทรมานที่โหดร้ายที่สุด เมื่อท้องฟ้าสว่าง โม่จื่อเฟิงก็ลุกขึ้นแล้วจากไป ก่อนจะจากไปก็ได้ชำเลืองมองหลินซีนเยียนอย่างเย็นชา ตอนที่เงาของเขาหายไปจากหน้าประตู หลินซีนเยียนก็ลืมตาขึ้นมา สายตาจ้องไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท เธอยิ้มขึ้นมาแล้ว รอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจแต่ในดวงตากลับมีน้ำตาซ่อนไว้อยู่ สำหรับเขาแล้ว ที่แท้เธอก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้อุ่นเตียงเท่านั้น หลังจากที่หลินซีนเยียนอาบน้ำเสร็จแล้วก็ไปในลานบ้าน เริ่มมีต้นกล้าสีเขียวอ่อนๆขึ้นในลานบ้าน เป็นสัญญาณบอกให้คนรู้ว่าฤดูใบไม้ผลิใกล้จะมาถึงแล้ว แม้จะยังรู้สึกหนาวอยู่แต่มันไม่มีความหนาวของฤดูหนาวแล้ว เธอทำท่ายึดเส้นยึดสายอยู่ในลานบ้านอย่างง่ายๆ จากนั้นก็ได้เสียงท่านเยว่ที่สวมผ้ากันเปื้อนเดินถือหม้อข้าวต้มออกมาจากห้องครัว พอเห็นรอยยิ้มเป็นกันเองบนใบหน้าเธอ “ นังหนู ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ?” “อาจารย์ตื่นเช้ากว่าข้าอีก อาจารย์ท่านทำข้าวต้มเองหรือ?” หลินซีนเยียนชี้ไปยังข้าวต้มของเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “ ข้าไม่ทำข้าวต้มให้พวกเจ้าก็คงจะหิวตายกันแน่” ท่านเยว่กลอกตาบน ถอนหายใจออกมา “ เอ๊ะ ศิษย์พี่รองของเจ้าทำอาหารเป็น แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าย่างเนื้อได้หอมอย่าบอกใครเชียว แต่เขาไม่ค่อยทำเท่าไร หากมีเหตุสุดวิสัยอะไรก็มีแต่อาจารย์ที่มาทำ” “ ไม่ใช่ ข้าหมายถึงว่าที่นี่ไม่มีศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นหรือ? ตอนที่ข้ามาได้ยินเฝิงซื่อไห่บอกว่าศิษย์ภายนอกจะรับผิดชอบเรื่องที่ยุ่งยาก ” หลินซีนเยียนพูดแล้วเดินไปช่วยถือโจ๊กแต่ท่านเยว่กลับส่ายหน้า “ช่างเถอะ ศิษย์ฝ่านนอกพวกนั้นล้วนโง่เหมือนหมู แล้วยังมาบอกว่าข้ามีนิสัยแปลกๆ ในเมื่อความคิดไม่เหมือนกันก็ไม่สามารถเข้าทางกันได้ ข้าเลยไล่พวกเขาไปไม่ให้อยู่ขวางหูขวางตาข้า จริงด้วย ข้าจะเอาข้าวต้มไปตั้งบนโต๊ะ เจ้ารีบไปปลุกศิษย์พี่ทั้งสองแล้วกัน ” ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ หลินซีนเยียนพยักหน้าแล้วขานตอบ “ได้” ห้องของเซียวฝานกับอู๋อี้อยู่ในมุมของลานบ้าน เมื่อหลินซีนเยียนไปถึงแล้วเคาะประตูเรียกกลับไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยสักห้อง “ไอ๊หยา นังหนู เคาะประตูแบบนั้นมันใช้ได้ทีไ่หนกัน? ” เมื่อท่านเยว่วางหม้อข้าวต้มเสร็จแล้วก็เดินมา จากนั้นหยิบของเล่นชิ้นเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากในเสื้อ เมื่อหลินซีนเยียนมองดูดีๆแล้ว ที่แท้ของเล่นชิ้นเล่นๆนั้นเป็นกระบอกไม้ไผ่ ตอนที่เธอกำลังสงสัยก็ได้ยินท่านเยว่เอ่ยขึ้นว่า “ เจ้าเพียงโยนของสิ่งนี้เข้าไปก็ได้แล้ว รับรองเลยว่าเขาจะสะบัดก้นวิ่งออกมาทันที ” “ มหัศจรรย์ขนาดนั้นเชียว?” หลินซีนเยียนหัวเราะ จากนั้นก็โยนของสิ่งนั้นเข้าไปในห้องของเซียวฝานตามที่ท่านเยว่บอกอย่างไม่ลังเลเลย ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียง ‘ตูม!’ ดังมาจากในห้องอย่างดัง ตามมาด้วยเสียงตะโกนแหกปากร้องของเซียวฝานและอู๋อี้ที่คลุมผ้าห่มแล้ววิ่งเปิดประตูออกมา “ ไอ้แก่!บอกว่าอย่าใช้หญ้าควันพิษมาทรมานพวกข้าแล้วไม่ใช่หรือ? ” กลิ่นเหม็นคละคลุ้งทั่วไปห้องก็ลอยตามเขาออกมาด้วย หลินซีนเยียนรีบถอยหลังแล้วปิดจมูก ที่แท้ของเล่นชิ้นเล็กนั้นข้างในได้ใส่แก๊สพิษอยู่ แต่พอคิดไปคิดมานั่นก็ไม่ใช่แก๊สพิษจริงๆ เป็นเพียงกลิ่นเหม็นเน่าเท่านั้น “หากไม่ใช่หญ้าควันพิษแล้วจะทำให้พวกเจ้าสร่างเมาได้อย่างไร? พอแล้ว ไม่ต้องพูดให้มากความ รีบไปกินข้าว อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันที่ไอ้แก่หยิ่นจะสอนค่ายกลให้กับพวกเจ้า แม้ไอ้แก่หยิ่นนั้นจะเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่เรื่องค่ายกลเก่งกาจอย่าบอกใครเชียว พวกเจ้าก็รีบไปเรียนซะ!” ท่านเยว่ตักข้าวไปพลางเรียกหลินซีนเยียนมานั่งกินข้าวไปพลาง เซียวฝานกับอู๋อี้ก็ดึงผ้าห่มขึ้นไปคลุมหัวแล้วเดินมานั่ง “อาจารย์ ท่านดูศิษย์น้องเพิ่งจะมาวันแรก ท่านก็ให้พวกข้าเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าศิษย์น้อง ต่อไปพวกเราศิษย์พี่จะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?” ตอนที่เซียวฝานพูดก็ยื่นมือออกมาจากผ้าห่มแล้วถ้วยข้าวต้มมาวางหน้าของตนเอง ที่แท้อู๋อี้ที่เป็นคนขี้อาย เมื่อเห็นหลินซีนเยียนนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นอย่างดูไม่ได้ ก็เลยยื่นมือไปรับถ้วยน้ำต้มอย่างเคอะเขิน “ภาพลักษณ์หรือ? ถ้าเจ้าอยากมีภาพลักษณ์ก็กลับห้องไปสวมเสื้อผ้าเลยไป” ท่านเยว่ถลึงตาใส่ทั้งสอง จากนั้นก็นั่งลงเริ่มกินข้าวต้มของตนเอง เซียวฝานแย้งขึ้น “ท่านพูดอะไรไม่เข้าท่า กลิ่นหญ้าควันพิษกว่ามันจะหายก็อีกกว่าครึ่งชั่มยาม ตอนนี้พวกข้าเข้าไปก็ถูกรมควันตายกันพอดี ข้าว่า ท่านเจตนาไม่อยากให้ศิษย์น้องรู้สึกดีกับพวกข้ามากกว่า” “ ข้าเจตนา แล้วยังไง? ท่านเยว่ซดข้าวต้มไปครึ่งถ้วย ดวงตาทั้งสองคู่จ้องแล้วแผดเสียงดังขึ้น “ตอนนี้นังหนูนี่เป็นลูกศิษย์ที่ข้าหวงแหนที่สุด แน่นอนว่าต้องปกป้องนาง ไม่ยอมให้พวกผู้ชายเฮงซวยอย่างพวกเจ้าหลอกลวงเอาได้ ” เซียวฝานกับอู๋อี้สบสายตากัน ความรู้สึกได้แสดงออกมาบนใบหน้า หลินซีนเยียนนั่งอยู่ด้านข้างก็ฉีกยิ้มโง่ๆ เธอชื่นชอบความสัมพันธ์ที่เข้ากันของทั้งสามคนนี้อย่างมาก ตอนที่กินข้าว ท่านเยว่ก็สอนกฎระเบียบของสำนักให้กับหลินซีนเยียน เดิมวิธีการสั่งสอนลูกศิษย์ของศาลาความลับแห่งสวรรค์จะชี้แจงโดยใช้เหตุผลอย่างมาก เพราะว่าผู้อาวุโสแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน เพื่อให้ลูกศิษย์มีการพัฒนาที่ดีกว่า ดังนั้นผู้อาวุโสแต่ละคนจะสลับกันชี้แนะให้กับศิษย์ฝ่านในที่เข้ามาใหม่ อย่างเช่นวันนี้ผู้อาวุโสสามท่านหยิ่นที่ชำนาญเรื่องค่ายกลก็ได้มาชี้แนะให้กับลูกศิษย์ฝ่ายใน ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปหาผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสสามจะอยู่ข้างใต้น้ำตกที่สูงถึง 10 จั้ง เมื่อมองไปไกลๆแล้วก็เห็นละอองน้ำเต็มไปด้วยหมอกควัน ทำให้รู้สึกราวกับเป็นดินแดนแห่งเทพเซียน ด้านในของเรือนใหญ่มาก สามารถมองเห็นต้นเหมยได้ทั่วทุกสารทิศ ตอนเช้าตรู่จะมีกลีบดอกเหมยร่วงโรยลงมา พื้นดินก็กลายเป็นดั่งภาพวาด “ศิษย์น้อง เจ้าตามข้ามา อย่างมัวดูแต่ดอกเหมยล่ะ หากหลงเข้าไปในป่าเหมยแล้ว เจ้าจะออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน ” เซียวฝานเดินนำอยู่ข้างหน้าแล้วหันหน้ากลับมาเตือน หลินซีนเยียนพยักหน้าแล้วเดินตามไป “ ป่าเหมยนี่เป็นค่ายกลงั้นหรือ?” “มันแน่นอนอยู่แล้ว ที่ท่านหยิ่นเชี่ยวชาญที่สุดก็คือค่ายกล 10 ปีก่อน เคยใช้เพียงหินก่อนเดียวทำเป็นค่ายกลเพื่อปิดล้อมกองทัพของต่างแคว้น 3 วัน 3 คืน จนกว่ากองกำลังอีก 5 หมื่นนายจะมาถึงแล้วเข้าเผด็จศึก ” ตอนที่เซียวฝานพูดอยู่ ก็ได้เดินผ่านต้นเหมยด้วยท่าทางสง่างาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายก็คือ เขาสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัวเล็กกว่าของท่านเยว่ เห็นได้ชัดว่าไม่เข้ากันอย่างมาก เพราะว่าไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องได้ เขากับอู๋อี้ทำได้เพียงสวมใส่เสื้อผ้าของท่านเยว่แล้วเดินออกไป อู๋อี้เดินอยู่ด้านหลังของหลินซีนเยียน เมื่อเดินไปพลางดึงเสื้อลงมาอย่างงุ่มง่ามไปพลาง ราวกับคิดอยากจะดึงให้มันยาวจนสามารถปกปิดแขนที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งได้ “แม้ในบรรดาผู้อาวุโส ท่านเยว่เป็นคนที่เก่งกาจที่สุด เพียงแต่เรื่องค่ายกล ท่านหยิ่นถือว่าเป็นมือหนึ่ง แต่ว่าศิษย์น้อง เจ้าห้ามนับถือในท่านหยิ่นคนนั้นเด็ดขาด จำเอาไว้ว่า ท่านเยว่ของพวกเราเก่งกาจที่สุด ” “เอ่อ... ” ดูเหมือนว่าไม่ใช่ท่านเยว่ที่ชอบที่ปกป้อง แต่คนของผู้อาวุโสสี่ต่างก็ช่วยกันปกป้องคนในมากกว่าใช้เหตุผลซะอีก“เช่นนั้นแล้วอาจารย์ของพวกเราเคยประลองกับผู้อาวุโสสามหรือไม่? ” “ยังจะต้องประลองอีกหรือ?” เซียวฝานส่ายหน้าอย่างทะนงตัว “ในความเป็นจริงแล้ว ค่ายกลมันก็ไม่เท่าไรหรอก ก็คล้ายกับป่าเหมยนี้ แม้ว่าค่ายกลจะสุดยอด แต่ถ้าใช้แส้เก็บเกี่ยวที่พวกเราทำขึ้นมาตัดต้นไม้ในป่าเหมยนี้ให้หมด ในป่าเหมยก็ไม่มีค่ายกลอะไรแล้ว ” “ ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวได้อย่างมีเหตุผล! ” หลินซีนเยียนยกนิ้วโป้งให้ สำหรับเพื่อนที่ขี้อวด เธอไม่เคยใจแคบที่กล่าวชื่นชม “ แล้วแส้เก็บเกี่ยวนั่นคืออะไรหรือ? ฟังดูแล้วต้องสุดยอดอย่างแน่ ” “ เป็นสิ่งของที่พวกข้ากับอาจารย์ได้ร่วมกันประดิษฐ์ขึ้นมาปีที่แล้ว มันสุดยอดมากกว่าแส้เหล็กมาก แต่ละข้อได้ฝังใบมีดคมกริบ ทุกครั้งที่เหวี่ยงออกไปก็จะตัดสิ่งที่กีดขวางได้หมด แน่นอนรวมถึงหัวคนด้วย ” เซียวฝานหัวเราะอย่างชอบใจ แส้ที่ฝังใบมีดคม นี่เป็นไอเดียที่ดีมากอย่างหนึ่ง หลินซีนเยียนตาสว่างขึ้น รู้สึกเลื่อมใสทั้งสามคนเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเธอจะมีสหายที่เก่งกาจมากจริงๆ ตอนที่พวกเขาพูดคุยกันก็ออกมาจากป่าเหมยแล้ว ด้านหลังป่าเหมยจะเป็นแอ่งน้ำใต้น้ำตกนั่น ด้านข้างของแอ่งน้ำเป็นโต๊ะเล็กๆ 10 กว่าตัวตั้งไว้ บนโต๊ะเล็กๆนั้นก็มีคนนั่งเกือบจะเต็มแล้ว เซียวฝานพาอู๋อี้และหลินซีนเยียนเลือกโต๊ะที่ติดกับข้างหน้าสุด บนโต๊ะหน้าสุดมีไม้บรรทัดกับชาเขียวตั้งอยู่ น่าจะเป็นที่นั่งของผู้อาวุโสสาม แต่มันยังคงว่างอยู่ เห็นได้ชัดว่าคนยังไม่มา หลินซีนเยียนรินน้ำชาให้กับศิษย์พี่ทั้งสอง จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองคนที่อยู่รอบๆ ส่วนใหญ่คนที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะล้วนเป็นเด็กหนุ่ม มีเพียงคนมีคนที่มีอายุหน่อยอยู่ไม่กี่คน ราวกับว่าพวกเขาจะแบ่งขอบเขตนั่งห่างกันอยู่พอสมควร ในขณะที่เธอกำลังจะหันหน้าหนี ก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังขึ้นมา มีพวกเด็กหนุ่มหลายคนที่ตะโกนกันอย่างตื่นเต้น “ คุณหนูกลับมาแล้ว!” “ คุณหนูหยุนชิงกลับมาแล้ว? อยู่ไหนหรือ?” ส่วนอีกคนก็เอ่ยขึ้น จากนั้นทุกคนก็หันหน้าไปยังป่าเหมย ราวกับอยากเห็นอะไรออกมาจากป่าเหมยยังไงยังงั้น ได้ยิน ‘หยุนชิง’ 2 คำนี้ คิ้วของหลินซีนเยียนก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ส่วนเซียวฝานที่อยู่ข้างๆก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นด้วย เขาตบบ่าของอู๋อี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ยินหรือไม่ หยุนชิงกลับมาแล้ว! ” ใบหน้าของอู๋อี้ก็แดงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ กลับมาก็ดี” เพียง 4 คำนี้ราวกับบรรยายคำพูดได้อย่างมากมาย หลินซีนเยียนจ้องมองด้วยความแปลกใจ แล้วเอ่ยถามกับเซียวฝาน “ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองชื่นชอบเทียนหยุนชิงหรือ?” เอ่อ... เค้าโครงเรื่องนี้คงจะไม่เกินจริงไปหรอกน่ะ? มุมปากของเธอกระตุ้น หากอู๋อี้รู้เรื่องระหว่างเธอกับเทียนหยุนชิงขึ้นมาล่ะก็... “ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก ” อู๋อี้เอ่ยขึ้น แล้วยกชาร้อนขึ้นดื่มมาอย่างเคร่งเครียด เพียงแต่สายตากลับมองไปยังป่าเหมยอย่างไม่รู้ตัว หลินซีนเยียนฉีกยิ้ม แล้วก็ไม่เอ่ยถามอีก แค่นี้มันก็ชัดเจนพอแล้ว หรือไม่จริง? ในป่าเหมยก็มีเงาของคน 2 คนค่อยๆปรากฏออกมา ผู้หญิงสวมเสื้อสีแดงเดินอยู่ด้านหน้าคือเทียนหยุนชิง นางเดินออกมาจากป่าเหมยอย่างรวดเร็วโดยไม่มองใครเลย เพียงเดินตรงเข้ามาหาหลินซีนเยียน เทียนหยุนจือที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาแต่กลับมีบุคลิกที่โดดเด่นเดินตามหลังของนางมาด้วย เพียงวันนี้เขาไม่ใช่เด็กรับใช้ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนเป็นท่าทางของคุณชายสูงศักดิ์ ร่างกายและจิตวิญญาณของนั้นมีบารมีของคนชั้นสูง เขาก็มองมาทางหลินซีนเยียน “ ท่านประมุขน้อย! คุณหนูหยุนชิง!” ระหว่างทางที่พวกเขาเดินมาก็มีเหล่าศิษย์ฝ่ายในกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท แต่พวกเขาก็พยักหน้าอย่างเมินเฉย เมื่อเซียวฝานเห็นว่าทั้งสองคนกำลังเดินมาก็ใช้ดึงอู๋อี้ “ศิษย์น้อง เจ้าดู คุณหนูหยุนชิง พอกลับมาก็มาหาเจ้าเลย ดูเหมือนว่าในหัวใจนางต้องมีเจ้าอยู่แน่ ครั้งที่แล้วที่มอบภาพวาดอาวุธหน้าไม้ให้กับนางคงจะไม่เสียเปล่าซะแล้ว” “อาวุธหน้าไม้! ” หลินซีนเยียนจ้องมองอู๋อี้อย่างตกตะลึง รู้สึกราวกับเหลือเชื่อ “ภาพวาดอาวุธหน้าไม้นั่น เจ้าเป็นคนวาดหรือ? ” “ศิษย์น้องเคยได้ยินอาวุธหน้าไม้ด้วยหรือ? ” เซียวฝานหัวเราะแล้วเอ่ยถาม “ก็เคยได้ยินมาบ้าง” ใบหน้าของหลินซีนเยียนกระตุ้นขึ้นมาอย่างไม่หยุด ไม่เพียงแค่รู้ เธอยังเคยสร้างมันขึ้นด้วยตนเอง แต่ว่าเธอไม่เคยมาก่อนเลยว่าอู๋อี้ที่เป็นชายขี้อายคนนี้กลับเป็นคนออกแบบอาวุธหน้าไม้ ศิษย์ของท่านเยว่นี่ ที่แท้ก็พวกเพี้ยนๆที่มีพรสวรรค์! เซียวฝานเอ่ยขึ้นอีก “ นี่ เจ้าไม่รู้อะไร ไอ้ทึ่มอย่างเจ้านี่ คนอื่นคนส่งปิ่นอ่า หยกอ่าเป็นของขวัญวันเกิด แต่เขากลับส่งภาพวาดหนึ่งใบให้ แม้ว่าภาพวาดนั้นเขาจะใช้เวลาครึ่งปีกว่าจะทำขึ้นมาได้ แต่ของสิ่งนั้นจะไปเอาใจผู้หญิงได้อย่างไร? จะว่าไป คุณหนูเบาะบางคนนั้นจะไปเข้าใจการทำอาวุธได้อย่างไร....” “ศิษย์พี่!” อู๋อี้ที่รู้สึกเคอะเขินอยู่ กลับพูดแทรกเซียวฝานขึ้นมา “คุณหนูหยุนชิงบอกว่านางชอบอย่างมาก! นางเป็นคนที่เข้าใจในคุณค่านั้นดี” เซียวฝานถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างจำใจ และไม่เอ่ยอะไรอีก ในขณะที่พวกเขาพูดอยู่ เทียนหยุนชิงและเทียนหยุนจือก็เดินมาถึงหน้าโต๊ะแล้ว เทียนหยุนชิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าส่งเสียง ‘หึ’ แล้วเอ่ยกับหลินซีนเยียน “อ้าว คิดว่าตนเองเก่งกาจไม่ใช่หรือ? แล้วยังจะฝากตัวมาเป็นศิษย์ของศาลาความลับแห่งสวรรค์ข้าอีก นี่...ศิษย์น้อง? เห็นศิษย์พี่แล้วทำไมยังไม่กล่าวทักทายอีก?” เซียวฝานกับอู๋อี้ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองไปยังเทียนหยุนชิงราวกับอารมณ์ไม่ดี แล้วยังเจาะจงมาที่หลินซีนเยียน ในสายตาของอู๋อี้ฉายแววผิดหวังออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าอย่างเขินอาย ส่วนเซียวฝานก็ถอนหายใจออกมา “ หยุนชิง เจ้าพูดจาดีๆหน่อย” เทียนหยุนจือเดินมาดึงตัวเทียนหยุนชิงไปยังข้างหลังของตน จากนั้นก็ประสานมือคำนับหลินซีนเยียนแล้วเอ่ย “แม่นางหลิน น้องสาวของข้าถูกเอาใจจนเสียคน เจ้าอย่าถือนางเลย” “ พี่ ทำไม่ถึงไปช่วยนาง? คงไม่เหมือนกับที่คนอื่นเขาว่ากัน เจ้าคงจะอยากได้นางมาเป็นฮูหยินของท่านประมุขน้อยหรอกหรือ? ” เทียนหยุนชิงสะบัดมือของเทียนหยุนจือออกอย่างไม่พอใจ คำพูดของนางทำให้เอาเทียนหยุนจือรู้สึกเก้อเขิน “ ข้าเพียงใช้เหตุผลมากกว่าช่วยญาติ แม่นางหลินยอมเข้าศาลาความลับแห่งสวรรค์ของพวกเราก็เป็นที่เชิดหน้าชูตาของศาลาความลับแห่งสวรรค์ หากเจ้ายังพูดจาไม่เกรงใจก็กลับไปที่ห้องตำราซะ! ” “พี่!” เทียนหยุนชิงโกรธแล้ว ก็หันไปแค่นเสียงกับหลินซีนเยียน “ ฝากไว้ก่อน ถึงยังไงเราต้องได้เห็นดีกันแน่” พอพูดจบนางก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป หาโต๊ะที่อยู่ไกลๆแล้วนั่งลง ตั้งแต่ต้นจนจบหลินซีนเยียนยกชาร้อนขึ้นมาดื่มแล้วดูการแสดงของเทียนหยุนชิงจนจบ เทียนหยุนชิงก่อเรื่อง เทียนหยุนจือกู้หน้าให้ แล้วทำเหมือนว่าเธอเป็นบุคคนที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่มีโอกาสที่จะได้เปิดปากทุกอย่างมันก็จบแล้ว หลังจากที่เทียนหยุนชิงเดินจากไป เทียนหยุนจือก็ไม่ได้เดินตามไป แต่กลับนั่งตรงโต๊ะที่ว่างอยู่ เขากล่าวทักทายเซียวฝานกับอู๋อี้ก่อนอย่างมีมารยาท จากนั้นก็เอ่ยกับหลินซีนเยียน “ 2 วันนี้มาแม่นางหลินคุ้นแล้วหรือยัง? ได้ยินว่าตอนที่กำลังคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักได้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน แม่นางหลินเป็นอย่างไรบ้าง?” “ ต้องให้ท่านประมุขน้อยเป็นห่วงแล้ว ข้าสบายดี ” หลินซีนเยียนยกแก้วชาขึ้น ราวกับเป็นของรักของหวง เทียนหยุนจือฉีกยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากยังไม่คุ้นอะไรก็มาหาข้าได้ ขอเป็นเรื่องที่ทำได้ ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่” “ขอบคุณท่านประมุขน้อย ”หลินซีนเยียนยิ้มตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจ “อย่าเรีอกท่านประมุขน้อย ท่านประมุขน้อยเลย ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของศาลาความลับแห่งสวรรค์แล้ว แม่นางหลินเรียกข้าว่าศิษย์พี่ได้ ” รอยยิ้มเทียนหยุนจือดูอบอุ่นอย่างมาก หลินซีนเยียนกำลังจะเอ่ย แต่เซียวฝายที่อยู่ข้างๆกลับพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ อย่าเลย ศาลาความลับแห่งสวรรค์มีกฎของศาลาความลับแห่งสวรรค์ ท่านประมุขน้อยก็คือท่านประมุขน้อย จะให้เรียกมัวซัวได้อย่างไร ศิษย์น้องเล็ก เจ้าห้ามเรียกมัวซัวเด็ดขาด มิเช่นนั้นพอออกจากประตูไปก็จะโดนคนหาว่าคนของผู้อาวุโสสี่จะไม่รู้ความ” “เอ่อ…” ดูเหมือนว่าเซียวฝานจะไม่ชอบขี้หน้าของเทียนหยุนจือเท่าไร เธอพยักหน้าแล้วเอ่ยขานรับ “อื้ม ศิษย์กล่าวได้ถูกต้องแล้ว” 
已经是最新一章了
加载中