ตอนที่140 ตำนานเล่าขาน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่140 ตำนานเล่าขาน
ต๭นที่140 ตำนานเล่าขาน สุดท้าย ก็เป็นจินหยกที่ต้องออกมาพูดเอง “ตอบนายท่าน เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ ตอนที่พวกเราเฝ้าศพกันอยู่นั้น เมื่อถึงตอนเที่ยงคืน ด้านนอกก็ลมพัดแรงกรรโชก แล้วมีเสียงแมวดังขึ้น แล้วก็เสียงร้องด้วยความทรมานของหญิงสาว พวกเขากลัวกันมาก จึงออกไป แต่หลังจากนั้นที่ฉันยังอยู่ที่นี่ เทียนทั้งหมดยังดับลง ตามด้วยมีแมวพุ่งมาข่วนฉัน ฉันก็เลยวิ่งออกมา แต่ไม่ทราบจริงๆค่ะว่าโลงนี้เปิดออกได้อย่างไร” เหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้เย่กั๋วกงคิดไปไกล “ในเรือนได้เลี้ยงแมวไหม? แล้วเทียนพวกนี้พวกเจ้าก็ตรวจดูว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เย่กั๋วกงจัดแจงเรื่องต่างๆด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม คนใช้ได้ยินเช่นนี้จึงรีบไปตรวจเช็คเทียนทุกเล่ม จินหยกครุ่นคิดแล้วจึงพูดขึ้น “ในเรือนนี้มีเพียงคุณนายสี่ที่ชอบแมว เพียงแต่แมวของคุณนายสี่ไม่เคยออกมาเพ่นพ่านตอนกลางคืน คุณนายสี่รักและหวงมาก ไม่เคยให้มันอกมาวิ่งมั่ว” แมวของคุณหญิงสี่? ในหัวของเย่กั๋วกงนึกย้อนไปที่ชื่อนี้ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้สนใจเจ้า ลืมแม้กระทั่งเขาเคยมอบแมวให้เจ้าเองกับมือ “เจ้าไปดูว่าแมวของคุณนายสี่ได้ออกมาเพ่นพร่านไหม ดูซิว่าปัญหามาจากแมวตัวนั้นไหม” เย่กั๋วกงสั่งด้วยเสียงแผ่วเบา “ตอบนายท่าน เทียนไม่มีปัญหาอะไรค่ะ” สาวใช้ตรวจสอบเสร็จแล้วตอบเย่กั๋วกง เทียนไม่ได้มีปัญหาอะไร หรือว่านี่ไม่ใช่ฝีมือคน? เย่กั๋วกงพยักหน้าเบาๆ ขมวดคิ้วแน่น “นายท่าน คงไม่ใช่ คงไม่ใช่คุณหนูสามเจ้า… อันนั้นหรอกนะ?” จินหยกยืนอยู่อีกฝั่งของห้องพิธี คิ้วกับตาแทบกองรวมกัย มองโลงศพด้วยสายตาหวาดกลัว เกิดเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ ไม่ให้สงสัยก็คงจะยาก! “พูดซี้ซั้ว! ใครกล้าพูดอีก ฉันจะลงโทษ เรื่องวันนี้ พวกแกห้ามพูดออกไป” เย่กั๋วกงกำชับ โกรธจนหน้านิ่วคิ้วขมวด จินหยกตกใจจนตัวสั่น รีบก้มหน้าหลบตา ไม่กล้าพูดต่อ เย่กั๋วกงที่กำลังโกรธอยู่นั้นยืนตัวสั่นมองไปรอบๆ กวาดมองคนด้านล่างทั้งหมด หรือว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกในบ้าน เห็นท่าทางของคุณนายใหญ่อย่างนี้ แต่ในใจเจ้ารีบร้อนมาก มองไปที่ห้องพิธีอย่างเงียบๆ เดินไปจับเสื้อคุณชายเบาๆ แล้วกระซิบ “นี่คุณ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันกระทันหันมาก และก็เหมือนกับที่เด็กรับใช้บอก ว่านี่คงไม่ใช่ปัญหาจากหลัว…” “ซี้ซั้ว!” เย่กั๋วกงพูดขึ้นอีกครั้ง จ้องไปที่คุณนายใหญ่เขม็ง “พวกเขาไม่รู้ถึงพูดอย่างนั้นออกมา แต่เจ้าเป็นถึงคุณนายใหญ่ในบ้าน ทำไมถึงซี้ซั้วพูดเหมือนคนพวกนั้น!” เมื่อถูกเขาตะคอกเช่นนี้ คุณนายใหญ่ก็สติหลุด ไม่กล้าออกความเห็น ได้แต่ยืนก้มหน้าเงียบๆอยู่ข้างเขา “คุณนายสี่มารึยัง?” เย่กั๋วกงหันไปมองบานประตูว่างเปล่าด้วยจิตใจวุ่นวาย พูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ตอบนายท่าน…” เด็กรับใช้คนหนึ่งกำลังจะตอบ ที่หน้าประตูก็มีร่างที่เลือนลางเข้ามาพอดี แล้วพูดขึ้น “ท่านไม่ต้องรีบร้อนไป ฉันได้ข่าวจึงรีบออกมาทันที” คนยังมาไม่ถึง แต่พูดจบแล้ว ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนที่แมวของคุณนายสี่ข่วนทำร้ายคุณนายใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอหน้าเจ้าอย่างใกล้ชิดอย่างนี้ เดิมทีเจ้าได้รัยความรักจากนายท่านเป็นอย่างมาก ถูกบรรดาเหล่าคุณนายน้อยใหญ่รังเกียจ แต่เจ้าก็ทนมาตลอด เจ้าคิดว่าแต่เพียงได้รับความรักจากนายท่านก็เพียงพอแล้ว จนกระทั่งเทียนหยาแมวที่เจ้าเลี้ยง ข่วนจนคุณนายใหญ่บาดเจ็บ เย่กั๋วกงจึงกักบริเวณเจ้าไว้ในเรือน เจ้าคิดว่าคงเป็นเพียงการลงโทษเล็กน้อย แต่ผ่านไปแปบนึงก็เป็นเวลาสองปี ความยโสที่เจ้าเคยมี เขามีศักดิ์ศรีของเขา ไม่มีใครยอมใคร จนกลายมาเป็นเหตุการณ์แบบวันนี้ “นายท่าน เมื่อคืนเทียนหยาอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้ออกมาเพ่นพ่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ? นายท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน มีทางออกอยู่แล้ว” เดิมทีคุณนายสี่เป็นสาวงามอยู่แล้ว หลังจากผ่านไปสองปี เจ้ากลับดูมีเสน่ห์มากขึ้น และยังคงใจงามมีเมตตาเหมือนเดิม “อืม…” เย่กั๋วกงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร สายตาเอาแต่มองโหยหาเจ้าที่อยู่ด้านนอก แต่กลับมีความรู้สึกที่อยากเข้าใกล้แต่เข้าใกล้ไม่ได้ “หลัว เจ้า เจ้าเกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันว่าจะไม่เชิญพระมาสวดซักหน่อย” เย่กั๋วกงกระแอมเบาๆ พูดขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม ใครจะรู้ หลังจากที่เขาพูดจบ คุณนายสี่ก็ก้าวเข้าไปใกล้โลงศพอีกก้าว ท่วงท่าของเจ้าสง่างาม อ่อนโยน เอวบางๆ คุณนายใหญ่ที่อยู่บนที่นั่งหลักเห็นท่าทีของเจ้า ก็รู้ว่าตัวเองนั้นห้ามไม่ได้ เมื่อสองปีก่อนอาจจะได้ แต่ว่าตอนนี้ ตระกูลเจ้าเสื่อมอำนาจลง เย่กั๋วกงยิ่งต้องการเจ้าน้อยลง แต่คุณนายสี่สวยงาม เก่งกาจ เพียงแค่เจ้าทำอะไรนิดหน่อย หรืออาจจะไม่ต้องทำอะไรเลย ก็สามารถทำให้เย่กั๋วกงกลับมารักเจ้าได้อีกครั้ง คุณนายสี่ค่อยๆเดินไปด้านข้างโลง สีหน้าสงสัยอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ในจังหวะที่เจ้าเกือบจะเห็นเย่เซียวหลัวนั้น เย่กั๋วกงที่นั่งอยู่ก็รีบพูดขึ้นมาเสียงดัง “ห้ามดู!” แต่คุณนายสี่นั้นเห็นเย่เซียวหลัวแล้ว เจ้าตกใจ จนล้มลงไปที่อกของคุณชายอย่างแรง “นาย นายท่าน ตรงนั้น ตรงนั้น…” คุณนายสี่ชี้ไปที่โลงศพด้วยร่างกายสั่นเทา แล้วกอดคอนายท่านไว้แน่น เย่กั๋วกงยอมรับอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน มือทั้งสองโอบเอวเจ้าไว้อีกครั้ง แล้วค่อยๆถอนหายใจ สองปีแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้กอดผู้หญิงที่เขารักที่สุด “ตรงนั้นทำไมเหรอ?” เขาถามเสียงเข้ม “หลัว หลัวยังหายใจอยู่” เมื่อคำนั้นพูดออกมา ทุกคนในห้องพิธีถอยหลังกรูด แล้วมองไปที่โลงศพนั้น คุณหนูสาม คงไม่ได้วิญญาณกลับร่างหรอกใช่ไหม เย่กั๋วกงค่อยผลักคุณนายสี่ออก หรี่ตามองโลงศพด้วยความสงสัย ขยับปาก “ที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง? หมอหลวงยืนยันว่าเจ้าเสียชีวิตแล้ว ทำไมถึงยังหายใจล่ะ?” นี่มันเป็นตำนานเล่าขานชัดๆ! คุณนายสี่มองใต้โลงด้วยร่างที่สั่นเทา ไม้กระดานหนาๆนั้นด้านในสะท้อนน้ำมันเคลือบเงาสีขาวๆ บนไม้จันทร์มีแสงสว่างจากพระจันทร์เป็นประกาย สะท้อนให้เห็นปผู้ที่อยู่ข้างในอย่างชัดเจน “มี มีลมหายใจจริงๆด้วย! นายท่าน จริงๆ!” คุณนายสี่เดินไปข้างๆโลงอีกครั้ง มองเย่เซียวหลัวที่อยู่ข้างในด้วยใจระทึก หลับตาแล้วค่อยๆยื่นมือเข้าไปข้างใน แต่ว่า มีอีกมือหนึ่งมาจับมือเจ้าเอาไว้ “เป็นผู้หญิงจะรู้อะไร? มาฉันเอง” เย่กั๋วกงเข้ามายืนขวางเจ้าไว้ พร้อมผลักเจ้าออกอย่างโมโห คุณนายใหญ่ที่อยู่ด้านบนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา เห็นท่าทางเย่กั๋วกง เขาไม่เคยรักและปกป้องเจ้าอย่างนี้มาก่อน มีเพียงต่อหน้าคุณนายสี่เท่านั้น เขาถึงแสดงความอ่อนโยนแบบผู้ชายออกมา เย่กั๋วกงค่อยๆเอื้อมมือไปที่จมูกของเย่เซียวหลัว สัมผัสถึงผิวของเจ้า ที่น่าแปลกก็คือ ผิวของเจ้าไม่ได้เย็นเฉียบแบบก่อนหน้านี้แล้ว มีความอุ่นอยู่หน่อยๆ มีลมหายใจอ่อนๆออกมาจากจมูกของเจ้า “มี มีลมหายใจ รีบไปตามหมอหลวง” เย่กั๋วกงชักมือกลับ สีหน้าดีใจปนตกตะลึง แล้วหันไปพูดกับสาวใช้ “รีบพาคุณหนูไปที่ห้อง” สาวใช้ด้านหลังยืนเรียงเป็นแถว ถึงแม้ว่าจะกลัว แต่ก็ต้องยกเย่เซียวหลัวออกมาจากโลง “ท่านชาย ท่านว่าเป็นเพราะสวรรค์รู้ส่าท่านเศร้าโศกขนาดนี้ แล้วจึงคืนเจ้าให้กับท่าน?” ใบหน้าของคุณนายสี่เผยรอยยิ้มบางๆออกมา บนใบหน้าอมชมพูนั้นไม่มีแม้แต่ริ้วรอย สวยใสราวกับน้ำบริสุทธิ์ เย่กั๋วกงพยักหน้า หิมะยังตกไม่หยุด ในค่ำคืนที่หนาวเย็นนี้เงียบเป็นพิเศษ โล่หวินหลานนอนอยู่ที่มุมสุดของเตียง นอนหลับสนิท แต่ข้างหลังของเจ้านั้นว่างเปล่า ไร้ร่างของคนนั้น ชานบ้านที่ว่างเปล่านั้นดูเหมือนถูกปกคลุมด้วยหิมะ วิวของหิมะและความมืดมิดนั้นรวมเข้าด้วยกัน บนพื้นหิมะมีรอยเท้าตื้นๆค่อยๆก้าวอยู่ด้านบน ร่างสูงที่คลุมด้วยผ้าคลุมสีดำนั้นกำลังเดินมุ่งไปข้างหน้า จนมาถึงหน้าประตู ก็ค่อยๆผลักประตูออกไป และรีบปิดลงด้วยความรวดเร็ว ระวังไม่ให้ลมหนาวๆจากด้านนอกพัดเข้ามาในห้องอุ่นๆนี้ ให้คนที่นอนอยู่รู้สึกตัว รับรู้ถึงความอบอุ่น เขาบีบมือเย็นๆนั้น แล้วถอดผ้าคลุมออก เกร็ดหิมะที่เกาะอยู่ร่วงลงบนพื้น เขาปัดตัวเองจนสะอาดแล้วจึงเดินไปที่เตียง ในนั้นมีแสงเทียนสลัว เงาสลัวที่ทอดยาวนั้น สะท้อนลงบนโต๊ะลายดอกซากุระเป็นภาพที่ชวนจินตาการไปมากมาย ในที่สุดก็เดินมาถึงข้างเตียง ร่างของหญิงสาวที่เขาคิดถึงอยู่นานปรากฏอยู่ต่อหน้า เขาไม่รู้ว่าไม่ได้กอดเจ้ามานานเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองลืมสัมผัสอันอบอุ่นนั้นไปแล้วหรือยัง จินตนาการภาพที่ตัวเองได้คุยกับเจ้าวนอยู่ในหัว เขานั่งลงข้างเตียง คว้าเจ้าเข้ามาไว้ในอ้อมกอด มีแต่เวลานี้ ที่เขาจะได้กอดเจ้าอย่างจริงๆจังๆ ทันใดนั้น มีมือเล็กสอดเข้ามาที่เอวเขา กอดเขาไว้แน่น โล่หวินหลานสัมผัสได้ถึงความสั่นเทาบนตัวเขา แล้วก็แข็งไป “เจ้ามาแล้วเหรอ นอนเถอะ ง่วงจัง!” โล่หวินหลานกอดเขาแล้วก็พูดเองเออเอง เจ้าไม่รู้เลยซักนิดว่าผู้ชายที่เจ้ากอดอยู่นั้นทั้งทำตัวไม่ถูกและหวงแหนเจ้า “โล่หวินหลาน เจ้ารู้ตัวใช่ไหมเนี่ย? หรือยังหลับอยู่?” โม่ฉีหมิงถาม นานมาก เจ้าก็ไม่ได้ตอบกลับมา เขายิ้มแบบฝืนๆ แล้วห่มผ้าให้เจ้า ไม่ให้เจ้าหนาว นอนตามเจ้าลงไป แล้วกระชับอ้อมแขนที่กอดเจ้าแน่นขึ้น 
已经是最新一章了
加载中