ตอนที่ 153 เฉลียวฉลาดยิ่งกว่าจินตนาการ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 153 เฉลียวฉลาดยิ่งกว่าจินตนาการ
ต๭นที่ 153 เฉลียวฉลาดยิ่งกว่าจินตนาการ ประตูเมืองเฟิ่งซีปิดก็ต่อเมื่อท้องฟ้าได้มืดสนิทแล้ว รถม้าของหลินซีนเยียนได้มารอที่หน้าปากประตูสักพัก ก็ได้ยินเสียงของขบวนรถม้าดังมาจากที่ไกลๆ เธอเลิกม่านขึ้นมาดูก็เห็นขบวนรถม้าของอาณาจักรเป่ยหมิงที่เคลื่อยตัวเข้ามาใกล้ๆ ขบวนรถม้าที่ประมาณ 7-8 คัน ล้อมๆรถม้ามีองครักษ์อยู่ร้อยกว่าคน คนที่นั่งอยู่ในรถม้าด้านหน้าสุดเป็นที่ปรึกษาที่อู๋อี้ได้พามาหาเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อขบวนรถม้าได้เข้ามาใกล้ คนบังคับรถม้าก็รีบตามขบวนนั้นไป คนที่อยู่ในขบวนราวกับจำคนที่บังคับรถม้าคนนั้นได้ จึงได้เปิดทางให้เขาได้บังคับรถม้าเข้ามาในขบวนแล้วตามไป ในท่ามกลางความเงียบงัน รถม้าคันนี้ได้เข้ามาในขบวนแล้ว ขบวนรถม้าเคลื่อนที่ไปยังประตูเมือง หลินซีนเยียนเลิกม่านลง ในใจรู้สึกกังวลมาก พอมองไปทางอู๋อี้กับเอ้อร์ยา ใบหน้าของทั้งสองคนก็กังวลเหมือนกัน เมื่อผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงเจรจาตกลงกันระหว่างเหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองกับคนที่อยู่นอกรถม้า ที่แท้ขบวนรถม้าของหัวหน้าองค์รักษ์อาณาจักรเป่ยหมิงได้ส่งตราประทับผ่านด่านมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อมาถึงประตูเมือง เพียงแค่ซักถามง่ายๆไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นก็ปล่อยพวกเขาออกจากเมือง เมื่อขบวนรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว รถม้าที่พวกหลินซีนเยียนนั่งอยู่ก็ผ่านด่านประตูเมืองไปอย่างง่ายดาย หลังจากที่ขบวนรถม้าได้ผ่านพ้นประตูเมืองไปแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิทลง ประตูเมืองก็ถูกปิดอย่างแน่นหนาทันที ในยามค่ำคืน ขบวนรถม้ายังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่หยุดพัก เมื่อผ่านไปชั่วยามกว่าก็ถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ขบวนรถม้าได้จอดพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง อู๋อี้ประคองหลินซีนเยียนลงจากรถม้าก็เห็นที่ปรึกษาของหัวหน้าองค์รักษ์อาณาจักรเป่ยหมิงคนนั้นพอดี “นี่คือศิษย์น้องของข้าหลัวเหยียน แล้วนี่คือสาวใช้ ” อู๋อี้แนะนำทั้งสองคนให้ที่ปรึกษาคนนั้นอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม แล้วเอ่ยกับหลินซีนเยียน “นี่คือหนานกงหลิน ท่านหนานกง ท่านหนานกงเป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าองค์รักษ์อาณาจักรเป่ยหมิงที่เก่งที่สุด และเป็นคนดังของหัวหน้าองค์รักษ์แคว้นด้วย ” เนื่องจากต้องปิดบังชื่อแซ่ ดังนั้นอู๋อี๋จึงไม่ได้บอกชื่อจริงของหลินซีนเยียนไป เพียงหลัวเหยียนที่ออกเสียงคล้ายๆกัน “ ท่านหนานกง ” หลินซีนเยียนย่อตัวทำเคารพอย่างช้าๆ สีหน้าที่ซีดขาวของเธอได้ทำให้หนานกงหลินรู้สึกสงสัย อู๋อี้รีบอธิบายทันที “ศิษย์น้องของข้าสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก หลายวันนี้โดนอากาศเย็นจนได้ล้มป่วย ดังนั้นจึงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก” เมื่อหนานกงหลินได้ยินก็ขมวดคิ้วทันที “หากเป็นเช่นนี้ คืนนี้ยังต้องเดินทางต่อ แม่นางจะไหวหรือไม่?” อู๋อี้ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองกลุ่มคนที่เริ่มเก็บของอยู่ในโรงเตี๊ยม อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ คืนนี้เราไม่ได้ค้างที่โรงเตี๊ยมนี้หรอกหรือ?” หนานกงหลินส่ายหน้า แล้วหัวเราะขึ้น “ พวกเจ้าคงไม่คิดว่าแค่นี้ก็สามารถหนีพ้นหูพ้นตาอู่เซวียนอ๋องแล้ว? อู่เซวียนอ๋องแห่งแคว้นหนานเยว่ เป็นบุคคลที่ทุกแว่นแคว้นต่างรู้จักเป็นอย่างดี เขาเป็นถึงเทพแห่งสงคราม หรือว่าเจ้าคิดว่ามีคนปลอมตัวแล้วตบตาได้จริงๆหรือ? ข้าคิดว่าไม่เกิน 3 ชั่วยาม พวกเขาต้องโดนจับได้ พอถึงเวลานั้นก็สืบหาข่าว จนมาสงสัยพวกข้าที่พาพวกเจ้ามา ดังนั้นพวกเราต้องทำตัวไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยเด็ดขาด ” ตอนที่เขาพูดอยู่นั้น หลินซีนเยียนก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เดิมแผนการออกจากเมืองมาดูเหมือนจะง่ายดาย โดยธรรมดาแล้วแผนการแบบนี้สามารถลหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถหลอกคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างโม่จื่อเฟิงได้ “ ท่านกล่าวได้เหมาะสมแล้ว ดังนั้นคืนนี้ขบวนรถม้ายังไม่รีบออกเดินทาง แต่มาจอดพักอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆนี้ เพื่อรอให้คนของเขาตามหาจนเจอ จากนั้นก็จะไม่ตกเป็นที่ต้องสงสัย ในเมื่อท่านมาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นท่านคงได้เตรียมแผนการต่อจากนี้แล้ว” หลินซีนเยียนมองหนานกงหลินด้วยความรู้สึกนับถือ หนานกงหลินสามารถคิดแผนการจนมาถึงขั้นนี้ได้อย่างรอบคอบ ไม่เสียทีที่เป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าองค์รักษ์อาณาจักรเป่ยหมิงที่เก่งที่สุด ในเวลาเดียวกันเธอก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา ที่ปรึกษาที่สามารถวางแผนเพื่อหัวหน้าองค์รักษ์แคว้นได้ด้วยตนเองเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อหนานกงหลินเห็นว่าได้เวลาแล้วก็ไม่รอช้า หมุนตัวแล้วเดินไปยังขบวนรถม้า จากนั้นก็เรียกองครักษ์ออกมาทั้ง 3 คน เมื่อองครักษ์ 3 คนยืนคำนับอยู่ด้านหลังของเขา เขาถึงจะเอ่ยขึ้น “ ตอนนี้พวกเจ้าต้องแยกกัน ข้าจะส่งคนไปคุ้มครองพวกเจ้า จากนั้นพวกเจ้าต้องไปพบกันที่เมืองหลวงลั่วเฉิงของอาณาจักรเป่ยหมิงของพวกเรา พวกเจ้าอย่าถือสาว่ามีคนคุ้มครองพวกเจ้าน้อย เพราะคนเหล่านี้เป็นยอดฝีมือที่ดีที่สุด อีกอย่างคนยิ่งน้อยยิ่งสะดวกในการเดินทาง” “แยกหรือ?” เมื่ออู๋อี้ได้ยินก็ทำหน้ากังวล แล้วมองไปยังหลินซีนเยียน “ร่างกายของศิษย์น้องของเข้า...หากว่าไม่คนดูแลล่ะก็...” “ศิษย์พี่! ไม่ใช่ยากอะไร ข้ามีมือมีเท้า สามารถดูแลตัวเองได้ ร่างกายข้าจะไม่ค่อยสู้ดี ย่อมต้องเดินทางช้ากว่าพวกเจ้าหน่อย เมื่อถึงที่นัดหมายแล้วพวกเจ้าต้องเจอข้าอย่างแน่นอน” หลินซีนเยียนพูดตัดบทขึ้น อู๋อี้ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นหลินซีนเยียนส่ายหน้าแล้ว ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จะยอมแยกกันเดินทาง พยายามหลบให้พ้นจากสายตาของโม่จื่อเฟิงจนถึงที่สุด หรือจะยอมรอให้คนของโม่จื่อเฟิงตามมาทัน จากนั้นก็.... หลินซีนเยียนไม่กลัวตาย เพราะถึงยังไงก็เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อถึงช่วงเวลานั้น เธอเพียงกลัวว่าจะทำให้อู๋อี้และเอ้อร์ยาต้องติดร่างแหไปด้วย “เช่นนั้นก็ดี พวกเราทำตามแผนของท่านหนานกงก็แล้วกัน” อู๋อี้ลังเลไปครู่หนึ่ง ถึงจะยอมตอบรับ หลังจากทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ม้าเร็ว 3-4 ตัวก็ถูกจูงมา อู๋อี้ขี่ม้าเป็น ย่อมขี่ม้าไปกับองครักษ์อย่างละหนึ่งตัว ส่วนเอ้อร์ยากับหลินซีนเยียนขี่ม้าไม่เป็น จึงร่วมใช้ม้าตัวเดียวกับองครักษ์ ในยามคับขัน ไม่ว่าใครก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับมารยาทเท่าไรนัก องครักษ์ที่ขี่ม้าไปกับหลินซีนเยียน ตอนที่สายตาจ้องมายังหลินซีนเยียนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง เมื่อคิดถึงว่าทั้งสองคนต้องนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกัน องครักษ์คนนั้นก็หน้าแดงขึ้นมาทันที “ข้าว่าซุนหลี่ เจ้าควรจะแยกแยะอะไรสักหน่อย อย่ามาเขินอายราวกับแม่นางจะได้หรือไม่! ” เมื่อหนานกงหลินเห็นเข้า ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกระเซ้าเย้าแหย่องครักษ์คนนั้น องครักษ์คนนั้นเมื่อได้ยินที่เขาพูด หน้าก็แดงมากกว่าเดิม เพียงก้มหน้าลงไม่กล้าเอ่ยอะไร หนานกงหลินส่ายหน้า แล้วเอ่ยกับหลินซีนเยียน “ แม่นางโปรดให้อภัยด้วย เด็กคนนี้ยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นหน้ายังคงไม่ด้านพอ แต่เพราะว่าต้องทำเวลา ในขบวนรถม้านี้หาสตรีที่เป็นวรยุทธ์มาคุ้มครองเจ้าไม่ได้ ” “ไม่เป็นไร ข้าเห็นว่าพี่ซุนก็เป็นคนที่เหมาะสมแล้ว ” หลินซีนเยียนฉีกยิ้ม จริงๆก็ไม่ได้ถือสาอะไร เห็นผู้ชายใจดำอำมหิตแบบโม่จื่อเฟิงจนชินแล้ว อยู่ๆดีก็ได้เจอหนุ่มน้อยที่ไร้เดียงสาแบบนี้ก็รู้สึกว่าน่าสนใจดี อู๋อี้กับเอ้อร์ยาทำหน้ากังวล ทั้งสองคนก็ผลัดกันกำชับหลินซีนเยียนกับองครักษ์ซุนหลี่ จนกระทั่งหนานกงหลินได้เอ่ยให้ออกเดินทาง พวกเขาถึงจะควบม้าเร็วแล้วจากไป พวกเขาได้ล่วงหน้าไปก่อน ซุนหลี่พาหลินซีนเยียนไปอีกเส้นทางหนึ่ง ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้เพราะว่าอยู่ใกล้กับเมืองเฟิ่งซี ดังนั้นจึงเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ทำให้มีถนนหลายสายที่นำไปสู่เมืองต่างๆได้ หลังจากที่พวกเขาจากไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ประตูเมืองเฟิ่งซีก็เปิดออกอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เป็นองครักษ์จวนอ๋องที่มีใบหน้าดุดันและเคร่งขรึม 
已经是最新一章了
加载中