ตอนที่ 11 ภาพบันทึก ณ สถานที่เกิดเหตุ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 11 ภาพบันทึก ณ สถานที่เกิดเหตุ
ตอนที่ 11 ภาพบันทึก ณ สถานที่เกิดเหตุ เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจไปทั่วทั้งสถานศึกษา อาจารย์ฝ่ายปกครองเกือบจะลงบันทึกตัดคะแนนพฤติกรรมพวกเราไปแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อเห็นว่าจิตใจของพวกเราต่างก็ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เนื่องจากได้รับความตกใจจำนวนมาไม่น้อยมา จึงตัดสินยอมให้พักการเรียนเพียง 1 อาทิตย์เท่านั้น สถานการณ์ของจ้าวเซียวไม่สู้ดีนัก ในตอนที่ไปถึงโรงพยาบาล เธอก็เหลือเพียงลมหายใจเข้าไร้ลมหายใจออกแล้ว ทางโรงพยาบาลพยายามช่วยชีวิตอยู่ตลอดทั้งคืน และในที่สุดก็นับว่าสามารถยื้อชีวิตกลับมาจากยมบาลได้ ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่ในห้องICU แต่ว่าจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดวงชะตาแล้ว พ่อแม่ของจ้าวเซียวและจางเจียเย่นร้องไห้หนักทั้งวันทั้งคืน ไป๋หย่าถิงเองก็ตกใจสะพรึงอยู่ไม่น้อย ในวันต่อมาเธอจึงรีบจองตั๋วกลับบ้านเกิดไป และทิ้งให้เหลือเพียงฉันคนเดียวที่ต้องทนรับกระแสลมปากแหลมคมของผู้คน ถ้าหากว่าในตอนแรกทุกคนเพียงคิดว่าการเข้าใกล้ฉันจะเป็นเกิดอันตราย ในตอนนี้สายตาที่ทุกคนใช้มองมาก็ดูราวกับว่าฉันเป็นฆาตกรอย่างไรอย่างนั้นไปแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันไม่โกรธการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบของไป๋หย่าถิง แต่ว่าตัวฉันเองก็ผิด ถ้าหากในตอนนั้นฉันปฏิเสธจ้าวเซียวอย่างหนักแน่น เรื่องราวน่าเศร้าสลดเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เยนหนานเองก็เช่นกัน หลังจากคืนนั้นเธอก็สลบไปไม่ฟื้นขึ้นมา เมื่อทำการตรวจสอบแล้วก็พบว่าร่างกายของเธอปกติดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ไม่ฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง ฉันอยู่เฝ้าเยนหยานด้วยสภาพไร้จิตวิญญาณ เยนหนานกับฉันเป็นมีบ้านเกิดอยู่ที่เดียวกัน แน่นอนว่านั่นทำให้ความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่มีต่อกันดีกว่าปกติเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อในตอนนี้มาเกิดเรื่องเช่นนี้กับเธอ ฉันเองก็เสียใจจนรู้สึกราวกับชิ้นส่วนของหัวใจหายไปบางส่วน ไม่ว่าฉันจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเลยว่า ปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหนกันแน่ ในคืนนั้นพวกเราไปที่ห้องนอนเป็นที่แรก และได้นำเอาแนวป้องกันขึ้นมาจากทางเข้าแล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แม้ว่าฉันจะกล้าแค่ไหนก็ไร้หนทางจะเข้าไปตรวจดู แต่ว่าภาพบรรยากาศที่ถูกเขียนเต็มไปด้วยคำว่า “ช่วยด้วย” กลับตราตรึงอยู่ในหัวของฉันไม่เลือนหายไป ใครกำลังขอความช่วยเหลืออยู่กันนะ? ฉันไม่มีข้อมูลเบาะแสอะไร เดิมทีก็ไม่อาจจะนึกจุดสำคัญอะไรออกมาได้ เทียนปูหยู่มอบหนังสือเล่มหนึ่งให้กับฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้รู้เลยว่าจะสามารถใช้มันได้อย่างไร และเมื่อในเวลานั้นไร้ซึ่งหนทาง สิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเพียงแต่ความร้อนรนเท่านั้น ตัวฉันในตอนนี้เหมือนอยู่ท่ามกลางเกาะร้างด้วยตัวคนเดียว ตัดขาดจากโลกภายนอก แม้ว่าอยากจะขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีใครยินดีจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กผู้หญิงที่มีคดีอันตรายติดตัวอยู่ถึง 2 คดีหรอก ฉันรู้สึกผิดมากจนเกือบจะร้องไห้ออกมา และในตอนนั้นเอง อยู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องพักก็ดังขึ้น จะต้องขออธิบายก่อนสักเล็กน้อย หอพักที่พวกเราพักอาศัยอยู่นั้นไม่มีคุณป้าประจำหอคอยดูแล ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นหอพักหญิง แต่ว่าผู้ชายก็สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นเมื่อเห็นผู้ชายวัย 27-28 ปียืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง ฉันก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลยแม้แต่น้อย และทำเพียงถามออกไปอย่างระมัดระวังเท่านั้น : “คุณเป็นใครคะ?” ชายคนนั้นคาบบุหรี่เอาไว้ในปาก กลิ่นของบุหรี่และสายตาสอดส่องของเขาทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ จนอยากจะปิดประตูลงในทันที “เดี๋ยวก่อน” อยู่ๆ เขาก็ยื่นมือเข้ามาขัดขวางการปิดประตูของฉัน : “นักศึกษา เธอคือเฉินน่อใช่ไหม?” “ใช่ค่ะ คุณต้องการอะไรคะ?” น้ำเสียงของฉันไม่สู้ดีนัก อยู่ๆ เขาก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย : “สวัสดีนักศึกษา ฉันเป็นหนึ่งในตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ ชื่อว่าซูหลิน” เมื่อซูหลินนำบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาให้ฉันดู ฉันถึงได้เชื่อในสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาบ้าง แต่ว่าก็ยังไม่ได้วางใจนัก การตรวจสอบคดีจะมีตำรวจเพียงคนเดียวเข้ามาตรวจสอบได้อย่างไร อีกทั้งการแต่งตัวของเขาก็ดูไม่เหมือนตำรวจเลยสักนิด “คดีนี้มีความพิเศษอยู่ ข้างบนก็เลยส่งฉันมาตรวจสอบ” ซูหลินเก็บบัตรประจำตัวไป และหรี่ตาลงพูด : “เป็นยังไงบ้าง นักศึกษาเฉินน่อ พวกเรามาคุยกันหน่อยได้ไหม?” ฉันจ้องมองไปที่เขาอยู่นาน เขาเองก็จ้องมองตอบกลับมาโดยไม่ได้แสดงท่าทีหวาดเกรงอะไร สุดท้ายฉันก็เลยลดทิฐิลง : “ก็ได้ค่ะ” ฉันตามเขาออกมา ในตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะพาไปคุยในสถานที่ที่เงียบสงบ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพาฉันไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตแห่งหนึ่ง ซูหลินเข้าไปด้วยท่าทีคุ้นเคยกับสถานที่ จากนั้นก็หาที่ว่างนั่งลง ท่าทีที่ดูคุ้นเคยเหล่านั้นไม่ได้ดูเหมือนกับตำรวจเอาเสียเลย แต่มันกลับดูไม่ได้ต่างไปจากเด็กวัยรุ่นทั่วไปเสียเท่าไหร่ “เหม่ออะไรล่ะ มานี่สิ” เมื่อเห็นซูหลินควักมือเรียก ฉันถึงได้สติกลับมา และเดินเข้าไปหา เขาเอาบุหรี่ออกมา จุดไฟ จากนั้นก็สูบมันเข้าไป ก่อนจะพูดขึ้น : “เรื่องรูปคดี ฉันเข้าใจมันเกือบจะทั้งหมดแล้ว___เธอคงยังจำกล้องอัดวิดีโอตอนกลางคืนในคืนนั้นได้อยู่ใช่ไหม?” ฉันนิ่งไป ก่อนที่อยู่ๆ ความคิดจะประกายขึ้นมา : ใช่แล้ว กล้องอัดวิดีโอตอนกลางคืนของไป๋หย่าถิงน่าจะสามารถถ่ายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเอาไว้ได้ มันคือเบาะแสชิ้นสำคัญ! “สิ่งที่อยู่ภายในนั้น ฉันดูมาหลายรอบแล้ว เธอลองมาดูอีกที แล้วถ้าเจออะไรก็บอกฉันแล้วกัน” ซูหลินพูดพร้อมกับนำหูฟังมาใส่ให้กับฉัน จากนั้นก็เปิดไฟล์หนึ่งในแฟลชไดร์ฟขึ้นมา ฉันหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับให้ตัวเองรวบรวมสติ จากนั้นก็เริ่มดูไฟล์วิดีโอนั้น ฉันไม่อยากจะนึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นอีก แต่ว่าเยนหนานสลบไปและไม่ฟื้นขึ้นมา จ้าวเซียวก็กำลังนอนอยู่ในห้องICU มันไม่ใช่เวลาที่ฉันจะสามารถดื้อรั้นอะไรได้ ดังนั้นแม้ว่ามันจะเกิดความขัดแย้งภายในใจมากเท่าไหร่ ฉันก็ยังคงพยายามบังคับให้ตัวเองดูภาพเหล่านั้นอย่างตั้งใจต่อไป ภาพต่างๆ ค่อยๆ ผ่านเข้ามา เหตุการณ์อันน่าเศร้าแสดงขึ้นให้ฉันได้เห็นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไม ฉันถึงยังคงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเยนหนานได้ชัดเจน และเห็นเพียงท่าทางโหดร้ายของเธอที่ยกเก้าอี้ฟาดไปที่ตัวของจ้าวเซียวอีกครั้งและอีกครั้งเท่านั้น ฉันไม่อาจจะทนมองดูได้อีกต่อไป จึงละสายตาออกมา และจ้องมองไปที่ตัวของไป๋หย่าถิงในตอนนั้นแทน ......นี่มันอะไรกัน?
已经是最新一章了
加载中