ตอนที่24 คำถามเกี่ยวกับชีวิต   1/    
已经是第一章了
ตอนที่24 คำถามเกี่ยวกับชีวิต
ต๭นที่24 คำถามเกี่ยวกับชีวิต หลี่เฉินเย่นมิได้เอ่ยถามว่ามีอะไรอยู่ในห่อสัมภาระนั่น เพียงแค่เอ่ยปากถาม“เราออกเดินทางกันได้หรือยัง” ชูเซี่ยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนชำเลืองมองบริเวณด้านหลังของเขา“มีเพียงเราสองคนหรือเพคะ” “เจ้าคิดว่าต้องไปกันกี่คนเล่า เปิ่นหวางขอเตือนเจ้า ทางที่ดีอย่าทำอันใดให้เปิ่นหวางต้องลำบาก เจ้าต้องดูแลตัวเจ้าเอง เปิ่นหวางจะไม่ตามดูแลเจ้าเด็ดขาด”หลี่เฉินเย่นเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา การเดินทางครานี้ หนทางยากลำบาก นอกจากเหล่าอสรพิษที่เขาเป็นกังวลแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่ากัลงวลเช่นกันคือบริเวณเขาเทียนหลางมีโจรภูเขาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเพื่อความปลอดภันเขาจึงไม่นำผู้ติดตามมาสักคน นั่นก็เพื่อลดความสนใจของโจรเหล่านั้น ไม่ให้เป็นที่สะดุดตาเกินไปนัก ปัญญาใดที่หลีกเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง มิใช่ว่าเขาเป็นคนขลาด เพียงแต่หากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นในระหว่างการเดินทางครั้งนี้จะเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ ชูเซี่ยพูดถูกอยู่หนึ่งคำ ยามนี้ทุกเวลาที่ผ่านไปในทุกขณะล้วนขึ้นอยู่กับชีวิตของพระชายาเจินหยวน หากยังต้องเผชิญหน้ากลับกลุ่มโจรภูเขาอีกคงเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ชูเซี่ยขึ้นรถม้าวางห่อผ้าไว้ข้างกาย ก่อนจะนั่งเงียบๆมิได้กล่าวอะไรออกมา รถม้าค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงวิ่งไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ชูเซี่ยเกิดความรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง นางจึงเลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อยเพื่อรับลมจากภายนอก ยามนี้เริ่มเข้าสู่สารทฤดูแล้ว ปลายเดืนแปดย่างเข้าสู่เดือนเก้า อากาศยามกลางวันร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง แต่ยามค่ำคืนเช่นนี้ก็นับว่าพอเย็นสบาย ยามนี้ภายนอกรถม้ามืดสนิทจนนางมิอาจมองเห็นฝ่ามือของตน หากหนทางขึ้นเข้ามืดมิดตลอดทางเช่นนี้ก็นับว่าอันตรายมิใช่น้อย ในระหว่างที่รถม้าวิ่งไปตามทางหลี่เฉินเย่นก็มีการสนทนากับคนม้าบ้างเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยอันใดกับชูเซี่ยเลยแม้แต่ครึ่งคำ ภายในรถม้าหลี่เฉินเย่นเพียงแค่มองดูภาพเขียนของหญ้าหลินเฉ่าและพิจารณาอย่างเงียบๆเท่านั้น เขาเห็นว่าการพาชูเซี่ยขึ้นเขามาด้วย รังแต่จะเป็นภาระสำหรับเขาก็เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเห็นสมควรว่าเมื่อรถม้าเคลื่อนถึงบริเวณตีนเขา ที่แห่งนั้นมีโรงเตี้ยมอยู่แห่งหนึ่ง เขาจะให้นางอาศัยค้างแรมที่นั่น รอจนเขาเก็บหญ้ากลับมาก็จะรับนางจากนั้นจึงจะเดินทางกลับเมืองหลวงด้วยกัน หุบเขาเทียนหลางเป็นเขาสูงชัน ต่อให้ผู้ที่ขึ้นเขาจะเป็นผู้มีวรยุทธล้ำเลิศเพียงใดก็ใช่ว่าจะขึ้นไปถึงยอดเขาได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสตรีนางหนึ่งที่ไม่เป็นแม้แต่วรยุทธ รังแต่จะเป็นภาระแก่เขาก็เท่านั้น ตัวเขาเองเคยไปหุบเขาแห่งนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งภูมิศาสตร์บริเวณนั้นเป็นเช่นไรเข้าย่อมทราบดี สตรีเช่นนางมิมีทางปีนขึ้นเขาลูกนั้นได้อย่างแน่นอน หากนางยังดึงดันที่จะไปอีกก็รังแต่จะเป้นภาระให้แก่ตัวเขาเอง ยามนี้ชูเซี่ยรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก นางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ตนเองพยายามช่วยรักษาชีวิตพระชายาเจิ้นหยวนด้วยวิธีการต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดมากมายของการแพทย์ในยุคสมัยนี้ การที่นางสามารถรักษาทารกในครรภ์ของพระชายาได้นั้นก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว ชีวิตของคนเรามิอาจเพิ่งแต่โชคชะตาเพียงอย่างเดียว นางจะต้องตามหาหญ้าหลินเฉ่ามารักษาพระชายาเจิ้นหยวนให้จงได้ นางมิอาจทนให้องค์ชายน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกต้องขาดมารดาของตนไปได้ “หากเจ้าเหนื่อยถึงเพียงนี้ก็ไม่ควรตามเปิ่นหวางมาเสียทีแรก”หลี่เฉินเย่นเห็นท่าทางอ่อนเพลียของนางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง หนทางที่พวกเขาเดินทางยังอีกไกลนัก หากเพียงเท่านี้นางก็เหนื่อยแล้ว เช่นนั้นต้องใช้เวลานานเท่าใดกันจึงจะเดินทางถึง ดูท่าว่าการที่เขาตัดสินใจทิ้งนางไว้ที่โรงเตี้ยมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วจริงๆ “ยามนี้มีเวลาให้พักผ่อน ย่อมต้องพักเอาแรงไว้ หม่อมฉันทราบดีว่าหนทางข้างหน้าอันตรายยิ่งนัก จึงต้องนอนออมแรงไว้จึงจะถูก”ชูเซี่ยเอ่ยตอบ ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่าย หลี่เฉินเย่นไม่ชอบใจอย่างยิ่งกับท่าทางมิแยแสของนาง“หนทางอันตรายเพียงใดก็หาเกี่ยวข้องกับเจ้าไม่ เปิ่นหวางจะให้เจ้าอาศัยพักแรมที่โรงเตี้ยมบริเวณตีนเขาเทียนหลาง รอเปิ่นหวางเก็บสมุนไพรกลับมาได้จากนั้นเปิ่นหวางจะพาเจ้ากลับวังพร้อมกัน” ชูเซี่ยลืมตาขึ้นทันที นางมองเขาอย่างมิเข้าใจ“ท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าจะมิยอมพาข้าขึ้นเขาไปด้วยงั้นหรือ” “พาเจ้าขึ้นเขาเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดีเสียอีก!”บุรุษตรงหน้าเอ่ยอย่างมิคิดจะไว้หน้านางเลยสักนิด “แต่เสด็จพ่อ...”นางกำลังจะเอ่ยเถียง “มิต้องหยิบยกเสด็จพ่อมาอ้างต่อเปิ่นหวาง เปิ่นหวางเป็นผู้นำเจ้าออกมา เจ้าต้องเชื่อฟังทุกคำพูดของเปิ่นหวาง!”กล่าวจบ เชาก็หลับตาลง ตัดบทสนทนาลงแต่เพียงเท่านี้ ชูเซี่ยอดโมโหกับท่าทางเย็นชาไม่แยแสสิ่งใดของเขาอย่างมาก แต่ก็มิได้เอ่ยอันใดออกไปอีก ในหัวน้อยๆทบทวนหาวิธีทำอย่างไรก็ได้ให้เขายอมพานางขึ้นไปหุบเขากับเขาด้วย หย้าหลินเฉ่าเป็นสมุนไพรล้ำค่า หายากยิ่ง ผู้ที่ไม่เคยพบเห็นหญ้าชนิดนี้มาก่อนจะให้เดินดุ่มๆเข้าไปตามหาเช่นนั้นหรือ นั่นเป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก นางมิต้องการให้เขาไปเสียเที่ยว ความเงียบปกคลุมภายในรถม้าอย่างรวดเร็ว แต่เพียงมินานหลี่เฉินเย่นก็เป็นผู้เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก ต่อให้เจ้ามิได้ตามเปิ่นหวางขึ้นเขาไป เปิ่นหวางก็จะทูลบอกเสด็จพ่อเองว่าเจ้าเองก็มีความดีความชอบมิใช่น้อย เจ้ามิจำเป็นต้องเปลืองแรงของเจ้าเลยแม้แต่น้อย มิดีหรือ”ต่อให้เด็กน้อยฟังยังทราบว่าเขาดูถูกนางอยู่ ที่แท้เขาคิดมาตลอดที่นางอาสาจะตามมาก็เพียงเพื่อต้องการความดีความชอบต่อหน้าพระพักต์ของฝ่าบาท ทำดีหวังผลเช่นนั้นหรือ ชูเซี่ยได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น นางเพียงยิ้มหวานออกมาไม่โต้เถียงอันใด คร้านจะต่อความยามสาวความยืดกับคนแบบเขา เขารังเกียจนางถึงเพียงนี้ ต่อให้นางเอ่ยคำพูดแก้ตัวเป็นหมื่นๆคำ เขาก็มิเชื่อแม้แต่ครึ่งคำอยู่ดี หลี่เฉินเย่นรู้สึกขัดแย้งในตนเอง เขามีคำถามมากมายภายในใจตนเองที่ต้องการจะถามออกไปมิน้อย แต่เพราะภายในใจตั้งแง่รังเกียจนางมาตลอด เขาจึงมิอาจเอ่ยปากถามออกไป แม้ว่าวันนี้ ภาพที่นางพยายามช่วยเหลือพระชายาเจิ้นหยวนจะทำให้เขารู้สึกประทับใจเพียงใด แต่ภายในใจของเขาก็ยังหลงเหลือความรู้สึกเกลียดชังนางอยู่ดี สตรีผู้นี้ยากจะคาดเดา นางมีจิตใจอำมหิต เจ้าอารมณ์ เรื่องมาก ข้อบกพร่องที่นางมีอยู่เข้าล้วนชัดเจนยิ่งกว่าใคร เขาจึงตัดสินใจว่าหากมิมีเรื่องจำเป็นอันใดเขาก็จะมิพูดกับนางเป็นดีที่สุด และในยามนี้เขากลับรู้สึกว่านางเปรียบเสมือนแม่เหล็กที่มักดึงดูดเรื่องยุ่งยากมาให้แก่เขาเสียจริง การเดินทางออกจากเขตเมืองหลวงเข้าสู้เมืองจู้โจวกินเวลาถึงสองชั่วยาม เมื่อผ่านเมืองจู้โจวจึงจะเริ่มเข้าสู้อาณาเขตหุบเขาเทียนหลาง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอยู่สองชั่วยามจึงจะถึง คาดว่าเมื่อไปตีนเขาเทียนหลางถึงฟ้าคงเริ่มสางพอดี ชูเซี่ยนางหลับมาตลอดทาง หัวน้อยๆของนางโยกไปมาตามแรงของรถม้า แต่เนื่องจากอากาศภายนอกค่อนข้างหนาวเย็น ยามนางหลับจึงเผลอไผลอิงแอบเข้าหาไออุ่นด้านข้างตามสัญชาติญาณของตน ยามนี้ศีรษะของนางเอียงซบลงกับไหล่ของหลี่เฉินเย่น ทว่าหลี่เฉินเย่นที่หลับอยู่ก็รู้สึกตัวในทันทีที่มีสำผัสหนักๆบริเวณไหล่ เขาผลักศีรษะของนางออกทันที แต่อาจจะใช้กำลังมากเกินไปทำให้หัวของนางกระแทกกับขอบหน้าต่างเสียงดังโป้ก ชูเซี่ยรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที นางเอามือกุมหัว ดวงตากลมโตมองไปทางเขาอย่างง่วงงุนมิเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อปรับสายตาชัดขึ้นนางก็เห็นว่าสายตาที่เขามองมายังนางเย็นชาเพียงใด“อย่าเข้าใกล้เปิ่นหวางอีกเป็นอันขาด เปิ่นหวางมิได้พิศวาสในตัวเจ้า เข้าใจหรือไม่” นางเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันที ชูเซี่ยค่อยๆลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะส่ายหัวเบาๆเพื่อเรียกสติของตน“วางใจเถิด ไม่มีครั้งหน้าแน่นอนเพคะ” เดิมทีหลี่เฉินเย่นคาดว่าจะได้เห็นแววตามเจ็บปวดเสียใจของนางเช่นเมื่อก่อน นางเคยทำหลายสิ่งหลายอย่างมากมายเพื่อเขา เป็นตัวเขาที่เย็นชาต่อนางมาโดยตลอด เขาทราบดีว่านางไม่พอใจการกระทำของเขา แต่กระนั้นต่อให้นางอยากร้องไห้โวยวายใส่เขาเพียงใด นางก็มิเคยทำ ทำเพียงใส่หน้ากากยิ้มแย้มต่อไปเท่านั้น แต่ยามนี้ เขาไม่เห็นความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจในดวงตาของนางเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาอดมิได้ที่จะเอ่ยถามนางออกไปตรงๆ“เจ้าคือหลิวหยิงหลงจริงหรือ” ชูเซี่ยถูกคำถามนี้เล่นงานทำให้ยามนี้สติของนางตื่นเต็มตา คำถามเช่นนี้อันตรายเกินไปแล้ว หรือเขาจะเกิดความสงสัยในตัวนางเข้าแล้ว แต่ว่าเพื่อมิให้เกิดพิรุธนางแสร้งทำเป็นมิได้ยินไปจะดีกว่า “เมื่อครู่ท่านอ๋องว่าอะไรนะเพคะ”ในยุคโบราณเช่นนี้คงยังมีความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาสินะ นั่นอาจจะรวมถึงเรื่องวิญญาณเข้าร่างด้วยก็เป็นได้ หากว่าเรื่องที่นางเป็นวิญญาณผู้อื่นเข้ามาสิงสู่ยังร่างของหลิวหยิงหลงแล้วล่ะก็นางจะต้องพบเจอกับอะไรบ้างก็สุดจะคาดเดา ตอนนี้ในหัวของนางวาดภาพไปถึงยามนางโดนมัดตรึงไว้กับเสาไม้สูง ใต้เท้าของนางมีกองฟางมากมาย ฝูงชุนมากมายถือคบเพลิงรุมล้อมร่างของนางพร้อมป่าวตะโกนสาปแช่งนางเสียดัง “เผามัน เผามัน นางเป็นปีศาจ!” คิดถึงภาพเช่นนั้นชูเซี่ยก็ขนลุกชูชัน น่ากลัวเกินไปแล้ว ผู้คนในยุคสมัยก่อนงมงายกับเรื่องราวเช่นนี้ คิดจะทำอะไรก็ย่อมได้ ทั้งการถ่วงน้ำและเผาทั้งเป็นก็มีมาแล้ว มิได้ นางจะมิยอมให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับของนางเป็นอันขาด ไม่งั้นภาพที่นางจินตนาการในหัวเมื่อครู่ต้องการเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน จู่ๆความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในสมองของนาง ชูเซี่ยหมายมั่นปั้นมือไว้ว่านางควรลากเจิ้นหยาวนอ๋องและองค์ไทเฮามาเป็นพวกตนให้จงได้ เพราะในอนาคตหากเกิดเรื่องราวมิคาดฝันกับนาง นางจะได้มีคนใหญ๋คนโตไว้ให้การช่วยเหลือ แน่นอนว่านางมิคิดจะนับรวมหลี่เฉินเย่นเข้าไปด้วย นางมิคิดรวมเขา แต่ก็มิคิดจะมีปัญหากับคนเช่นเขา นางในตอนนี้เป็นคนของเขายังมิมีอิสระที่จะทำตามใจตนเอง จะคิดทำการสิ่งใดยังต้องคอยมองสีหน้าและทิศทางลมของเขาก่อนทุกครั้ง เมื่อถึงยามโฉ่ว ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง“ท่านอ๋อง ข้าน้อยจะหยุดรถม้าบริเวณนี้สักครู่เพื่อให้อาหารม้าขอรับ” หลี่เฉินเย่นรับคำเบาๆ เขากระโดดลงจากรถม้าเพื่อยืดเส้นยืดสายก่อนจะออกเดินสำรวจพื้นที่บริเวณรอบๆ นางเองก็รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวไปหมดจึงกระโดดลงมายืดเส้นยืดสายบ้าง บริเวณที่จอดพักรถม้าคือศาลาริมทางที่มีความสูงราวๆ 3-4 จั้ง หลังคาสีอะไรนางมิอาจเห็นได้ชัดเนื่องด้วยยามนี้ถูกความมืดปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ เห็นเพียงน้ำค้างที่เกาะตามต้นไม้ใบหญ้าสะท้อนกับแสงจันทร์เปร่งประกายระยิบระยับน่ามอง แต่แล้วสายตานางก้เหลือบไปเห็นบางอย่างเข้า “หิ่งห้อย! ในเวลาเช่นนี้มีหิ่งห้อยอยู่ด้วยหรือ”ชูเซี่ยร้องออกมาอย่างตื่นเต้น คนคุมม้าที่ง่วนอยู่กับการป้อนอาหารม้ายิ้มออกมาเล็กน้อย“พระชายามิเคยเห็นหิ่งห้อยมาก่อนหรือพะย่ะค่ะ ในช่วงเวลานี้อาจจะมีอยู่ไม่มากแต่ก็พอมีพะย่ะค่ะ ยิ่งบริเวณริมลำธารก็จะยิ่งพากันเปร่งแสงระยิบระยับงดงามมากพะย่ะค่ะ” ชูเซี่ยเคยเห็นหิ่งห้อยอยู่ครั้งหนึ่ง ในสมัยที่นางต้องเข้าค่ายในป่า นั่นเป็นครั้งแรกที่นางเห็นหิ่งห้อย นางชอบมันมากจนถึงขั้นเมื่อกลับจากเข้าค่ายก็ตามไปหาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับมันเลยทีเดียว นางอดจินตนาการตามที่คนคุมม้าเอ่ยมาเมื่อครู่ ฝูงหิ่งห้อยที่พากันอวดแสงระยิบระยับแข่งกันจะงดงามสักแค่ไหนกันนะ ความงดงามของธรรมชาติต่อให้ผู้คนพยายามจะเอ่ยเปรียบเปรยพรรณาถึงมันเช่นไร ในความเป็นจริงก็มิอาจที่จะสรรหามันออกมาได้ตรงตัว ต่อให้บรรยายออกมาเป็นตัวอักษรก็มิอาจบรรยายได้หมด “ข้าอยากจะเห็นสักครั้ง ความงดงามอย่างที่เจ้าว่า!”นางพูดออกไปตามที่นางคิด “ฟังท่านเอ่ยเข้า นี่เป็นเรื่องสนุกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”คนคุมม้ามิอาจเข้าใจความคิดของสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าได้ เพราะเหตุใดนางจึงให้ความสนใจกับหิ่งห้อยมากมายถึงเพียงนี้ หิ่งห้อยมิใช่สิ่งที่ใครๆก็เคยเห็นมาก่อนหรือ ทำไมนางจึงเอ่ยออกมาราวกับกำลังอิจฉาคนเช่นเขาอยู่กันนะ หลี่เฉินเย่นได้ยินบทสนทนาระหว่างนางและคนคุมม้าของเขาตลอด สายตาของเขาใได้จับจ้องไปยังหิ่งห้อยเช่นที่นางทำ แต่ดวงตาคมเข้มกลับหยุดมองที่ดวงหน้างามของชูเซี่ย ความมืดมิดเช่นนี้เป็นเรื่องดีเพราะการที่เขามองนางอยู่เช่นนี้ นางมิอาจรู้ตัวด้วยซ้ำ ใบหน้าของนางยามนี้มีทั้งตื่นเต้น ดีใจ และความริษายาปนอยู่ ก่อนจะกลายเป็นเศร้าสลดในที่สุด เขาได้ยินนางเอ่ยออกมาเบาๆ “น่าเสียดายที่สิ่งมีชิวิตที่งดงามขนาดนี้มีชีวิตอยู่ได้เพียงห้าวันเท่านั้น”ชีวิตของหิ้งห้อยตัวน้อยเกิดมาเพียงเพื่อเปร่งแสงระยิบระยับให้ผู้อื่นได้เชยชม ก่อนจะค่อยๆดับสูญไปในระยาเวลาเพียงห้าวัน ชีวิตที่เกิดมาสดใสงดงามกลับต้องมาตายภายในระยะเวลาอันสั้น ชูเซี่ยรู้สึกหนาวสะท้านในอก นางกำสาบเสื้อของตนไว้ให้กระชับแน่นขึ้น ชีวิตของหิ่งห้อยทำให้นางอดคิดถึงชีวิตของตนเองมิได้ นางคิดถึงครอบครัวพี่น้องของนาง คิดถึงเพื่อนๆในศตวรรษที่ 21 แต่เดิมนางมิใช่คนที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย เพียงแต่ยามนี้ ท่ามกลางความมืดมิดเนนี้ นางเห็นหิ่งห้อยเหล่านั้นก็รู้สึกแสบร้อนบริเวณกระบอกตาขึ้นมา นางทราบดีว่านางในศตวรรษที่ 21 นางกลายเป็นคนที่ตายไปแล้ว “ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าหิ่งห้อยมีชีวิตอยู่ได้เพียงห้าวัน”หลี่เฉินเย่นถามขึ้นอ จริงอยู่เขามิคิดจะพูดกับนางหากมิจำเป็น แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ นางอาจจะกุเรื่องราวขึ้นมาเองก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีของนางดูมั่นอกมั่นใจในที่สิ่งที่นางเอ่ยออกมาอย่างมาก ทำให้จิตใจเขาอดเอนเอียงเชื่อในที่สิ่งนางพูดขึ้นมาจริงๆ ชูเซี่ยประหลาดใจที่ในที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปากพูดกับนาง เป็นเช่นนี้ก็ดีเพราะนางเองก็กำลังเหงาปากอยากหาเพื่อนคุยเช่นกัน “ข้าเคยอ่านเจอจากตำราเล่มหนึ่ง ในตำราบันทึกไว้ว่าช่วงชีวิตของหิ่งห้อยนั้นแสนสั้น มีชิวิตอยู่ได้เพียงห้าวันเท่านั้น”นางพยายามตอบออกมาโดยมิให้เขาเกิดข้อสงสัยในตัวนางไปมากกว่านี้ ก่อนจะเอ่ยพึมพำ“แต่เมื่อหิ่งห้อยตายไปแล้วจะเป็นเช่นใดนะ คนเล่าหากตายไปแล้ว จะกลายเป็นอะไรนะ” หลี่เฉินเย่นมองสตรีตรงหน้าอย่างพิจารณา หลิวหยิงหลงผู้นี้ เขามิเคยรู้จักมาก่อน นางเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขามิใครอยากยอมรับว่านางในตอนนี้กลายเป็นคนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกที่เขาเคยตั้งแง่รังเกียจนางยังคงมีอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าก็ดูเหมือนกำแพงแห่งความเกลียดชังนั้นจะค่อยๆลงลดทุกขณะเสียแล้ว คำถามที่นางเอ่ยมาลอยๆก่อนหน้า เขาเองก็มิทราบคำตอบ เรื่องความเป็นความตายมิใช่ว่ามนุษย์สามัญชนเช่นเราๆจะหาคำตอบได้ 
已经是最新一章了
加载中