ตอนที่ 47 ปะทะ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 47 ปะทะ
ต๭นที่ 47 ปะทะ “หมอหลวงสู ยังไม่รีบเข้าไปอีก” เย่ฮ่องเฮาพูดอย่างเด็ดขาด เมื่อได้ยินคำสั่ง หมอหลวงสูก็จะบุกเข้าไปในห้องของหลินอ๋อง ต้วนชิวเยนรีบเรียกสาวใช้ “หมิงเยว่ ฉ่ายเสีย พวกเจ้ารีบไปขวางเขาเอาไว้เร็ว” หมิงเยว่ ฉ่ายเสียเป็นนางกำนัลคนสนิทของต้วนกุ้ยเฟย ทำอะไรที่นางสั่งทุกอย่าง พวกนางรีบเดินไปขวางหมอหลวงสูเอาไว้ หมอหลวงสูก็ไม่รู้ต้องทำยังไง เขาก็ไม่อยากจะต้องปะทะกับนางกำนัลของต้วนกุ้ยเฟย เขาก็เลยมองไปที่เย่ฮ่องเฮา คิดไม่ถึงเลยว่าต้วนกุ้ยเฟยจะกล้าเป็นศัตรูซึ่งหน้ากับนาง เย่ฟังเสว่ตะโกนกับว่าดีออกมาถึงสามคำ จากนั้นก็สั่งให้ขันทีและนางกำนัลที่ยืนเรียงอยู่สองข้างด้านนอกออกมา แล้วชี้ไปที่หมิงเยว่ ฉ่ายเสียที่ยืนขวางอยู่หน้าหมอหลวงสูว่า “ต้วนกุ้ยเฟยสาวใช้ของเจ้าไม่รู้จักฐานะทำผิดกฎ ลากออกไป ตีให้ตาย” พริบตาเดียวบรรยากาศก็ดูวุ่นวายขึ้นมา หมิงเยว่ ฉ่ายเสียได้ยินคำว่าตีให้ตาย ไม่ตายก็แทบจะเป็นลม อายไม่เท่าไหร่เข้าวังมาก็ต้องมาถูกตีตาย พวกนางยื่นมือออกไปผลักขันทีกับนางกำนัลพวกนั้น นางกำนัลพวกนั้นเป็นของคนของเย่ฮ่องเฮา พวกเขาก็ไม่ต่างจากนางเลย พวกนางตบไปที่ใบหน้า แล้วก็ด่าว่า “นังชั้นต่ำ รับสั่งของฮ่องเฮาพวกเจ้าไม่ฟังกันแล้วใช่ไหม หรือว่าพวกเจ้าไม่เห็นฮ่องเฮาอยู่ในสายตาแล้ว?” ต้วนกุ้ยเฟยแทบจะหัวใจวายตาย นางยืนมองนางกำนัลของตัวเองถูกตบหน้า ก็โมโหแล้วพูดว่า “พวกเจ้าจะมากไปแล้วนะ พวกเจ้าเห็นข้าเป็นคนตายหรือไง? คิดอยากจะให้ตายก็ต้องตายหรอ คิดอยากจะตบก็ตบหรือไง?” เย่ฮ่องเฮาสนใจนางซะทีไหน? นางนั่งอยู่ข้างๆ ดื่มชาสบายใจ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกเจ้ารีบไปขวางพวกเขาไว้เร็ว จวนหลินอ๋องจะให้พวกคนชั้นต่ำแบบนี้มาบังอาจได้หรอ ไม่ได้ยินที่ข้าพูดกันหรือไง?” ต้วนกุ้ยเฟยโกรธจนนั่งไม่ติดแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปลากพวกเขาออกมา เห็นทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมลดราวาศอกเลย ฝ่ายหนึ่งก็คนที่สวมชุดต้านเชื้อสีน้ำเงิน อีกฝ่ายคือคนที่สวมชุดในวัง ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน โดยมีหมอหลวงยืนลำบากใจอยู่ตรงกลาง โล่หวินหลานเห็นฮ่องเฮาหย่นั่งดื่มชาสบายใจไม่มีท่าทีจะพูดอะไร ก็อดไม่ได้ลุกขึ้นมา นางเดินไปที่หน้าประตูห้อง แล้วหยุดไม้พองขึ้นมา จากนั้นก็ลองตบไปที่มือของตัวเองเพื่อวัดระดับความแข็งของไม้ จากนั้นก็ถือมันเดินเข้าไปในห้องโถง ภายในเสียงเอะอะแบบไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชุลมุน โล่หวินหลานฟาดไม้พองลงไปอย่างแรงโดยไม่สนใจว่าใครเป็นใคร นางตีไปที่พวกนางกำนัลที่สวมชุดในวัง “ที่นี่คือจวนหลินอ๋อง หลินอ๋องยังป่วยอยู่ คนป่วยต้องการการพักผ่อนพวกเจ้าไม่รู้หรือไง เอะอะเสียงดังอย่างกับหมาเห่ากันทำไม?” โล่หวินหลานใช้วิธีที่ง่ายที่สุด “ตีหมาไม่ดูเจ้าของ” แล้วก็ด่าพวกเขาไปชุดใหญ่ พวกขันทีนางกำนัลอึ้งไปที่ถูกตี แต่ว่าด้วยฐานะของโล่หวินหลานพวกเขาก็ไม่กล้าจะทำอะไร ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ถูกฝุกมาแล้ว จากนั้นไม่นานพวกเขาก็คุกเข่าลง ฟาดไปรอบนี้ก็เหมือนฟาดให้เย่ฮ่องเฮาได้ตื่นขึ้นมา นางคิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาหมิงอ๋องจะเด็ดขาดได้ขนาดนี้ “ตอนนี้รู้จักคุกเข่าแล้วหรอ? ออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้” โล่หวินหลานสีหน้าแดงเพราะเมื่อกี้ออกแรงฟาดไป นางใช้ไม้พองชี้ไปที่เหล่านางกำนัลขันทีที่คุกเข่า สายตาของนางดูดุดัน พวกเขาต่างวิ่งกันออกไปอย่างรวดเร็ว เย่ฮ่องเฮาค่อยๆลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ นางมองไปรอบๆ สายตาไปหยุดอยู่ที่โล่หวินหลาน สายตาของนางดูตกใจแล้วก็โกรธมาก “ข้าดูไม่ออกเลยว่าพระชายาหมิงอ๋องเองจะกล้าขนาดนี้ได้ เจ้ากล้าสั่งคนของข้าหรอ? หากข้าเอาเรื่องนี้ไปทูลฝ่าบาทแล้วล่ะก็ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีความผิดอะไรบ้าง?” น้ำเสียงของนางเรียบง่ายราวกับว่ายังไงวันนี้นางก็ชนะแน่นอน โล่หวินหลานกลัวนางที่ไหน นางโยนไม้พองทิ้งไป แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดนิ้วมือ “ฮ่องเฮาเพคะ ท่านพาเหล่าขันทีนางกำนัลมาก่อเรื่องที่จวนหลินอ๋อง ไม่ได้คิดถึงอาการป่วยของหลินอ๋องเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านเป็นถึงแม่ของแผ่นดินแต่ไม่มีความเมตตาเอาวะเลย หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาททรงปรีชา ทรงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแน่นอนเพคะ” “เจ้า ได้ พระชายาหมิงอ๋อง ......” เย่ฮ่องเฮาพูดยังไม่ทันจบ ก็โกรธจนพูดอะไรไม่ออก ต้วนกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างๆเริ่มสงบลง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “จวนน้องเจ็ดคึกคักดีจังเลยนะ เสด็จแม่ พระสนมอยู่ที่นี่กันครบเลย ดูท่าหม่อมฉันจะมาช้าไปหน่อย” เสียงใสๆเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงที่คุ้นเคย ยังไม่ทันได้เดาว่าเป็นใคร เขาก็เดินเข้ามาแล้ว โม่ฉีซิวสวมชุดสีขาว แขวนหยกขาว ปักปิ่นหยกเขียว สีหน้าท่าทางไม่ได้ซีดเซียวแล้ว วันนี้จวนหลินอ๋องนี่ครึกครื้นจริงๆ ฮ่องเฮาเสด็จมาด้วยตัวเอง จากนั้นก็รัชทายาทอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์พี่น้องหรือเพราะเหตุผลอื่น “ซิวเอ๋อ เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? มานั่งเร็ว น้องเจ็ดเจ้าติดโรคฝีดาษ หากไม่มีอะไร ก็อย่ามาที่นี่เลย ความหวังดีของเจ้าทุกคนรู้ดี” เย่ฮ่องเฮาสีหน้าเริ่มตื่นกลัว กว่าจะรักษาอาการป่วยของเขาที่เป็นมาตั้งแต่เด็กหายได้ ถ้าติดโรคฝีดาษไปจะทำยังไง? เมื่อฟังเย่ฮ่องเฮาพูดมาแบบนี้ ต้วนกุ้ยเฟยสีหน้าก็ไม่ดี โล่หวินหลานเข้าใจความอยากจะปกป้องลูก นางพาคนมาก่อเรื่อง แต่พอถึงตัวลูกของตัวเองก็ไม่อยากให้มีอันตราย แต่ว่า โม่ฉีซิวกลับพูดเสียงดุว่า “เสด็จแม่ น้องเจ็ดเป็นน้องชายของหม่อมฉัน เขาติดโรคฝีดาษ ข้าในฐานะพี่ชายมาเยี่ยมเขาจะเป็นอะไรไป? หากวันนี้ข้าไม่มา มันจะกลายเป็นว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์พี่น้องของเราไปน่ะสิ” “ซิวเอ๋อ เจ้า ......” “เสด็จแม่ หม่อมฉันยังไม่ได้เข้ามาในจวนก็เห็นท่านพาคนเข้ามาที่จวนน้องเจ็ดแล้ว พระชายาหมิงอ๋องก็บอแล้วว่าน้องเจ็ดป่วยหนักต้องพักผ่อนให้มาก ท่านก็กลับวังไปดีกว่า ตรงนี้เดี๋ยวหม่อมฉันจะดูแลแทนท่านเอง” ไม่เสียงแรงที่โม่ฉีซิวเป็นรัชทายาท พูดจบก็สั่งให้วี่จือนางกำนัลคนสนิทของนางมา “ดูแลเสด็จแม่กลับวังให้ดี หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเอาเรื่องเจ้า” โล่หวินหลานนังจิ้งจอก เจ้าใช้มนต์คาถาอะไรกับลูกาชายข้า เขาถึงย้อนกลับมาทำแบบนี้กับแม่ของตัวเองได้ ลูกชายนี่ใช้ได้ผลดีเลยทีเดียว พูดแค่ไม่กี่คำก็ไล่เย่ฮ่องเฮากลับไปได้แล้ว สายตาของต้วนกุ้ยเฟยมองมาที่สองคนนั้น นางรู้ว่าโม่ฉีซิวไม่มีทางทำเพื่อนางเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำเพื่อ ...... นางตะลึงไป อย่าบอกนะว่า ...... แต่ว่านางยังไม่ทันได้สงสัยเสร็จเลย โม่ฉีซิวก็พูดขึ้นมาว่า “พระสนม เสด็จแม่ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ หม่อมฉันขออภัยแทนนางด้วย” ต้วนกุ้ยเฟยพูดว่าไม่เป็นไรหลายครั้ง เขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “หม่อมฉันขอเข้าไปเยี่ยมน้องเจ็ดหน่อยได้ไหม?” “ได้สิ อยู่ด้านใน เข้าไปสิ” พูดจบ โม่ฉีซิวก็ยิ้มให้กับต้วนชิวเยน แต่สายตากับมองไปที่โล่หวินหลาน แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน โล่หวินหลานกลับไปที่ห้องทดลองยา เป้าหมายของฮ่องเฮาก็คือขัดขวางการรักษาของนาง แต่กลับถูกโม่ฉีซิวไล่กลับไป คิดว่านางคงไม่กลับมาอีกแล้ว ส่วนต้วนกุ้ยเฟยก็คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วก็กลับไปที่เรือนตะวันตก นางหยิบเพนิซิลลินแล้ววางไปที่เพาะเชื้อ จากนั้นนางก็บิดขี้เกียจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมา อาทิตย์ก็ตกดินแล้ว แสงอาทิตย์ตกดินจากนอกหน้าต่างสาดเจ้ามาที่โต๊ะภายในห้อง หากเป็นไปตามนี้ พรุ่งนี้ก็จะสามารถนำวัคซีนนี้ฉีดให้กับโม่ฉีมู่แล้ว โล่หวินหลานถอดชุดต้านเชื้อออก แล้วออกจากจวนหลินอ๋อง ยังไม่ทันได้ขึ้นรถม้าที่โม่ฉีหมิงส่งมารับ โม่ฉีซิวที่รออยู่นานก็เดินออกมา แล้วยิ้มให้นาง โม่ฉีซิวเดินเข้ามาใกล้นาง นางยังไม่ทันได้คำนับ เขาก็รีบพยุงนางขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องมากพิธีกับข้าหรอก หากจะทำแบบนี้ ข้าควรทำกับเจ้ามากกวว่า เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย” บทสนทนาที่มีมารยาทแบบนี้ มันเหมือนต้องการขอบคุณด้วยความจริงใจจริงๆ แต่ว่าโล่หวินหลายกลับเดินถอยหลัง พูดด้วยความห่างเหินว่า “มันเป็นเรื่องที่เราตกลงกันไว้อยู่แล้ว จริงๆมันก็ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรกันหรอก” “ไม่” โม่ฉีซิวเดินเข้าใกล้นางอีก “เป็นคนก็ต้องมีเหตุมีผล ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” เขาพูดจบก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากหน้าอก ภายนอกกล่องแกะสลักลวดลายมังกรกับหงส์ประณีตมากๆ ขอบด้านข้างปักด้ายสีทอง ดูก็รู้ว่าเป็นของในวัง เมื่อเปิดกล่องออก มันเป็นกำไลทองคำหนึ่งชิ้น กำไลสลักลายหงส์ มันส่องสว่าง ถึงแม้โล่หวินหลานจะไม่ใช่คนในสายนี้ แต่ดูก็รู้ว่ามันจะต้องมีมูลค่ามาก “หวินหลาน น้ำใจเล็กน้อยจากข้า เจ้าจะต้องรับมันเอาไว้นะ ไม่อย่างนั้น ข้ายอมให้ตัวเองบาดเจ็บอีกครั้ง แล้วไม่ต้องรักษาปล่อยให้ตายไปดีกว่า” คำพูดของโม่ฉีซิวทำให้นางตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ขณะที่กำลังอึ้งอยู่ กำไลทองก็ไถลเข้าไปในข้อมือของนางแล้ว หมายความว่าไง? เขากำลังจะใช้ชีวิตของตัวเองบังคับให้นางใส่กำไลนี้หรอ? “เจ้าไม่เห็นค่าชีวิตตัวเองแบบนี้ หากเจ้าบาดเจ็บจริง ข้าไม่มีทางเสียเวลาช่วยเจ้าแน่นอน กำไลนี่ข้ารับไว้ไม่ได้จริงๆ เจ้าเอาไปให้คนอื่นเถอะ” โล่หวินหลานกำลังจะถอดกำไลออกคืนให้เขา ด้านหลังของนางก็มีเสียงเข้มๆเสียงหนึ่งดังขึ้น ในมุมที่โม่ฉีหมิงเห็น ท่าทางที่โล่หวินหลานกำลังถอดกำไลมันถูกบังเอาไว้ เขาเห็นแค่โม่ฉีซิวกำลังเข้าใกล้หูของนางเหมือนกำลังพูดอะไรกันอยู่ น้ำเสียงแบบไม่พอใจ มันดังเข้าหูของโล่หวินหลาน นางตกใจแล้วหันไปมอง เห็นสายตาที่เย็นชาของโม่ฉีหมิงกำลังจ้องมาที่นาง “ใกล้ชิดสนิมสนม ลึกซึ้งกันดีนี่” เสียงของโม่ฉีหมิงไม่รู้อารมณ์ความรู้สึกอะไร สายตาของเขาจับจ้องไปที่กำไลที่ข้อมือของโล่หวินหลาน “สงสัยข้าคงมารบกวนพวกเจ้า พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ” พูดจบ เขาก็เลื่อนเก้าอี้จากไป โล่หวินหลานรู้สึกไม่รู้ต้องทำยังไงต่อ นางจ้องเขม่งไปที่โม่ฉีซิว จากนั้นก็รีบตามโม่ฉีหมิงไป ส่วนโม่ฉีซิวที่เห็นพวกเขาสองคนจากไป รอยยิ้มจากมุมปากหายไปทีละน้อย 
已经是最新一章了
加载中