ตอนที่3สะกดจิต
ตนที่3สะกดจิต
โล่หวินหลานวางแก้วชาแล้วมองไปที่โม่ฉีหมิงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกับสายตาที่เต็มไปด้วยการหยั่งเชิง:“ข้าแค่อยากรู้ว่าท่านอ๋องงจะปล่อยข้าไปไหม?”
สีหน้าของโม่ฉีหมิงภายใต้หน้ากากเต็มไปด้วยความตกใจสายตาของเขาเป็นประกายแล้วพูดว่า:“คนไร้ประโยชน์เช่นข้าต่อให้ปล่อยเจ้าไปก็ไม่มีปัญญาปกป้องเจ้าได้”
ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกมาบรรยากาศมันเต็มไปด้วยความอึมครึม
แต่โล่หวินหลานกลับไปกลัวนางหันหน้ามาแล้วก็ถอดหน้ากากของเขาออกโม่ฉีหมิงคิดไม่ถึงเลยว่านางจะทำแบบนี้สายตาของเขาโกรธมาก
รนหาที่ตายจริงๆเขากลัวคนอื่นเห็นใบหน้าของเขาที่สุดโดยเฉพาะเวลาคนเห็นแล้วมีสีหน้าตกใจกลัวเขากำหมัดแน่น
หลังจากที่เห็นใบหน้าของโม่ฉีหมิงแล้วโล่หวินหลานก็ตกใจแต่ก็รีบข่มสีหน้าเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆภายใต้หน้ากากใบหน้าของโม่ฉีหมิงถูกไฟครอกเสีหายบนหน้ามีรอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมดแต่ใบหน้าอีกข้างหนึ่งยังคงหล่อเหลา
“ใครให้เจ้า......”โม่ฉีหมิงจับเก้าอี้ไว้แน่นหลบสายาของโล่หวินหลานใบหน้าของเขาโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหลายปีมานี่ยังไม่เคยมีใครถอดหน้ากากของเขาออกเลย
โล่หวินหลานไม่ได้สนใจที่โม่ฉีหมิงโกรธเลยแต่กลับตอบกลับเขากลับไปตามหลักการแพทย์:“แผลไฟไหม้นี่น่าจะประมาณสิบปีแล้วใช่ไหม?”
สิบปีในหัวของโม่ฉีหมิงมีเรื่องราวไฟไหม้เมื่อสิบปีก่อนลอยขึ้นมาเรื่องราวในวันนั้นเขาไม่มีทางลืมได้เมื่อคิดถึงอดีตสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเขายังคงนึกถึงเปลวเพลิงที่ลุกโชนในวันนั้นอยู่
โล่หวินหลานเห็นสีหน้าอาการของโม่ฉีหมิงนางตั้งใจมองไปที่โม่ฉีหมิงแล้วพูดด้วยความอ่อนโยนว่า:“หายใจลึกๆผ่อนคลายนะอย่าไปคิดอะไรมาก”
โม่ฉีหมิงทำตามที่โล่หวินหลานบอกโดยไม่ได้ตั้งใจเขาปิดตาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆปล่อยให้ความทรงจำเหล่านั้นสลายไป
หลังจากที่โม่ฉีหมิงดีขึ้นแล้วเขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาโล่หวินหลานก็ถอนหายใจแล้วพูดอย่างเสียใจว่า:“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องนึกถึงเรื่องที่ไม่สบายใจแต่ว่าเจ้าวางใจได้ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลบนใบหน้าของเจ้าหรือบาดแผลในใจของเจ้าข้าจะรักษามันเอง”โล่หวินหลานสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวในใจของเขา
โม่ฉีหมิงค่อยๆหันหน้าไปสายตาของเขามองไปที่มีดที่แทงอยู่ที่ไอ้นั่นของโม่ฉีมู่“เจ้าคิดก่อนดีไหมว่าจะรักษาชีวิตน้อยๆของเจ้ายังไง”
เหมือนนางนึกขึ้นมาได้โล่หวินหลานแลบลิ้นออกมา:“ข้าเกือบลืมไปเลย”นางกลับมานั่งที่เดิมโม่ฉีหมิงสวมหน้ากากปีศาจของเขาอีกครั้ง
“ถ้าให้หลินอ๋องบอกว่าเขาทำของเขาเองแบบนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้วใช่ไหม?”โล่หวินหลานกระพริบตาแล้วมองเขา
โม่ฉีหมิงคิดว่าตัวเองฟังผิดไปเขาหันไปมองนางเห็นโล่หวินหลานพูดว่า:“เอาแบบนี้แหละ”จากนั้นก็เดินถือมีดสั้นไปที่หน้าเตียง
โล่หวินหลานทำให้โม่ฉีมู่ฟื้นขึ้นมาแล้วเอาผ้าขาวที่ยัดไว้ในปากเขาออก
เมื่อฟื้นขึ้นมาโม่ฉีมู่รู้สึกเจ็บช่วงล่างมากเขาพยายามขยับตัวสายตาจ้องไปที่โล่หวินหลานอย่างโหด“เจ้าทำอะไรกับข้า?”โม่ฉีมู่เจ็บจนเหงื่อไหล
โล่หวินหลานมองไปที่โม่ฉีมู่แล้วยิ้มจากนั้นก็ใช้นิ้วขาวเรียวยาวชี้ไปที่หน้าของโม่ฉีมู่แล้วแกว่ง:“ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าเจ้าทำตัวเจ้าเอง”
โม่ฉีมู่มองนิ้วของนางแกว่งไปแกว่งมาจนสมองสับสนจากนั้นก็ถามว่า:“ข้าทำอะไรกับตัวเอง?”
โล่หวินหลานยิ้มแล้วพูดว่า:“ฝึกวิชานี้จะต้องตอนของตัวเองเจ้าต้องการฝึกวิชาคัมภีร์ทานตะวันก็ตอนของตัวเองทิ้งไป”
โม่ฉีมู่พูดตามที่นางพูด:“ฝึกวิชานี้จะต้องตอนของตัวเองเจ้าต้องการฝึกวิชาคัมภีร์ทานตะวันก็ตอนของตัวเองทิ้งไป”
“ใช่แล้วแบบนี้แหละหากใครถามเจ้าก็ตอบเขาไปแบบนี้จำได้หรือยัง?”โล่หวินหลานถามน้ำเสียงของนางมอมเมามากเหมือนมีพลังของปีศาจซ่อนอยู่
“จำได้แล้ว”สายตาของโม่ฉีมู่ไม่มีสติ
โล่หวินหลานแอบดีใจคิดว่าการเป็นหมอไม่เพียงต้องช่วยรักษาโรคยังต้องรักษาใจด้วยดังนั้นปกตินางก็จะฝึกฝนและเรียนรู้วิชาจิตวิทยากับวิชาสะกดจิตไม่คิดว่าตอนนี้มันจะใช้ได้ผล
ใช้วิชาสะกดจิตเพื่อเปลี่ยนความคิดคนๆหนึ่งในระยะสั้นนางพอจะมั่นใจอยู่บ้าง
“เอาล่ะเจ้าง่วงแล้วนอนซะในฝันจงจำไว้ให้ดีฝึกวิชาคัมภีร์ทานตะวันก็เลยตัดไอ้นั่นของตัวเองทิ้ง”โล่หวินหลานพูดแล้วมองไปที่โม่ฉีมู่ปิดตาหลับไป
โม่ฉีหมิงไม่พูดหรือแสดงท่าทีอะไรมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตลอดในใจก็แอบคิดว่าโล่หวินหลานกำลังเล่นลูกไม้อะไรอยู่?
“เอาล่ะท่านอ๋องท่านสั่งให้คนไปส่งหลินอ๋องกลับไปให้หมอหลวงรักษาได้แล้วแต่ว่าข้าคิดว่าครึ่งชีวิตที่เหลือหลินอ๋องน่าจะกลายเป็นขันทีแล้วล่ะ”โล่หวินหลานยิ้มอย่างอารมณ์ดีข้ามเวลามาวันแรกก็สั่งสอนคนเลวๆได้นางคิดว่าประสบความสำเร็จมาก
เขาทำได้แค่ถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นผู้หญิงคนนั้นมีอะไรที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ
“เจ้าแน่ใจนะแบบนี้ได้ผล?”
โม่ฉีหมิงพูดอย่างเรียบๆ