ตอนที่ 45 ผิดใจกัน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 45 ผิดใจกัน
ต๭นที่ 45 ผิดใจกัน แต่ทว่าทางฝั่งฮ่องเฮานั้นกลับกริ้วมาก “อะไรนะ? เหล่าหมอหลวงลาป่วยลากิจกันหมดเลยหรอ? หลินอ๋องไข้ลดแล้วหรอ? เป็นไปได้ยังไง? โล่หวินหลานทำไมถึงได้รักษาฝีดาษได้?” คำถามติดๆกันของฮ่องเฮาทำให้นางเกือบหายใจไม่ทัน นางนั่งลงกับเก้าอี้ วี่จือรีบเข้ามาบีบนวดขาของนาง เห็นสีหน้าของนางซีดเซียว ก็รู้ทันทีว่าแผนที่ให้หมอหลวงไปรบกวนการรักษาโม่ฉีมู่ไม่ได้ผลแล้ว นางนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ปลอบว่า “ฮ่องเฮาเพคะ พระชายาหมิงอ๋องทำไมถึงได้รักษาอาการของโรคฝีดาษได้ล่ะเพคะ? อาจจะแค่โชคดีใช้ยาได้ถูก วิชาที่นางแอบเรียนมาจะเอามารักษาได้จริงได้ยังไงเพคะ? ถ้าไม่ใช่พระสนมไม่มีใคร นางก็คงไม่เรียกพระชายาหรอกเพคะ” ถึงแม้ที่วี่จือพูดจะไม่ผิด แต่ว่ายังไงนางก็ไม่วางใจอยู่ดี คนที่จวนหมิงอ๋องสายไหนไม่มีบ้าง หากว่าโล่หวินหลานรักษาโม่ฉีมู่หายจริงๆ งั้นแผนของนางก็ไม่มีความหมายน่ะสิ “ไม่ว่าโล่หวินหลานจะเป็นเทวดาหรือฮัวโต๋กลับชาติมากเกิด ก็ไม่มีทางรักษาฝีดาษของหลินอ๋องให้หายได้ เห้อ ข้าเองไม่ได้ออกนอกวังหลวงมานานแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องออกไปบ้างแล้ว” เย่ฮ่องเฮาพูด วี่จือเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่นางพูด จึงรีบถามนางว่า “พระนางจะไปที่จวนหลินอ๋องหรอเพคะ?” “หากข้ายังไม่ไปอีก จวนหลินอ๋องคงวุ่นวายกว่านี้แน่ หากไม่ทำให้โล่หวินหลานรู้อะไรบ้าง นางคงจะช่วยหลินอ๋องจนหายแน่ๆ” วี่จือค่อยๆบีบนวดขาของนาง จากนั้นก็คิด แล้วพูดว่า “พระนางทรงปรีชา พระชายาหมิงอ๋องทรงเห็นพระนาง เกรงว่าคงไม่มีความกล้าจะทำอะไรแล้วเพคะ เราต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าที่ชาวบ้านพูดกันมันจริงแค่ไหน” หึ ก็แค่ข่าวลือเท่านั้น พระชายาหมิงอ๋องตัวเล็กๆจะมาทำแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ ถึงเวลาที่ต้องไปเข้าเฝ้าแล้ว ฮ่องเฮาลุกขึ้น แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ จากนั้นก็ตรงไปยังห้องทรงอักษร สวินโม่เดินตรงเข้าจวนหมิงอ๋องโดยที่ไม่มีใครขวาง เขาเดินตรงเข้าไปมันไม่มีคนเลย เขาตรงไปยังห้องหนังสือของโม่ฉีหมิง “คำนับท่านอ๋อง” สวินโม่ทำความเคารพ เขาเดินเข้าไปแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็ดื่มชาแล้วก็พูดว่า “ชาของจวนท่านอ๋อง ช่วงนี้ข้าเอาแต่คิดปรุงยา ไม่ได้ออกไปไหนเลย ไกลจะเป็นผีดิบอยู่แล้ว” โม่ฉีหมิงมองมาที่สวินโม่ แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อ เหมือนเขาจะไม่ได้สนใจว่าเขาจะกลายเป็นผีดิบหรือเปล่า “เจ้ากำลังคิดค้นยาอะไร? เกี่ยวกับฝีดาษหรือเปล่า?” โม่ฉีหมิงพูดอะไรก็เป็นฝีดาษไปหมด สองวันนี้พระชายาหมิงอ๋องรักษาฝีดาษให้หลินอ๋องใครก็รู้กันไปทั่ว สวินโม่เองก็รู้ เขาเคยเห็นความรู้การแพทย์ของโล่หวินหลานมาแล้ว แต่ว่าเรื่องที่นางรักษาฝีดาษนั้นเขายังไม่ค่อยแน่ใจ ฝีดาษเป็นโรคที่เขาไม่คิดจะเข้าไปสัมผัสมันง่าย เขานับถือที่โล่หวินหลานกล้ามากขนาดนี้ อีกทั้งหมิงอ๋องเองก็เคยมีปัญหากับหลินอ๋องมาก่อน ไม่ว่าจะความกล้าหรือความใจกว้าง สวินโม่ก็นับถืออย่างไม่มีเงื่อนไข เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ใช่ เป็นยาลดอาการเจ็บปวดน่ะ” พูดจบ โม่ฉีหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก้มหน้าทำงานต่อไป สวินโม่รู้สึกว่าวันนี้โม่ฉีหมิงนิ่งผิดปกติ ปกติจะพูดจานิ่งๆ แต่วันนี้เขาก็เหมือนน้ำแข็งก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเลย เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก บรรยากาศในห้องหนังสือมันแปลกๆ เขายกน้ำชาขึ้นมาดื่ม สุดท้ายก็อดไม่ได้พูดว่า “ท่านอ๋อง จริงๆแล้วยานี่มันก็เกี่ยวกับฝีดาษอยู่บ้าง มันเป็นยาที่คนที่ติดโรคฝีดาษใช้ลดความเจ็บปวด .......” “อืม ......” โม่ฉีหมิงตอบรับ แล้วพูดต่อว่า “เจ้าช่วยข้าไปสืบเรื่องของคนๆหนึ่งทีสิ ที่จวนหลินอ๋องมีสาวใช้อยู่คนหนึ่ง ดูแลรับใช้หลินอ๋องกินข้าวใส่เสื้อผ้า แต่ว่าหลังจากหลินอ๋องติดโรคฝีดาษนางก็ตายไป เจ้าไปสืบทีสิว่าใครเป็นคนส่งนางมา” “อืม” สวินโม่ยกมือขึ้นคำนับ เขาผ่อนคลายตัวลง แล้วนั่งจิบชาต่อไป ถึงแม้หมิงอ๋องจะเป็นคนเย็นชา แต่ว่าในชาของจวนหมิงอ๋องไม่เลวจริงๆ “ท่านอ๋อง ได้ยินมาว่าพระชายาไปรักษาโรคฝีดาษให้กับหลินอ๋อง โรคฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง จะต้องระวังให้ดี” สวินโม่พูดจบก็ถูกโม่ฉีหมิงจ้อง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา “ขอบคุณคุณชายสวินที่เป็นห่วง ข้าระวังตัวดีอยู่แล้ว” ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีเหลืองลายห่าน บนผมปักปิ่นหยกลายดอกไม้อ่อน กับเครื่องประดับเล็กน้อย แต่ว่านางแต่งตัวแบบนี้แล้วราวกับดอกบัว นางค่อยๆเดินเข้ามา นางดูสบายตารากับบทกลอนที่ว่า ดอกบัวบนสายน้ำ ราวกับของเกาะสลักบนท้องฟ้า โม่ฉีหมิงเห็นนางสายตาที่เย็นชาก็หายไป มันแปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่อ่อนโยน “เห็นพระชายาปลอดภัยกลับมา ข้าก็รู้ว่าวิชาแพทย์ของท่านสูงส่งแค่ไหน ถือว่าข้ากังวลมากเกินไป ข้านึกขึ้นได้ว่าตากยาทิ้งไว้ที่จวน ข้าขอตัวก่อน” สวินโม่พูดจบ ก็รีบออกจากห้องหนังสือไป เหมือนวันนี้คนในจวนหมิงอ๋องจะไม่ค่อยอยากเจอเขาเท่าไหร่ เขารีบไปดีกว่า โล่หวินหลานเห็นเขาออกไป ก็หัวเราะ รอยยิ้มแบบนี้โม่ฉีหมิงเห็นอยู่ในสายตา “เขาเป็นอะไรไป? ทำไมวิ่งไปเร็วแบบนั้นล่ะ?” โล่หวินหลานยิ้มให้กับโม่ฉีหมิง เขารู้ว่ารอยยิ้มนี้มันไม่ได้ยิ้มเพื่อเขา ในสายตาของนางมีคนอื่นอยู่ได้ ตัวเขาไม่ใช่คนเดียวในสายตาเขาอีกต่อไปแล้ว เขาถูกความคิดแบบนี้ทำให้หวาดกลัว ไม่ได้ ในสายตาของนางจะต้องมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แต่ว่าผู้ชายที่โผล่มาวันนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เขาอยากจะมัดตัวนางเอาไว้ไม่ให้นางห่างตัวแม้แต่ก้าวเดียว เขาจับพู่กันไว้แน่น จากนั้นก็ค่อยๆไปตรงหน้าของโล่หวินหลาน เขาจับไปที่ใบหน้าของนาง ท่าทางของเขาอ่อนโยนมาก “ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” โม่ฉีหมิงพูดด้วยท่าทางที่ไม่เปลี่ยน โล่หวินหลานจับมือของเขาที่กำลังจับที่ใบหน้าของนาง แล้วส่ายหน้า “ไม่มี ทุกอย่างดีหมด หลินอ๋องอาการดีขึ้นมากแล้ว” “หรอ?” โม่ฉีหมิงยิ้ม จากนั้นก็ดึงมือออก รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงทิ่มแทงในตาเขา “ตอนที่เจ้าออกมาจากจวนหลินอ๋องเจ้าเจอใครบ้างหรือเปล่า?” โล่หวินหลานขมวดคิ้ว แต่ว่ารอยยิ้มบนหน้ายังไม่หายไป ไม่รู้ว่าเขาถามแบบนี้หมายความว่าอะไร แต่ว่านางก็ยังตอบความจริงไปว่า “ไม่มีนี่นา ทำไมถามแบบนี้ล่ะ?” เมื่อนางพูดมาแบบนี้ โม่ฉีหมิงก็เก็บสายตาที่มองนางกลับมา จากนั้นก็ยิ้มแห้งๆ โม่ฉีซิวไม่ได้ไปหานางหรอ? แล้วเขาไปรออยู่ที่หน้าจวนหลินอ๋องเพื่ออะไร? หรือว่า นางกำลังโกหกเขาอยู่? โม่ฉีหมิงรู้สึกอึดอัดมาก เขาพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆ หิวหรือยัง? เราไปกินข้าวกันเถอะ” พูดจบ เขาก็เลื่อนรถเข็นออกจากห้องหนังสือไป รอยยิ้มของโล่หวินหลานหุบลง แล้วเดินตามไปเข็นรถเข็นให้เขาไปกินข้าว นางรู้สึกว่าวันนี้โม่ฉีหมิงแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันแปลกตรงไหน สาวใช้ยกอาหารเย็นขึ้นมาให้ อาหารแต่ละอย่างทั้งหอมและร้อน มีทั้งผัดกระดูกเปรี้ยวหวาน เอ็นเนื้อผัด เป็ดทอด แล้วก็ยังมีผัดผักต่างๆ วางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด ยอมรับเลยว่า ทั้งอาหารเครื่องแต่งกายต่างๆของที่นี่ดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไร ไปไหน ก็มีคนคอยติดตามดูแลตลอด ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาก พอทั้งสองนั่งลง ก็สั่งสาวใช้มาดูแล โม่ฉีหมิงหยิบตะเกียบมาคีบกระดูกหมูเปรี้ยวหวานที่โล่หวินหลานชอบกินให้นาง เหมือนเขาจะชอบเห็นนางกินอาหารมาก “ใครก็ได้ ไปเอาขนมถั่วเหลืองมาที” โม่ฉีหมิงสั่งสาวใช้ โล่หวินหลานเงยหน้ามองเขา สายตาของนางเป็นประกายมาก เขาสั่งให้คนเตรียมมันเอาไว้ทุกวันจริงๆด้วย สาวใช้ยกจานขนมสีเหลืองมาวางไว้บนโต๊ะ โล่หวินหลานเอาตะเกียบจะไปคีบ แต่ยังไม่ทันได้แตะโดนมัน ก็ถูกตะเกียบของโม่ฉีหมิงตีตก “กินข้าวก่อน แล้วค่อยกิน” โม่ฉีหมิงจ้องไปที่นาง โล่หวินหลานเบะปาก นางฟุบลงกับโต๊ะ ไม่ให้นางกินตอนนี้แล้วจะรีบให้ยกมาทำไม? ตั้งใจเอามายั่วนางชัดๆ “ข้าหิวมาก ต้องกินมันก่อนถึงจะกินข้าวลง” โล่หวินหลานพูดอย่างไม่พอใจ โม่ฉีหมิงเห็นนางเป็นอย่างนี้ก็เลยคีบขนมหนึ่งชิ้นวางไปที่จานเล็กๆข้าง ทุกครั้งที่เห็นนางกินของที่นางชอบ เขาก็อดดีใจไม่ได้ กินข้าวเสร็จ สาวใช้ก็เก็บโต๊ะ โล่หวินหลานเข็นเขาออกจากห้องไป แล้วไปนั่งชมดาวที่เต็มท้องฟ้าอยู่ด้านนอก “วันนี้พระจันทร์สวยจังเลย วันนี้สิบหกค่ำหรอ” โล่หวินหลานมองไปที่พระจันทร์บนท้องฟ้า “วันนี้ยี่สิบสองค่ำ ไม่ใช่คืนสิบห้าค่ำ อีกอย่างคืนสิบห้าค่ำมันวันไหว้พระจันทร์” โม่ฉีหมิงพูดอย่างจริงจัง “พระจันทร์คืนสิบห้ามันจะเต็มดวงตอนคืนสิบหกนะ ท่านหมิงอ๋อง” โล่หวินหลานยิ้ม รออยู่นานไม่เห็นโม่ฉีหมิงพูดอะไร โล่หวินหลานกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไร ก็ได้ยินเขาพดว่า “ยิ่งดึกทางเดินยาก กลับเถอะ” พูดจบ เขาก็เลื่อนรถเข็นกลับไป โล่หวินหลานตามเขาไป แต่ว่าเดินไปไม่เท่าไหร่ นางก็เดินสะดุดหินอ่อนที่พื้น เกือบจะล้ม แต่ทันใดนั้นเองก็มีมือใหญ่ๆมาจับมือของนางแล้วพยุงนางเอาไว้ โล่หวินหลานพยายามยืนให้มั่น เมื่อกี้สะดุดตกใจมาก ยังดีที่จับมือของโม่ฉีหมิงเอาไว้ “ดูทางด้วยสิ” โม่ฉีหมิงพูดอย่างเรียบๆ แล้วก็เข็นรถเข็นไป “ดึกแล้วทางเดินยาก เห็นไม่ชัดก็เป็นเรื่องปกติ” โล่หวินหลานรีบเดินตามเขาไป พูดหยอกเขาด้วย “ต่อไปยังเป็นอย่างนี้อีก ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแล้ว” โม่ฉีหมิงไม่หันหน้ากลับไปมองนาง เขายังคงเข็นรถเข็นไป เสื้อสีดำของเขามันกลืนไปกับความมืด โล่หวินหลานเห็นเขาเข็นรถไป ก็รีบเดินตามไปเข็นให้ 
已经是最新一章了
加载中