ตอนที่ 17 คนที่สี่   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 17 คนที่สี่
ตอนที่ 17 คนที่สี่ ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำห้องข้างๆ ห้องที่ไป๋เวยเวยอยู่ข้างใน ฉันมองไปยังซูหลินที่อยู่บริเวณประตูทางเข้าเล็กน้อย ไม่เพียงแต่น่าขัน แต่ว่าแผนการนี้ของเขายังทำได้โหดเหี้ยมมากด้วย ฉันมองไปยังไป๋เวยเวยที่ตกใจจนใบหน้าซีดเผือก ภายใต้แสงไฟที่สะท้อนลงมา เธอดูเหมือนผีมากกว่าใครเสียอีก เพียงแต่หากมองเพียงท่าทางสูงส่งของไป๋เวยเวยในยามกลางวัน ฉันก็ไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะขี้ขลาดขนาดที่ถูกแผนการบ้าๆ บอๆ ของซูหลินทำเอาตกใจจนสลบไปแบบนี้ ฉันเงยหน้าขึ้นไปพิจารณาซูหลินที่แต่งเป็น “ผีสาว” มันก็มีส่วนที่คล้ายคลึงอยู่จริงๆ นั่นแหละ ฉันอดแอบคิดไปไม่ได้ว่า หากวันนี้ผีสาวชุดแดงปรากฏตัวขึ้นจริง และได้เห็นสิ่งที่เหมือนกับตัวเองราวกับแกะแบบนี้ ตัวเธอเองจะรู้สึกหลอนขึ้นมาหรือเปล่า? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฉันก็ส่ายหัวไปมาอีกครั้ง จะต้องเป็นเพราะฉันตั้งครรภ์ลูกของผีอยู่แน่ๆ ตอนนี้ฉันถึงได้ไม่กลัวเรื่องผีประหลาดๆ แล้ว อีกทั้งยังรู้สึกคาดหวังเล็กๆ อีกต่างหาก...... “นิ่งทำไมล่ะ! ยังไม่เข้ามาช่วยฉันอีก! ฉันบอกแล้วว่าเด็กผู้หญิงแบบนี้ก็ต้องใช้วิธีนี้......” คำพูดของซูหลินดึงฉันกลับสู่โลกแห่งความจริง และมองเหยียดหยามเขาในชั่วเสี้ยววินาที อย่างไรเขาก็เป็นตำรวจของประชาชน พูดอะไรขึ้นมาไม่ได้มีกาลเทศะเอาเสียเลย ฉันลอบลูบท้องน้อยของตัวเองเบาๆ ก่อนจะช่วยพยุงไป๋เวยเวยขึ้นมา พร้อมกับเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตัวเองไปด้วย ตอนนี้ฉันกำลังตั้งครรภ์นะ จะให้ใช้แรงมากๆ ได้อย่างไร...... ในวันต่อมา ฉันกับซูหลินกระทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเดินเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยของจ้าวเซียวด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าทันทีที่พวกเราเดินเข้ามาภายในห้อง ไป๋เวยเวยก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นโผเข้ากอดซูหลินเอาไว้ ฉันขยับถอยหลังออกมาตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็หันไปมองซูหลินอย่างมีความคิดเล็กน้อย “ตำรวจ คุณเป็นตำรวจ ได้โปรดช่วยฉันด้วยค่ะ ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยาก.......” ซูหลินใช้แรงกำลังทั้งหมดในการนำตัวของไป๋เวยเวยออกมาจากตัวของเขาเอง หลังจากนั้นก็แสดงสีหน้าท่าทางลำบากใจออกมา : “คุณไป๋ ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณยัง......” “คุณตำรวจคะ ขอโทษค่ะ ขอโทษ เมื่อวานฉันทำตัวไม่ดีเอง ฉันทำผิดไปแล้ว คุณต้องช่วยฉันนะคะ เธอมาหาฉันแล้ว......” พวกเราพาไป๋เวยเวยออกมา ฉันพยายามที่จะปลอบประโลมเธอสุดกำลัง “เธอที่คุณพูดถึงหมายถึงใครครับ?” ไป๋เวยเวยยังไม่ทันได้สงบลงก็ถูกคำถามของซูหลินทำเอานิ่งไป เธอพยายามที่จะระงับอาการสะอื้นของตัวเองเอาไว้ และเริ่มที่จะตอบคำถามของพวกเราอย่างว่าง่าย : “เธอคือจ้าวซิ้ว พวกเราสามคนเติบโตมาด้วยกัน และเธอก็เป็นคนที่สี่ค่ะ” “ทำไมถึงบอกว่าเธอเป็นคนที่สี่ล่ะ?” แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกว่าการอธิบายของไป๋เวยเวยนั้นดูประหลาด ในยามปกติหากจะพูดถึงเพื่อนของตัวอง พวกเราก็จะบอกว่า พวกเราสี่คนเป็นเพื่อนรักกัน แต่คงไม่พูดว่า พวกเราสามคนเป็นเพื่อนรักกัน และจ้าวซิ้วก็เป็นคนที่สี่ ดังนั้นนี่จึงสามารถบอกได้ว่า พวกเธอรู้จักกัน แต่ว่าความสัมพันธ์นั้นไม่ได้ดีถึงขนาดที่จ้าวซิ้วจะสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่เล็กๆ ของทั้งสามคนได้ แต่ว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ทำไมจ้าวซิ้วถึงสามารถเป็นคนที่สี่ได้กัน? ความสัมพันธ์แบบนี้ สำหรับเด็กผู้หญิงแล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหาอะไรมาจำกัดขอบเขตได้ หรือก็สามารถบอกได้ว่า ความสัมพันธ์ของคนที่ชื่อว่าจ้าวซิ้วกับพวกเธอทั้งสามคนมีความพิเศษมาก “ตอนที่พวกเรารู้จักกับจ้าวซิ้ว เป็นตอนที่พวกเราเรียนชั้นมัธยมปลายค่ะ” ฉันรู้สึกว่าการเรียงลำดับคำพูดของไป๋เวยเวยมีปัญหา แต่ก็พอเข้าใจว่าคงเป็นเพราะเธอเจอเรื่องน่าตกใจไปไม่น้อย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สงบลง และดูเหมือนว่าสมองของเธอจะเละเป็นโจ๊กไปแล้ว แต่ว่าแม้เราจะสงสารเธอไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราจะสามารถใช้ประโยชน์จากเธอแค่เวลานี้เท่านั้น ใครก็ไม่อาจจะมั่นใจได้ว่า หลังจากที่ไป๋เวยเวยกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอจะกลับไปเป็นอย่างตอนแรกที่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อยเลยหรือเปล่า ดังนั้นฉันจึงพยายามสุดกำลังที่จะปลอบประโลมเธอจากด้านหลังเบาๆ ราวกับเธอจะสามารถรับรู้ได้ถึงความใส่ใจของฉัน จึงหันมามองฉันด้วยความขอบคุณเล็กน้อย และเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองต่อไป “พวกเราสามคนเติบโตมาด้วยกัน ที่บ้านของพวกเราเป็นพวกคนมีเงินอันดับต้นๆ ในท้องที่ ในตอนเด็กๆ พวกเราไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนัก พวกเราก็เลยสร้างอำนาจขึ้นมาด้วยเงินของที่บ้าน......” ในตอนเด็กๆ การที่สามารถอวดสร้างอำนาจได้แบบนี้เป็นเรื่องที่น่าอิจฉาที่สุดแล้ว แน่นอนว่าในชั้นเรียนมีเด็กสาวจำนวนไม่น้อยอยากจะเข้ามาทำความรู้จักเป็นเพื่อนกับสาวน้อยที่เป็นดั่งเจ้าหญิงทั้งสาม เพื่อที่จะได้สัมผัสกับความพึงพอใจในอำนาจไปด้วย และจ้าวซิ้วเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กผู้หญิงมากมายนั่นเช่นกัน แต่ว่าเธอเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุด “เมื่อวานตอนที่ฉันมาถึงที่นี่ แค่ดูจากท่าทางของจ้าวเซียว ฉันก็รู้ได้เลยว่าจะต้องเป็นเพราะจ้าวซิ้วกลับมาแล้ว......แต่ฉันก็ไม่คิดเลยว่า ความโกรธแค้นของเธอจะมากมายขนาดนี้ แค่ฆ่าเจียเย่นไปก็ยังไม่พอ แต่แม้แต่ฉัน......แม้แต่ฉันก็ยังจะ......” “วิญญาณอาฆาต ไม่แปลกเลยว่าทำไมพลังของผีสาวตนนั้นถึงได้มากขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นวิญญาณอาฆาตชุดแดงนี่เอง......” ซูหลินพูดพึมพำออกมาเบาๆ ฉันถลึงตาใส่เขาแสดงให้เขารู้ว่าไม่ควรจะขัดคำพูดของไป๋เวยเวย เมื่อพูดถึงจ้าวซิ้วขึ้นมา ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ไป๋เวยเวยจะไม่ได้รู้สึกกับเธอดีนัก จ้าวซิ้วมีชื่อเสียงด้านความชอบอวดไปทั่วทั้งโรงเรียน แม้ว่าที่บ้านของเธอจะไม่ได้สุขสบายมากนัก แต่เธอก็ยังคงพยายามซื้อข้าวของฟุ่มเฟือยมากมาย เพื่อนำมาโอ้อวดกับคนอื่น แน่นอนว่าเด็กที่เติบโตมากับคนมีเงินย่อมรู้จักโลกมากมายกว่าจ้าวซิ้ว ดังนั้นเด็กสาวทั้งสามจึงไม่ได้สนใจอะไรเธอ แต่ว่าจ้าวซิ้วก็ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ อยู่มาวันหนึ่ง อยู่ๆ จ้าวซิ้วก็มาบอกกับจางเจียเย่นว่า หลิวฟางไปฟ้องคุณครูเรื่องการลอกข้อสอบของจางเจียเย่น และหลิวฟางก็คือเพื่อสนิทที่สุดของจ้าวซิ้วในตอนนั้น พวกเด็กสาวต่างก็ไม่พอใจจึงดักรอหลิวฟางระหว่างทางกลับบ้าน เดิมทีเพียงอยากจะข่มขู่ให้เธอตกใจเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าจ้าวซิ้วเองก็ตามมาด้วย อีกทั้งยังเป็นคนเข้าไปลงไม้ลงมือกับหลิวฟางราวกับต้องการจะระบายความโกรธแทนจางเจียเย่น ในตอนนั้นทุกคนยังไม่รู้จักคิดอะไรให้ดีนัก และได้เพียงแต่รู้สึกว่าจ้าวซิ้วช่วยจัดการเรื่องของตัวเองให้ แม้ว่าในใจจะยังคงรู้สึกไม่เป็นมิตรด้วยนัก แต่สุดท้ายก็รับจ้าวซิ้วเข้ามาอยู่ในกลุ่มด้วย และมันก็เริ่มต้นจากในตอนนี้ อยู่ๆ กลุ่มสามคนก็กลายเป็นสี่ รวมทั้งหลังจากนั้นมาจ้าวซิ้วก็ไม่เคยสนใจใยดีหลิวฟางอีก แถมทุกครั้งที่บังเอิญเจอกันก็ยังมักจะพูดอะไรที่ไม่ดีใส่ด้วย ฉันสามารถจินตนาการภาพในตอนนั้นได้ แม้ว่าไป๋เวยเวยจะปรับลดการกระทำของพวกเธอลงแล้ว แต่ว่าเมื่อคิดดูก็สามารถรู้ได้ว่าหลิวฟางที่ถูกเด็กสาวทั้งสี่ที่เป็นดั่งเจ้าหญิงกระทำให้อับอายนั้นจะไร้ซึ่งหนทางแค่ไหน แต่ว่าแม้จ้าวซิ้วจะสามารถเข้ามาอยู่ใน “สังคมชั้นสูง” ในสายตาของเธอได้ด้วยความยากลำบากแล้ว ภายในทั้งสี่คน เธอก็อยู่ในตำแหน่งต่ำสุด เพราะว่าเดิมทีจ้าวซิ้วก็ไม่สามารถจะแบกรับค่าใช้จ่ายของกิจกรรมของทั้งสี่คนได้อยู่แล้ว และถ้าหากต้องการจะใช้ประโยชน์จากตัวเด็กผู้หญิงทั้งสาม เธอก็อดที่จะต้องทำตัวให้ต่ำลงไม่ได้ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เด็กทั้งสามเริ่มที่จะนำของที่ตัวเองไม่ใช้แล้วส่งไปให้จ้าวซิ้ว โดยเฉพาะจางเจียเย่น ระหว่างพูดจาก็เล็ดลอดความไม่พึงพอใจในตัวจ้าวซิ้วออกมา แต่จ้าวซิ้วก็ไม่ได้พูดอะไร และยังคงเก็บพวกของใช้ฟุ่มเฟือยที่หมดยุคแล้วเข้ามาในอ้อมอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมักจะลอบเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเสมอ โดยเฉพาะความคิดที่ไม่ดีนัก ในยามที่ไม่ทันได้รู้สึกตัว มันก็จะค่อยๆ เติบโตยิ่งใหญ่ออกมาอย่างเงียบเชียบ อย่างเช่นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ สิ่งที่ไป๋เวยเวยเล่าออกมาต่างออกไปจากที่ฉันคาดเอาไว้นัก ฉันไม่เคยคิดเลยว่า เด็กสาวที่ไม่รู้อะไรไม่กี่คนจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้
已经是最新一章了
加载中