ตอนที่ 49 ประสบอันตราย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 49 ประสบอันตราย
ต๭นที่ 49 ประสบอันตราย ตั้งแต่คืนวันที่ออกมาจากห้องเก็บของ โล่หวินหลานก็ไม่เห็นเงาของโม่ฉีหมิงเลย แสดงว่าเขาอยากจะทำสงครามเย็นกับนางใช่ไหม ได้ สงครามเย็นก็สงครามเย็น ใครกลัวกันล่ะ โล่หวินหลานหันหน้า แล้วเดินตรงไปยังหน้าประตูใหญ่ของจวนหมิงอ๋อง แต่ว่าในใจของนางกับอึดอัดไม่สบายใจเลย ทั้งที่นางกับโม่ฉีซิวไม่ได้มีอะไรกันเลย แต่กลับถูกเขาเข้าใจผิดแบบนี้ สายตาที่เย็นชาของเขามันวนเวียนอยู่ในหัวของนางตลอดเวลา เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนหลินอ๋อง นางก็เก็บเรื่องของโม่ฉีหมิงเอาไว้ในใจก่อน แล้วค่อยสวมชุดต้านเชื้อ จากนั้นก็ไปเอาวัคซีนที่ห้องทดอลองยา วันนี้เอามันมาใช้ได้แล้ว “หมิงเยว่ ไปเฝ้าหน้าประตูไว้ ห้ามให้ใครเข้ามาข้างในเด็ดขาด” โล่หวินหลานพูดแล้วก็สวมผ้าปิดปาก หมิงเยว่เห็นความร้ายกาจของนาง ก็เชื่อในคำพูดงของนางเอามากๆ รีบวิ่งออกไปเฝ้าหน้าประตูเอาไว้ โถ เข็มฉีดยา แล้วก็ของทุกอย่างครบแล้ว โล่หวินหลานก็เริ่มการดึงเอายาปฏิชีวนะออกมา ขั้นตอนการเอายาปฏิชีวนะออกมานั้นง่ายมาก และรวดเร็ว เมื่อเปิดประตูห้องทดลองยาออก ก็เห็นต้วนกุ้ยเฟยที่หน้าร้อนใจยืนมองอยู่ด้วยสายตาที่สงสัย “หวินหลาน ......” เห็นว่าโล่หวินหลานไม่ได้สนใจนาง แต่เดินตรงไปยังห้องนอนของโม่ฉีมู่เลย ต้วนกุ้ยเฟยก็รีบตามไป “พระสนม ข้าจะฉีดยาปฏิชีวนะให้กับหลินอ๋อง” โล่หวินหลานเปิดกล่องยาออก ด้านในมีแต่อุปกรณ์การแพทย์สมัยใหม่ทั้งหมด “อืม ยา ....... ปฏิชีวนะ ......” ต้วนกุ้ยเฟยไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน พูดตามตรง ตอนที่เห็นของข้างในกล่องของนาง จะบอกว่าไม่ตกใจคงโกหกเกินไป ต้วนกุ้ยเฟยมีชีวิตมานานขนาดนี้ เห็นเครื่องมือมีดดาบก็มาก แต่ว่า ...... มีดเล็กๆแบบนี้มันมีที่ไหนกัน โล่หวินหลานคิดถึงภาพการรักษาคนในตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล จากนั้นก็เริ่มการดูดยาปฏิชีวนะ นางใช้สายยางมัดแขนของโม่ฉีมู่เอาไว้ แล้วก็หาเส้นเลือดแล้วก็ฉีดยาเข้าไป เมื่อเห็นยาในเข็มค่อยๆเข้าไปในตัวของโม่ฉีมู่ ต้วนกุ้ยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะเอาผ้าปิดปากไว้ “นี่มัน ...... การแพทย์แขนงไหนกัน?” “มันคือการรักษาผ่านเส้นเลือด เอาล่ะ ฉีดยาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็แค่รอหลินอ๋องฟื้น” นางเก็บเข็มฉีดยา แล้วตรวจสภาพตุ่มหนองที่แขน นอกจากตุ่มหนองที่ครั้งที่แล้วหมอหลวงใช้ยามั่วแล้วมันแตก ที่อื่นก็ไม่มีอาการติดเชื้ออะไรเพิ่มเติม “ตุ่มหนองไม่มีอาการติดเชื้อเพิ่ม อีกสองสามวัน ก็น่าจะแห้งแล้วตกสะเก็ด ไม่นานฝีดาษของหลินอ๋องก็จะหายดี” โล่หวินพูด ต้วนกุ้ยเฟยโล่งใจ นางเห็นโล่หวินหลานขอบตาคล้ำ ก็พูดว่า “หวินหลาน เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนบ้างนะ เจ้าต้องอดนอนเพราะมู๋เอ๋อ ดูสิขอบตาเจ้าคล้ำหมดแล้ว ข้ารู้สึกว่าเพราะข้าไม่ดีเอง” พูดถึงเรื่องตาคล้ำ ใครจะรู้ดีไปกว่าโล่หวินหลานล่ะ เมื่อคืนนอนไม่หลับ แต่ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องโรคของโม่ฉีมู่ แต่เป็นเพราะเรื่องของโม่ฉีหมิง นางยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยพระสนมที่ทรงห่วง หม่อมฉันจะระวังให้มาก” ต้วนกุ้ยเฟยยื่นมือไปจับมือของโล่หวินหลาน แล้วยิ้ม “ระหว่าเราไม่ต้องขอบคุณหรอกนะ หลายวันก่อนคณะทูตต่างแดนได้เอาโสมแก่พันปีมาถวาย ข้าคิดว่าเจ้าเอาไว้บำรุงร่างกายดีที่สุด ก็เลยเอามันออกจากวังมาด้วย” ขณะที่พูด หมิงเยว่ก็เดินหยิบกล่องผ้าแพรเข้ามา แล้วยื่นให้นางหลังจากนั้นก็เปิดกล่องออก ด้านในเป็นโสมแก่พันปีวางอยู่ โล่หวินหลานปฏิเสธอย่างมีมารยาทกลับไปว่า “หม่อมฉันรักษาหลินอ๋องในฐานะหมอคนหนึ่ง อีกทั้งก็ทำในฐานะเครือญาติ ช่วยเหลือกันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว พระสนมไม่จำเป็นต้องให้ของหม่อมฉันก็ได้เพคะ” คำพูดแบบนี้แม้แต่ตัวนางพูดออกมายังอยากจะอ้วกเลย นางมารักษาโรคให้หลินอ๋องเพราะไม่มีทางเลือกชัดๆ เครือญาติเข่นฆ่าอยู่ไม่ใช่หรือไง? อีกทั้งต้วนกุ้ยเฟยเป็นยังไงทำไมนางจะไม่รู้ ของที่ให้นางนางกล้ากินที่ไหนกัน ไม่ปฏิเสธไปคงแปลก แต่ว่านางยังคงไม่ตายใจ ยังคงยื่นกล่องมาให้โล่หวินหลานแล้วพูดว่า “หวินหลาน นี่มันน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ยังไงเจ้าก็ต้องรับไว้นะ” หากปฏิเสธอีกคงไม่ดีแน่ โล่หวินกลายก็เลยจำใจรับเอาไว้ “ก็ได้ ขอบพระทัยพระสนม” ต้วนกุ้ยเฟยยิ้ม โสมแก่พันปีต้นเดียวที่ไม่รู้มีพิษไหมคิดจะมาซื้อตัวนางงั้นหรอ? รอโม่ฉีมู่ฟื้นมาก่อนเถอะ ถึงวันนั้นไม่ได้มีแค่โสมแน่ๆ นางถือโสมเดินออกจากจวนหลินอ๋อง โล่หวินหลานมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นรถม้าของพ่อบ้าน โม่ฉีหมิงจะทำสงครามเย็นกับนางก็ได้ แต่ทำไมต้องมาตัดยานพาหนะของนางด้วยล่ะ? ใจแคบเกินไปแล้วนะ โล่หวินหลานกระทืบเท้าอย่างแรง กำลังคิดว่าทางกลับจวนก็ไม่ได้ไกลมาก เดินกลับไปเองก็ได้ ปกตินั่งอยู่ในรถม้าก็ไม่ได้คิดว่าไกลมาก แต่พอเดินก็รู้สึกเมื่อยล้าเหมือนกัน นางลืมไปว่าจวนหมิงอ๋องอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ส่วนจวนหลินอ๋องอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง เมื่อมาถึงสะพานลั่วหมิง ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ใต้สะพานมีเรืออยู่หลายลำ ร้านค้าด้านหน้าเริ่มจุดตะเกียงกันแล้ว ท้องที่ว่างเปล่าไม่มีอาหารเริ่มทำให้นางปวดท้อง แต่นางก็ยังเลือกที่จะเดินไปยังตรอกเล็กๆเพื่อกลับไปยังจวนหมิงอ๋องก่อน แต่เมื่อเดินเข้ามาในตรอกมืดแบบนี้ นางก็รู้สึกเสียใจเมื่อตัดสินใจพลาดไป ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว ทั้งด้านหน้าด้านหลังกำลังถูกคนลอบโจมตี กลุ่มชายสวมชุดผ้าขาดๆยืนปิดทางเข้าออกไว้ พวกเขาถอดเสื้อผ้า แล้วเดินบีบเข้ามาใกล้ น้ำเสียงของความหื่นกามดังเข้าหูของนาง “แม่นางน้อยอย่าหนีสิจ๊ะ มาถึงนี่แล้วก็มีความสุขกันดีกว่า มาสนุกกับพวกเราเถอะนะ” โล่หวินหลานรู้สึกตกใจ นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา นางอ่านข่าวมาก็เยอะ รู้ว่ามีคดีอย่างนี้เยอะมาก แต่ไม่คิดว่าในโบราณก็มีไม่ต่างกัน “หลีกไปนะ” โล่หวินหลานพูดออกไป แล้วก็เตรียมป้องกันตัว “โอ้โห ดุซะด้วย ดุๆแบบนี้ข้าชอบ มามะมาให้ข้าหอมสักทีสองทีเถอะ” ชายหยาบคนหนึ่งเดินเข้ามาจับไหล่นาง นางก็เลยกัดไปที่แขนของเขาอย่างแรง จนกระทั่งมือของเขาเลือดออก ชายคนนั้นถึงได้สะบัดนางออก หัวของนางไปชนเข้ากับกำแพงอย่างแรง ชายคนนั้นจ้องไปที่นางด้วยสายตาที่เหี้ยมโหด จากนั้นก็ตบไปที่หน้าของนาง “นังแพศยานี่ กล้ากัดข้าหรอ พวกเราลุย” คนพวกนี้เป็นนักเลงหัวไม้ที่เห็นแก่เงินเท่านั้น อีกทั้งค่าจ้างที่พวกเขาได้มาก่อนหน้านี้มันก็มากพอที่จะให้พวกเขาสบายไปทั้งชาติ แค่ทำตามใบสั่งให้เรียบร้อยก็พอ โล่หวินหลานถูกตบหน้าชาเวียนหัว นางค่อยๆไหลลงไปกับพื้น “ลุย” ชายคนหนึ่งออกคำสั่ง กลุ่มชายที่เหลือก็พุ่งเข้ามา เหมือนกับหิวโหยมานาน ขณะที่มือของพวกเขากำลังจะแตะถูกตัวของโล่หวินหลาน ก็มีธนูเล่มหนึ่งพุ่งมาถูกมือของชายพวกนั้น “อ๊าก” เสียงกรีดร้องของชายคนนั้นดังขึ้น มันดังเข้าหูของพวกเขา เขาจับไปที่มือของตัวเองแล้วก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น “เอิ่ม ...... ทุกคนถอย” ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา เสียงล้อรถเข็นกำลังเคลื่อนที่เข้ามาดังใกล้เข้ามา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร ความหวาดกลัวของโล่หวินหลานเริ่มจางลง โม่ฉีหมิงปรากฏตัวอยู่ในสายตาของคนพวกนั้น ความเย็นชาของเขาแพร่ออกมา ตอนนี้เขาเหมือนยมทูตที่มาจากนรก ชายคนนั้นเห็นหน้าโม่ฉีหมิง ก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันที สายตาอันเยือกเย็นของเขาจ้องไปที่โล่หวินหลาน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “มานี่” เสียงที่คุ้นเคย น้ำเสียงที่เย็นชามันเหมือนเชือกที่ดึงเอาใจของนางไป ความเจ็บปวดจากสงครามเย็นที่มีต่อกันมันจางหายไป นางเดินไปหาเขาโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อนางเดินมาข้างๆเขา โม่ฉีหมิงก็เงยหน้ามองนาง ความโมโหที่แพร่ออกมาค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น “เมื่อกี้ใครเป็นคนทำร้ายเจ้า?” น้ำเสียงเย็นระเยือกถามขึ้นมา โล่หวินหลานชี้ไปที่ชายคนนั้น เขาตัวสั่นแล้วก็คุกเข่าลง นางไม่ใช่คนที่จะต้องแก้แค้น แต่ว่าความกลัวเมื่อกี้ทำให้นางไม่สงบ “ฉินหยิ่น ตัดมือของมันออกมา แล้วโยนไปให้หมาป่ากินซะ” เสียงทุ้มต่ำที่เย็นชาดังออกมาแบบไม่มีความรู้สึกอะไร ฉินหยิ่นรับคำแล้วก็ไป “อย่านะ” โล่หวินหลานตะโกนออกไป มันโหดร้ายเกินไป โม่ฉีหมิงมองหน้าด้วยความตกใจ “พวกเขาทำร้ายเจ้า เจ้าอยากให้ข้าปล่อยพวกมันไปงั้นหรอ? พวกมันเคยคิดถึงความรู้สึกของเจ้าไหม? เคยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างหรือเปล่า? ฉินหยิ่นไป” พริบตาเดียวเสียงกรีดร้อง กลิ่นคาวเลือดก็ฟุ้งไปทั่วตรอก นี่ไม่ใช่ผลที่โล่หวินหลานต้องการ แต่ว่านางก็รู้ว่าโม่ฉีหมิงไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่นอน นางรู้สึกหนาวใจ ชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่ได้มีค่าอะไร แต่ว่ายังไงก็เป็นชีวิตของคน “เหลือไว้คนหนึ่ง เราพากลับไปสืบสวนให้ดี” โม่ฉีหมิงสั่ง แล้วจูงมือโล่หวินหลานเดินออกจากตรอกไป นางทำร้ายพวกเขา โล่หวินหลานหลับตาลง ชีวิตหนึ่งชีวิตต้องมาตายเพราะนาง แล้วมันต่างอะไรกับมือของนางต้องเปื้อนเลือดเองล่ะ? นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นโม่ฉีหมิงเลือดเย็นขนาดนี้ เมื่อกลับมาถึงจวนหมิงอ๋อง โล่หวินหลานสะบัดมือออกจากมือของเขา แล้วเดินไปอย่างไร้ความรู้สึก เสียงหัวเราะแห้งดังขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าโหดเหี้ยมใช่ไหม ที่ฆ่าพวกเขา? เจ้ารู้สึกว่าข้าน่ากลัวงั้นสินะ?” นางอึ้ง แล้วแต่เขาจะคิดเถอะ นางเหนื่อยมากแล้ว ไม่ว่าจะร่ายกายหรือใจ “ปึ้ง” โม่ฉีหมิงเขวี้ยงเก้าอี้ให้ลอยออกไปชนประตู เก้าอี้แตกเป็นเสี่ยง “โล่หวินหลาน เจ้ากลับมาโกรธข้าเพราะคนที่จะทำร้ายเจ้าหรอ? เจ้ารู้หรือเปล่าตอนที่ข้าหาเจ้าไม่เจอข้ากลัวมากแค่ไหน? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตอนที่ข้าเห็นพวกมันตบเจ้าข้าโกรธแค่ไหน? ข้าอยากจะฆ่าพวกมันให้ตายให้หมด สิ่งที่พวกมันได้รับมันไม่สาสมกับความเจ็บปวดที่มีอยู่ในใจข้าเลย” โม่ฉีหมิงตะโกนเสียงดัง เขาพูดความในใจของเขาออกมา ความห่วงใยของเขามันออกมาจากไปเขาไม่หยุด โล่หวินหลานได้ฟังซาบซึ้งใจ เขาไม่เคยพูดว่าห่วงออกมาเลยสักครั้งเดียว เขาเก็บความรู้สึกของเขาเอาไว้ตลอดเวลา นางตัวสั่น น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว “หากพวกมันไม่ตาย มันไม่สามารถทำให้ความแค้นในใจของข้าเบาบางลงได้เลย หวินหลาน เจ้าเข้าใจไหม?” น้ำเสียงของเขามันนิ่งขึ้น แต่ว่า แต่ว่า ...... โล่หวินหลานไม่อยากจะฟัง ทุกครั้งที่นางหลับตาลงก็จะเห็นภาพของเลือดที่นองเต็มพื้น “ข้า ข้าเหนื่อยแล้ว เรื่องนี้ อย่าพูดถึงมันอีกเลย” นางก้มหน้า น้ำเสียงดูเพลียมาก นางยืนอยู่นาน จากนั้นก็พยุงประตู แล้วเดินออกจากห้องโถงไป ฟ้ามืดแล้ว ระหว่างที่เดินออกไป นางก็ได้ยินเสียงข้าวของแตกเป็นระยะ เสียงนั้น มันห่างไกลออกไปเรื่อยๆ 
已经是最新一章了
加载中