ตอนที่72อยู่ต่อ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่72อยู่ต่อ
ต๭นที่72อยู่ต่อ “ไม่ใช่อะไรก็คุกเข่าลงลุกขึ้นมาก่อนค่อยพูด”โล่หวินหลานเหมือนจะทนไม่ไหว นางหนักเหมือนก้อนหินลากให้ลุกขึ้นยังไงก็ลากไม่ขึ้น หรูซูสะอึ้กและพูดขึ้น“หากพระชายาไม่ให้ข้าน้อยอยู่ที่นี่ข้าน้อยจะคุกเข่าไว้อย่างนี้ไม่ลุกขึ้นไปไหน” นี่มันเกิดอะไรขึ้น? โล่หวินหลานปริตามองขึ้นแผ่นฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงสีแดงแสงอาทิตย์สีแดงที่สาดส่องลงมาอย่างสวยงามและนางกำลังไตร่ตรองทันใดนั้นนางก้มหน้าลงมองหรูซูที่กองอยู่บนพื้นนางยื่นมือไปดึงนางขึ้นมา “ลุกขึ้นก่อนให้เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วคราว” แววตาของหรูซูเต็มไปความสุขและนางกล่าวขอบพระคุณ“ขอบคุณพระชายาที่เมตตา” ถึงแม้นางเป็นคนที่ช่วยมากลางทางแต่ดูๆแล้วนางก็เป็นหญิงสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆถ้านางไม่มีที่ไปอยู่ที่นี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน ตอนเดินจากไปเย่หวินทำหน้างงและเดินตามหลังโล่หวินหลานนางอยากพูดอะไรบางคำออกมาแต่ก็ไม่กล้า โล่หวินหลานมองสีหน้าที่นางที่แสดงให้เห็นว่ามีอะไรค้างคาใจรู้เลยว่านางจะอยากอะไรแค่นางไม่ได้เอ่ยปากยุคสมัยนี้คนเราซ่อนความรู้สึกไว้ในใจไว้ไม่เผยออกมานี่ขนาดเพื่อนบ้านกันยังไม่สนิทกันเลยเผชิญกับสภาวะแบบนี้คนเราต้องมีความไว้ใจกันเยอะมากขึ้น หลังจากออกที่โซนทิศเหนือของตำหนักโล่หวินหลานก็เจอโม่ฉีหมิงเขากำลังคุยกับสวินโม่อยู่ห้องหนังสือนางเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆบ่าวเดินเข้ามายกน้ำชาแล้วเดินออกไป ยังดีที่นางเดินเข้ามาทั้งสองกำลังพูดจบกันพอดีโล่หวินหลานรู้สึกว่ายังไงก็ต้องเล่าเรื่องของหรูซูให้โม่ฉีหมิงฟัง “ฉีหมิงข้าให้ผู้หญิงที่เมื่อวานเราช่วยอยู่ที่นี่จริงๆนางก็น่าสงสาร....”โล่หวินหลานพูดด้วยเสียงต่ำแววตาเปล่งออกจากซึ่งความอ่อนโยน ตอนที่นางเตรียมไว้จะพูดยังพูดไม่จบโม่ฉีหมิงก็พยักหน้าพูดด้วยความไม่สนใจ“ข้ารู้แล้วจะอยู่ก็อยู่สิ” “จริงหรอ?นางรู้สึกตกใจเบาๆ” โม่ฉีหมิงพยักหน้าอีกรอบและยังคงสีหน้าเดิมก้มหน้ามองตรงหนังสือเอกสารที่มองไว้บนโต๊ะสายตาของเขาดูนิ่งเฉยแต่ยังมีความน่ากลัวซ่อนอยู่มุมปากของเขากระตุกขึ้น ให้หญิงสาวคนนั้นอยู่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวเรื่องอะไรบางคนต้องในสายตาตลอดเวลาถึงจะมองออกว่านางเป็นยังไง สวินโม่นั่งอยู่ข้างๆจิ๊บน้ำชาไปและฟังพวกเขาคุยกันไปและเหมือนจะสนใจอะไรขึ้นมา“หญิงสาวแบบไหน?” เขาถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจตั้งแต่เขารู้จักโม่ฉีหมิงก็รู้ว่าเขาไม่เคยมองหญิงใดไม่ว่าจะเป็นหญิงแบบไหนก็ไม่เคยเหลียวแลนอกจากโล่หวินหลานแต่ว่าวันนี้กลับยอมให้หญิงที่ช่วยเมื่อวานอยู่ที่นี่ต่อไปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? โล่หวินหลานมองเขาคิดอยู่แล้วว่าสวินโม่ก็ไม่ใช่คนนอกเลยบอกความจริงออกมา“เมื่อวานกลับจากวังหลวงกลางทางก็ช่วยหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังถูกข่มขืนนางตามพวกข้ามาตลอดทางเลยพานางเข้าตำหนักวันนี้รุ่งเช้านางก็ขยันขันแข็งทำความสะอาดห้องเพื่อขอให้นางเองมีข้าวกินจริงๆนางก็ขยันฉะนั้นข้าทำตามอำเภอใจให้นางอยู่ที่นี่เอง ไม่ไม่ได้ทำตามอำเภอใจหรอกแค่เจ้าตัดใจสินไปแล้วค่อยมาบอกข้า นางนึกว่าโม่ฉีหมิงจะโกรธซะอีกนึกไม่ถึงว่าเขาตอบกลับมาแบบนี้ ช่วยหญิงสาวที่ไม่รู้จักข้างถนนงั้นหรือ?สวินโม่เข้าใจอะไรบางอย่างสายตาของเขานิ่งเฉยตอนนี้คนที่ต่อต้านหมิงอ๋องมีมากมายเพื่อป้องไม่ให้เกิดอันตรายตอนนี้พระตำหนักมีแต่คนออกไม่มีคนเข้าทำไมถึงให้คนที่ไม่มีที่มามาอยู่ในตำหนักได้? โม่ฉีหมิงบ้าไปแล้วหรือยัง? สวินโม่ใช้สายตาจ้องมองโม่ฉีหมิงหน้าของเขานิ่งผิดปกติเขาอาจจะเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกหรือเขาอาจมองเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะเหตุผลใดต้องจับจ้องหญิงสาวผู้นี้ไว้และให้ระวังตัวมากๆ “สุภาษิตที่ว่าท่านหมอที่ดีต้องมีจิตเมตตากรุณานี่ไม่ผิดจริงๆ”สวินโม่ไม่รู้จะตอบอะไรได้แค่ทำเป็นชื่นชม แต่ว่าโล่หวินหลานรู้สึกเขาชมแบบแปลกๆ นางก้มหน้าแล้วจิ๊บชาไปเหมือนมีความในใจ“ท่านหมอที่มีจิตเมตตาตำหนักสวินไม่มีหรือไง?” คำพูดนี้บาดใจมากสวินโม่จิ๊บชาไปแบบเงียบๆและวางแก้วลงกวาดสายตามองไปทางโล่หวินหลานคิ้วของนางขมวดคิ้วนัยต์ตาที่โปรงใสเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างลูกตาหมุนไปหมุนมาดูๆแล้วเหมือนความซึมเศร้ามากอบกุมใจนางอยู่ ทีแรกเขากะจะพูดจาเยาะเย้ยนางหน่อยแต่ก็ไม่พูดดีกว่าสวินโม่มองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างดูๆแล้วครั้งนี้โม่ฉีหมิงเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่างแต่เพราะเขาทำเพื่อโล่หวินหลานทำให้เขาต้องเสียแผน แสงอาทิตย์สอดส่องเข้ามากำแพงอิฐแดงลมของฤดูใบไม้ผลิพัดมาอย่างแผ่วเบาเมฆบนท้องฟ้าลอยเต็มฟ้าเหมือนกำลังระบำอย่างสวยงามบรรยากาศในวังกลับคืนสู่สภาพสงบเหมือนความวุ่นวายของเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น “หมิงเย่วตอนนี้เวลาไหนแล้ว?”เสียงของต้วนกุ้ยเฟยนำพาซึ่งความขี้เกียจและนางนอนตะแคงข้าวอย่างขี้เกียจบนที่นอน หมิงเย่วที่กำลังเฝ้าพระชายาอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงขยับตัวนางจึงรีบเดินเข้าไปในห้องและกระตุกม่านสีแดงขึ้น“ทูนพระสนมเอกตอนนี้พึ่งผ่านยามเฉินแล้วเจ้าคะ” “ตื่นแล้ว”ต้วนกุ้ยเฟยตอบกลับตัวกำลังลุกขึ้นจากที่นอนหมิงเย่วรีบใส่รองเท้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางและนางก็ถามถึง“เมื่อคืนวันนี้ฝ่าบาทเสด็จไปพักที่พระตำหนักใด?” ตอนนี้สีหน้าของหมิงเย่วดูไม่ค่อยดีไม่รู้ว่าจะพูดความจริงหรือพูดประจบดีช่วงนี้ฝ่าบาทไม่ได้เข้าพักพระตำหนักใดเลยต้วนกุ้ยเฟยก็เป็นแค่พระสนมถ้ากุ้ยเฟยไม่ได้รับการโปรดปรานรักใคร่นางเหมือนไม่มีอะไรเลย นางคิด/ตร่ตรองไปสักพักหมิงเย่วทูลกลับด้วยเสียงแผ่วเบา“ทูลท่านหญิงฝ่าบทเมื่อคืนเข้าพักที่พระตำหนักเจินเฟยเจ้าคะ” กำลังทูลจบต้วนกุ้ยเฟยแค่ได้ยินก็ถอนหายใจเบาๆมือของนางที่กำลังสวมเสื้อสั่นเบาๆนางไม่มีคิดว่านางเองเป็นผู้หญิงที่โศกเศร้าหญิงสาวในวังเยอะแยะมากมายถ้าวันนี้นางถูกโปรดปรานรักใคร่วันพรุ่งอาจไม่ถูกรักใคร่มันก็มีขึ้นๆลงๆอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา นางแค่อยากปลอบใจตัวเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆนางก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่เป็นนางสนมที่ทั้งฉลาดและเบิกบาน พอสวมเสื้อเสร็จหมิงเย่วตักน้ำเข้ามาให้นางล้างหน้าแต่งตัวนางมองตัวในกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งนางวาดคิ้วและประทับปากบนแผ่นสีแดงแต่เสียดายรอยตีนกาตรงมุมปากำจัดยังไงก็ไม่ได้เกิดเป็นหญิงมักจะกังวลเวลาที่ผ่านไปเหมือนน้ำไหลผ่านอย่างรวดเร็ว นางนึกถึงเพลงที่โล่หวินหลานขับร้องเมื่อคืนเสียงของนางไพเราะดั่งเสียงนกกระจาบฝนจริงๆน่าจะไพเราะชวนฟังมากกว่าเสียงนกร้อง พอเทียบกับนางนางไม่มีความดีอะไรเลยไม่ได้เป็นหญิงสาวที่อ่อนเยาว์และไม่มีศิลปะการแสดงใช้ชีวิตอยู่ในวังไปวันๆมีแค่ราชโอรสทั้งสองที่เป็นใบเบิกทางให้ตัวเองเสียดายที่ตอนนี้โม่ฉีหมิงได้ความชอบจากเสด็จพี่จนทำให้พระโอรสทั้งสองของนางมีคู่แข่งเพิ่มมาอีกคน ต้วนกุ้ยเฟยรู้สึกตอนนี้ความคิดของตัวเองช่างน่ากลัวไม่ได้นางจะไม่ปล่อยให้เรื่องน่าเศร้าแบบนี้เกิดขึ้น “โอ้ยนี่เจ้ากำลังทำให้ข้าเจ็บหวีเบาๆหน่อยเป็นหรือไง?”ต้วนกุ้ยเฟยขึ้นเสียงหัวขิองนางถูกดึงจนเจ็บและเพิ่มเติมไปด้วยความเจ็บปวดในใจเลยทให้นางโกรธจนรุกเป็นไฟ “บ่าวขอโทษเจ้าคะขอโทษนายหญิงเจ้าคะบ่าวจะเบามือลงเจ้าค่ะ”หมิงเย่วตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนต้องการการยกโทษ หมิงเย่วเป็นบ่าวที่ติดมากับตัวนางและติดตามรับใช้นางมาตลอดไม่เคยทำความผิดใหญ่หลวงและเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์วันนี้นางนึกถึงเรื่องที่น่ารุกเป็นไฟไปหน่อยเลยใส่อารมณ์กับนางนางเลยสงบสติอารมณ์ลง “เดี๋ยวพวกข้าไปน้อมทักทายฮองเฮาและนำหยกแดงที่เสด็จของข้าได้มาจากซันซีถวายให้ท่าน”สีหน้าของต้วยกุ้ยเฟยดีขึ้นและใช้เสียงอ่อนโยนคุยกับหมิงเย่ว หยกแดงอำพัน?หมิงเย่วรู้ที่มาของหยกแดงซึ่งเป็นหยกที่หายากมากและนางเม้มปากเบาๆ“นายหญิงเจ้าคะหยกนี้ไม่ใช่หยกที่ได้มาจากนายท่านปกติท่านหญิงยังไม่กล้าใช้เลย......” ถ้าเสียดายลูกก็จับหมาป่าไม่ได้ต้วนกุ้ยเฟยกัดฟันพูดในใจคิดว่าเอาของที่ดีที่สุดถวายให้เย่ฮองเฮาทั้งสองจะได้ร่วมมือกันทำบางอย่าง “อย่ายุ่งรีบไปเอามาและห่อด้วยความสวยงาม”ต้วนกุ้ยเฟยรู้สึกใจหายเบาๆนางหลับตาลงพอนึกถึงของรักก็รู้สึกเจ็บปวดใจ หมิงเย่วไม่ยุ่งอีกนางเอามุกที่ล้ำค่าที่สุดเสียบบนผมตัวเองและสั่งบ่าวคนอื่นยกอาหารเช้ามาก่อนแล้วค่อยเดินไปที่ห้องกักเก็บของ พอกินอาหารเสร็จต้วนกุ้ยเฟยพาหมิงเย่วไปพระตำหนักของฮองเฮา เย่ฮองเฮาทำหน้านิ่งเฉยเหมือนรู้แต่แรกว่าวันนี้จะมีใครมาเยี่ยมเยือนนางสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำชาไว้แต่แรกพอเห็นต้วนกุ้ยเฟยเข้ามาและเหยียดรอยยิ้มให้นาง“เข้ามาสิมานั่งทางนี้” “กลิ่นหอมของชาในพระตำหนักฮองเฮาได้กลิ่นตั้งแต่ที่ไกล“ต้วนกุ้ยเฟยทูลบอกนางจิบไปคำเดียวเป็นชาที่ทั้งหอมและรสชาติดีเยี่ยม เย่ฮองเฮาจับเครื่องหยกบนศรีษะเบาๆและตอบกลับ“ชานี้เป็นฝ่าบาทมอบให้ถ้าน้องหญิงรู้สึกหอมหรือฝ่าบาทไม่ได้มอบให้หรือ?บรรดานางสนมอย่างพวกข้าไม่ได้มีชีวิตเพื่อพึ่งฝ่าบาทอย่างเดียวการได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทก็เป็นสิ่งสำคัญ” หลังจากที่ฟังฮองเฮาพูดจบต้วนกุ้ยเฟยหน้าเริมแดงและมิยังอาจพูดอะไรออกมาในใจกำลังคิดถึงจุดมุ่งหมายที่เข้าเฝ้าวันนี้เลยได้แต่ฟังแต่มิกล้าพูดอะไรใดๆ “เจ้าค่ะพี่หญิงพูดถูกพวกข้าคือสตรีหญิงแก่แล้วจะให้ไปเปรียบนางสนมที่พึ่งเข้าวังคงเป็นไปไม่ได้ฉะนั้น้ชีวิตให้สุขเป็นสิ่งสำคัญ”ต้วนกุ้ยเฟยรู้สึกใคร่ครวญถึงทุกคนผ่านชีวิตเยี่ยงนี้มาไม่ยกเว้นแม้แต่นาง สามารถเป็นนางสนมในทุกวันนี้ความสวยความงามและความเฉลียวฉลาดคงไม่มีไม่ได้ เย่ฮองเฮารู้สึกไม่พอใจเบาๆไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อแต่นางยังคงหน้ายิ้มนางตั้งใจฟังคำพูดต่อไปที่ต้วนกุ้ยเฟยจะพูดต่อนางจะมีฝีมือการแสดงได้นานแค่ไหน “น้องหญิงยังอ่อนเยาว์ขนาดนี้และยังมีพระโอรสถึงสองคนต่อไปจะกลัวอะไรไปทำไม?เล่าบรรดาพระสนมต่างก็อิจฉาน้องหญิง! 
已经是最新一章了
加载中