ตอนที่ 27 อยู่เป็นเพื่อนกัน
1/
ตอนที่ 27 อยู่เป็นเพื่อนกัน
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 27 อยู่เป็นเพื่อนกัน
ตนที่ 27 อยู่เป็นเพื่อนกัน หลังจากทั้งคู่ดื่มเหล้ากำมะถันแดงแล้ว ก็เดินทางเข้าเขาอสรพิษทันที แม้ชูเซี่ยจะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นงูมากมายถึงเพียงนี้ นางก็อดขนลุกขนพองขึ้นมามิได้จริงๆ พื้นที่เขาอสรพิษไม่ใหญ่มากนัก แต่การจะเดินทางผ่านเขาลูกนี้ไปได้ก็ต้องใช้เวลามิน้อยกว่าหนึ่งชั่วยาม ชูเซี่ยมองดูไปรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นริมทาง พุ่มไม้ หรือบนต้นไม้ ก็เต็มไปด้วยงูหลากลายสีสันมากมายเต็มไปหมด แต่ตัวไหนมีพิษหรือไม่มีนางมองเพียงแวบเดียวกามารถแยกออกได้ ชูเซี่ยแทบจะเบียดร่างบอบบางของตนแนบชิดกับร่างหลี่เฉินเย่น ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ทุกก้าวที่นางเดินล้วนอกสั่นขวัญแขวน เหล้ากำมะถันแดงออกฤทธิ์ดีเยี่ยมอย่างที่นางกล่าวไว้จริงๆ ยามพวกเขาเดินเข้าไปไกล้ พวกงูน้อยใหญ่ต่างก็เลี่ยงออกไปคนละทิศคนละทาง แต่ว่าก็มิได้เลี่ยงออกไปไกลจากพวกเขานัก ห่างออกไปเพียงสองสามจั้งเท่านั้น ชูเซี่ยนางขนลุกขนพองไปหมด มีมากมายเต็มภูเขาจริงๆ ยิ่งเดินเข้าไปในป่าลึกเท่าใด หัวใจของชูเซี่ยก็ยิ่งหดเกร็งไปหมด บนต้นไม้มีเส้นเถาวัลย์โยงระย้าลงมา แต่เมื่อนางมองให้ชัดกับเป็นเหล่างูน้อยใหญ่ห้อยลงมาเรียงกันเหมือนเส้นเถาวัลย์ต่างหาก ภาพเช่นนี้ต่อให้นางเป็นคนขวัญกล้าไหนก็รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมาทันควัน เมื่อน้อยของนางกอดร่างของหลี่เฉินเย่นแน่น นางกลัวจนมิกล้าแม้แต่จะขยับ“ขอร้องท่าน อย่าทิ้งข้านะ ข้าขอแค่ครั้งนี้เท่านั้น” เมื่อนางเอ่ยจบ ก็มีงูหลามตัวนึงหล่นตุ้บลงมาตรงปลายท้องของนางเข้าพอดู มันส่งเสียงขู่ฝ่อใส่นาง ชูเซี่ยอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก นางกระโดดขึ้นหลังหลี่เฉินเย่นอย่างรวดเร็ว นางกอดคอเข้าไว้แน่น ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวจนเสียสติไปชั่วคราว หลี่เฉินเย่นแม้จะไม่พอใจเพียงใดแต่ก็มิได้ผลัดใสนางลงไปแต่อย่างใด เขาทำเพียงแค่ยอบกายก้าวข้ามงูเจ้าปัญหาตัวนั้นไป และกระชับบั้นท้ายนางให้อยู่ในท่าที่มั่นคงขึ้น ก่อนจะออกเดินต่อโดยที่ไม่ได้ต่อว่าอะไรนางเลยสักนิด ชูเซี่ยที่เกาะอยู่บนหลังของเขา เดิมนางคิดเขาจะโยนนางทิ้งลงพื้นเสียอีก คิดไม่ถึงมิเพียงมิต่อว่า แต่เขากลับยินยอมที่จะแบกนางขึ้นหลังเดินต่อไปเรื่อยๆเสียนี่ ชูเซี่ยรู้สึกทราบซึ้งใจยิ่งนัก ไม่ว่าก่อนหน้านี้นางกับเขาจะมีเรื่องบาดหมางอันใดต่อกันก็ตาม แต่ในวันนี้ยามนางต้องการความช่วยเหลือเขาก็ยื่นมาเข้าช่วยเหลือทันที ดูท่าคงได้เวลาที่จะลืมๆอดีตที่ผ่านมาได้สักที ขณะเดียวกันหลี่เฉินเย่นก็รู้สึกกลัวเช่นกัน ตัวเขาแบกร่างของชูเซี่ยไว้ นางรู้สึกปลอดภัยแต่เขากลับไม่รู้สึกว่าตนเองปลอดภัยนัก ชีวิตนี้เขาเองก็มิเคยพบเจองูมากมายถึงเพียงนี้ แม้ก่อนหน้านี้จะดื่มเหล้ากำมะถันแดงมาแล้วหลายอึก แต่ก็มิวายหวาดระแวง เขาไม่อยากนึกภาพหากมีคนนอกไม่รู้ประสีประสาเข้ามาในอาณาเขตนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง พวกงูคงจะรุมกัดผู้บุกรุกอย่างแน่แท้ และเขาก็มิกล้าคิดถึงผลที่จะออกมา ดูท่าว่าการเดินทางในเขาอสรพิษแห่งนี้จะมิใช่เรื่องง่ายนัก อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับนาง แต่มิใช่สำหรับเขา ในที่สุดหลังจากผ่านไปเดือบหนึ่งชั่วยาม ทั้งคู่ก็พ้นเขตเขาอสรพิษไปได้ เมื่อออกมาถึงเขตปลอดภัยทั้งคู่ก็โล่งอก ชูเซี่ยหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เมื่อนางรู้สึกโล่งใจ ก็รู้สึกมวนท้องจนมีความคลื่นเหียนเข้ามาแทนที่ นางยกมือยึดกิ่งไว้ไว้ข้างนึงก่อนจะก้มลงอาเจียนออกมา ความทรมานนี้ทำให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองด้าน ตั้งแต่นางมาถึงยุคนี้ นางไม่เคยร้องไห้ออกมาเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้นางรู้สึกหวาดกลัวมากจริงๆ นางอยากจะโผเข้าไปในอ้อมกอดของใครสักคนแล้วจากนั้นก็ร้องไห้ออกมาดังๆ แต่เมื่อมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเขามิทางที่จะปลอบใจนางได้อย่างแน่นอน สุดท้ายนางก็เลือกที่จะโอบกอดต้นไม้แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเสียขวัญแทน หลี่เฉินเย่นมิคาดคิดมาก่อนว่าจู่ๆนางจะร้องไห้ออกมาราวเก็บเด็กตัวเล็กๆเช่นนี้ ก็ตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยปาก“เจิ้นจะร้องไห้ทำไมกัน ตอนนี้พวกเราก็ออกมากันแล้วมิใช่หรือ” ชูเซี่ยยกแขนเสื้อของนางเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ ห่อนหันกายไปอีกฝั่งของต้นไม้ กล่าวด้วยน้ำเสียปนสะอึกสะอื้น “ท่านห้ามพูด ห้ามมอง ห้ามฟัง ห้ามมาหยุดข้ามิให้ร้องไห้”นางเอ่ยจบก็ทรุดตัวนั่งกอดเข่าซุกหน้าลงระหว่างเข่าของตนเองทันทีและส่งเสียงร้องไห้ออกมาเสียงดังกว่าเดิม หลี่เฉินเย่นตะลึงค้าง เขามิเคยคิดมาก่อนว่านางจะดุถึงขนาดกล้าออกคำสั่งกับเขา ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะทราบดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกเช่นนี้ เขาควรสรรหาคำพูดปลอบโยนถึงจะถูกต้อง แต่ยังมิทันที่เขาจะสรรหาคำพูดอะไรออกมานางก็หยุดร้องไห้เสียแล้ว “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วใช่หรือไม่ รู้สึกร้องไห้แล้วสินะ ตอนเปิ่นหวางบอกไม่ให้เจ้าตามมา เจ้าก็ดื้อดึงจะตามด้วยให้ได้ ตอนนี้รู้แล้วใช่หรือไม่ว่ามันอันตรายแค่ไหน” เขาเอ่ยตำหนืนางด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก เดิมชูเซี่ยกำลังจะร้องไห้ออกมาอีกครั้งจนกว่าจะพอใจ เมื่อนางได้ยินที่เขาพูดก็ชะงัก หัวใจปวดหนึบ ยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออกอีก นางจ้องเขาด้วยน้ำตาที่ยังขังคลออยู่เต็มหน่วย“ข้าบอกมิให้ท่านพูดมิใช่หรือ ตอนนี้ข้าอยากร้องก็ร้องไม่ออกแล้ว หงุดหงิด!” หลี่เฉินเย่นเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม นางร้องไห้มิออกเกี่ยวอันใดกับเขากัน เป็นผู้หญิงแบบไหนกันล่ะนี่ จู่ๆชูเซี่ยก็ลุกพรวดขึ้นมา“ไปเถอะ เดินทางกันต่อได้แล้ว ที่ตรงนี้ยังมิปลอดภัยมากนัก เราต้องหาถ้ำไว้พักแรมคืนนี้เสียก่อน” โชคดีอยู่บ้างที่ค่ำคืนนี้แสงจันทร์ส่องสว่าง ทำให้นางยังพอเห็นเส้นทางบนเขาอยู่บ้าง แต่ก็ยังมิสว่างพออยู่ดี นางจึงเปิดห่อผ้าของตนเองออกดึงโคมกระดาษออกมาจากภายใน และใช้หินฉนวดจุดไฟ ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางบนเขาได้สะดวกมากขึ้น เขามองสตรีประหลาดตรงหน้า เมื่อครู่เพิ่งจะร้องไห้เสียงดังราวเด็กน้อยแท้ๆ แต่จู่ๆก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง สตรีจิตใจยากแท้จะหยั่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลาจริงๆ “เปิ่นหวางอยากรู้นักว่าแท้จริงเจ้านำอะไรมาบ้างกันแน่”เขาแย่งห่อสัมภาระนางไปเปิดออก ก่อนจะสำรวจภายในห่อผ้า เขาเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างอึ้งๆ ในห่อผ้ามีทั้ง เนื้อวัวตากแห้ง เนื้อหมูตากแห้ง ขนมหวาน ขนมอบ ซาวปิ๋ง น้ำมันต้นทัง อ้ายเฉ่า น้ำเต้า ไหสุรา ต้นกก เสื้อคลุม เกลือ หินชนวน กริช และยังมีของอื่นๆอีกเจ็ดถึงแปดอย่าง“นี่เจ้าเตรียมข้าวของมามากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ ทั้งยังมีเนื้ออีกด้วย ทำไมไม่บอกเปิ่นหว่างแต่แรกว่าเรามีเนื้อ ยังมีพวกขนมอีก สวรรค์! เปิ่นหวางหิวจะตายอยู่แล้ว” เขารีบหยิบเนื้อหมูตากแห้งขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะยัดเข้าปากทันที “การพาเจ้าขึ้นเขามาด้วย นับว่ามิเสียเปล่าเสียทีเดียว” ชูเซี่ยปาดน้ำตาที่คลออยู่ทิ้ง ก่อนจะรีบปิดห่อผ้าของจนเองทันที“ท่านหยุดกินก่อนเถิด พวกเราต้องหาถ้ำไว้พำนักสำหรับคืนนี้เสียก่อน จากนั้นก็ค่อยๆกินกันดีหรือไม่ ฟ้ามืดขนาดนี้แล้ว อาจจะมีสัตว์ป่าออกมาก็เป็นได้” หลี่เฉินเย่นหยิบกระเป๋าออกจากมือนางไปสะพายไว้เอง“เปิ่นหวางจะแบกให้เจ้าเอง เจ้าจับแขนเสื้อเปิ่นหวางไว้ก็พอ อย่าได้เผลอพลัดตกลงไปข้างทางเป็นอันขาด” แม้จะเป็นเส้นทางบนเขา แต่แท้จริงมันก็รกมาก ทั้งข้างทางก็มีทางลาดชัน ทั้งสูงชันและอันตราย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เขาแบกสัมภาระของนางไว้ มืออีกข้างถือโคมกระดาษไว้ส่องทาง หางตาเหลือบไปเห็นนางกำลังลอบมองเขาด้วยสายตาอ่อนหวาน“ยังมิเริ่มเดินอีก มองอะไรอยู่” ชูเซี่ยรับคำ นางกระชับมือสองข้างที่กำชายเสื้อของเขาไว้ ทั้งสองค่อยๆเดินขึ้นเขาอย่างช้าๆ เพื่อตามหาถ้ำที่สามารถพักแรมคืนนี้ได้ จนกระทั้งถึงยามห้าย พวกเขาก็เจอถ้ำในที่สุด ถ้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างกว่าที่พักของเขาเมื่อกลางวันนัก และปากถ้ำก็มีพุ่มไม้และเถาวัลย์ปิดอยู่บริเวณปากถ้ำสามารถอำพรางสายตาของสัตว์ป่าภายนอกได้เป็นอย่างดี ชูเซี่ยเปิดห่อผ้านำเสื้อคุลมออกมาปูพื้น ทั้งสองนั่งลงบนเสื้อคลุม จากนั้นก็เริ่มจัดแจงเสบียงออกมากินเป็นมื้อค่ำ หลังมื้ออาหารเสร็จสิ้นแล้ว หลี่เฉินเย่นจึงออกไปข้างนอกเก็บกิ่งไม้แห้งมาก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่นในยามค่ำคืน ชูเซี่ยจึงดับไฟในโคมเพื่อประหยัดน้ำมันทังในโคม หลี่เฉินเย่นดื่มน้ำไปอีกหนึ่งคำ ในยามนี้น้ำเป็นสิ่งล้ำค่านัก เขามิกล้าอื่มเยอะ เกรงว่าจะไม่พอ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าชูเซี่ยนั่งมองตนอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงตั้งใจจะเอ่ยปาก แต่ฝ่ามือน้อยที่ไม่น้อยของนางก็ตบเข้าที่ใบหน้าของเขาเต็มๆ เขาโมโดเตรียมต่อต่าว่านาง นางก็คลายมือออก กลางฝ่ามือของนางมีซากยุงอยู่ตัวหนึ่ง และรอยเลือดเล็กน้อย “ข้าตียุงน่ะ” “เพียงแค่ต้องการจะตียุง เจ้าต้องใช้แรงถึงเพียงนี้เลยหรือ เจ้าแก้แค้นข้ามากกว่ากระมัง”หลี่เฉินเย่นถามอย่างโมโห “เรื่องตียุงเป็นหน้าที่ของข้า อีกอย่างข้ากับท่านอ๋องก็มิได้มีความแค้นต่อกันนี่เพคะ”นางยิ้มหวานตอบเขา หลี่เฉินเย่นชะงัก รู้สึกแสบๆคันๆบนใบหน้าของตน หลุบตามองยุงในฝ่ามือน้อยๆของนาง แล้วเขาก็ได้ยินยุงบินว่อนอยู่ข้างหู เขายกมือคือตบก็พบว่ามีซากยุงอยู่ในมือของเขาอีกหนึ่งตัว เขารู้สึกรำคาญไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง“ไฉนยุงจึงกัดแต่เปิ่นหวาง” ชูเซี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา“ข้ามีอ้ายเฉ่าไว้กับตัวน่ะ”หญ้าอ้ายเฉ่าเป็นสมันไพรที่สามารถไล่ยุงได้ เข้ามากลางป่ากลางเขาเช่นนี้ย่อมมียุงไม่ใช่น้อยอยู่แล้ว หลี่เฉินเย่นกัดฟันกรอดมองหน้านาง ส่งเสียงฮีขึ้นจมูก หูยังคงมีเสียงหึ่งๆอยู่ตลอดเวลา“ย่างเข้าสารทฤดูแล้วมิใช่หรือ ทำไมยังมียุงมากมายเช่นนี้”ชูเซี่ยเปิดห่อผ้านำอ้ายเฉ่าขึ้นมาจุด ผ่านไปสักพักก็มิมีเสียงยุงฝห้รำคาญใจอีก “นำมาจุดตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง มิใช่วัวหายล้อมคอก!”หลี่เฉินเย่นรู้สึกหมั่นเขี้ยวสตรีตริงหน้าอย่างมาก ในใจพยายามหาวิธีลงโทษนาง ก่อนจะนึกออก “ดึกดื่นค่ำคืน บรรยากาศเป็นใจเช่นนี้ เปิ่นหวางจะเล่านิทานให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ดีหรือไม่”มือของเขาวางประสานไว้บนหน้าตัก ชูเซี่ยรู้สึกสนใจอย่างมาก นางยิ้มหวานมองมาที่เขา“ดียิ่ง ข้าชอบฟังนิทานมากที่สุด” หลี่เฉินเย่นแสดงสีหน้าร้ายกาจออกมา มุมปากกระตุกร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาตั้งใจกดเสียงของตนเองให้ต่ำลง“นี่เป็นเรื่องราวที่ เปิ่นหวางประสบพบเจอด้วยตนเอง เมื่อครั้งเปิ่นหวางอายุเพียงสิบห้าปี ได้ตามพระอาจารย์ขึ้นเขาไปศึกษาวิชายุทธ บนเขาแห่งนั้นเงียบสงบไร้ผู้คนมีเพียงเปิ่นหวางกับพระอาจารย์เท่านั้น นอกจากอาจารย์ที่เดินทางเข้าออกหุบเขาก็มิมีผู้ใดอีก มีอยู่วันหนึ่งเปิ่นหวางเกียจคร้านหนีเรียน หนีไปเที่ยวจนถึงมือค่ำ ตอนนั้นเปิ่นหวางอายุยังน้อย จึงไม่ได้รู้สึกกลัว เมื่อพระอาจารย์จับได้ว่าเปิ่นหวางหนีเที่ยวก็ทำโทษเปิ่นหวาง ให้เปิ่นหวางยืนอยู่เช่นนั้นจนกว่าจะครบตามกำหนดที่อาจารย์ แต่ท้ายที่สุดพระอาจารย์ก็ใจอ่อนเกรงว่าเปิ่นหวางจะหิวก็นำหมั่นโถวมาให้เปิ่นหวางเสียหลายลูก แต่ด้วยทิฎฐิเปิ่นหวางจึงปัดหมั่นโถวเหล่านั้นลงพื้นทันที พระอาจารย์ก็โมโหหันกายเกินจากไปทันที ตอนนั้นเปิ่นหวางก็สังเกตว่าหมั่นโถวบนพื้นหายไปลูกหนึ่ง เมื่อเพ่งมองให้ดีกลับเห็นว่าท่ามกลางความมืดนั้น มีมือค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นมือสีดำเหี่ยวย่นมีกรงเล็บราวกับกรงเล็บของนกอินทรีย์ เมื่อนั่นค่อยหยิบซาลาเปาอีกลูกหนึ่งจากพื้น และทันใดนั้นเปิ่นหวางก็ได้ยินเสียงดังกระซิบข้างๆหูเสียงสยดสยอง ‘เด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่กินก็อย่าสิ้นเปลือง!’เปิ่นหวางหันกลับมองข้างกายทันที แต่รอบๆมีแต่ความมืดมิดว่างเปล่ามิพบผู้ใด ตอนนั้นเปิ่นหวางหาได้กลัวไม่ ซ้ำยังยกเท้าของตนขึ้นเหยียบมือปริศนานั้นเต็มแรง แต่จู่ๆมือนั้นก็กางกรงเล็บจิกฝ่าเท้าของเปิ่นหวางทะลุร้องเท้า เปิ่นหวางเจ็บจนหมดสติไปในที่สุด” เมื่อเขาเล่าจบก็คาดหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าหวาดกลัวจากสตรีข้างกาย แต่นางนอกจากจะมิกลัวแล้วยังจ้องใบหน้าเขานิ่งๆ “เล่าต่อสิเพคะ หม่อมฉันชอบฟัง เรื่องผีเป็นอะไรที่หม่อมฉันชอบเป็นที่สุด” “จบแล้ว!”หลี่เฉินเย่นเห็นว่ามิอาจทำให้นางตื่นกลัวได้ก็หมดความสนุกทันที ชูเซี่ยส่งเสียงออออกมายาวๆ รู้สึกผิดหวังขึ้นมา นางนึกว่าจะน่ากลัวกว่านี้เสียอีก“หม่อมฉันก็นึกว่าจะมีเรื่องราวต่อจากนี้เสียอีก แล้วท้ายที่สุดมือนั่นเป็นมือของผู้ใด ของตัวอะไรหรือเพคะ” “นอกจากผียังจะเป็นอะไรไปได้อีกหรือ”เรื่องราวเหล่านั้นหลี่เฉินเย่นเป็นผู้แต่งขึ้นมาเพื่อแกล้งหลอกให้นางกลัวเท่านั้น ไหนเลยจะมีเรื่องราวต่อจากนี้ เขารู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่ง นึกว่าจะสามารถทำให้นางตื่นกลัวได้แท้ๆ ชูเซี่ยจึงเขยิบกายเข้าไปใกล้ๆเขาก่อนจะแกล้งกดเสียงของตนให้ทุ่มต่ำลงบ้าง“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็มีเรื่องจะมาเล่าเช่นกัน เรื่องราวนี้หม่อมฉันไม่เคยเล่าให้ผู้ใดฟังมาก่อน น่ากลัวเล็กน้อยเท่านั้น ท่านอ๋องกลัวหรือไม่ หากท่านมิกลัวหม่อมฉันก็จะเล่าให้ท่านฟัง” “น่าขำยิ่งนัก เจ้านึกหรือว่าเปิ่นหวางจะกลัว เจ้าเล่ามาเถิด หากไม่น่ากลัวขึ้นมาเปิ่นหวางจะจัดการเจ้า”หลี่เฉินเย่นเดิมก็รู้สึกหวาดกลัวเรื่องผีที่เขาแต่งขึ้นมาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่ผู้ใดจะยอมเสียหน้าต่อหน้านางกัน ชูเซี่ยพยักหน้ารับ และเริ่มต้นเล่าเรื่องทันที“เรื่องนี้มิได้เท่าใดนักหรอกเพคะ เมื่อครู่ที่ท่านอ๋องเล่าให้ข้าเป็นเรื่องราวที่ท่านอ๋องประสบพบเจอมาเอง หากแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ข้าฟังมาอีกที”ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เจอมากับตัวเองครั้งที่ยังอยู่ในโลกเดิม แต่เพราะยามนี้นางอยู่ในร่างหลิวหยิงหลงนางจึงมิสามารถบอกได้ว่าเป็นประสบการณ์ของตนเอง เพราะแค่นี้อีกฝ่ายก็ตั้งข้อสงสัยในตัวนางมากมายอยู่แล้ว หญิงสาวเหม่อมองออกไปภายนอกถ้ำ ก่อนจะหยิบน้ำเต้าขึ้นมาจิบน้ำเป็นพิธี ก่อนจะเริ่มเล่า“นี่เป็นเรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่ง นางมีชื่อว่า‘ชูเซี่ย’ชูเซี่ยเป็นหญิงสาว...” “ชูเซี่ย? โรคระบาดนั้นหรือ ชื่อน่าเกลียดอะไรเช่นนี้”หลี่เฉินเย่นยิ้มเยาะเย้ยนาง“จะแต่งเรื่องอะไรก็ช่วยคิดชื่อที่มันสร้างสรรค์กว่านี้หน่อยได้หรือไม่” ชูเซี่ยรู้สึกโกรธหน้ามืดทันที นางเป็นคนกวางตุ้งโดยกำเนิด ชื่อนางมาจากชูเซี่ยที่แปลว่าอบอุ่นต่างหาดเล่า ใช่โรคระบาดที่ไหนกัน! “ชื่อมันใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือเรื่องราวต่อจากนี้ต่างหากเล่าท่านอ๋อง ท่านจะฟังหรือไม่ ถ้าฟังก็อย่าได้ขัดข้า!” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 27 อยู่เป็นเพื่อนกัน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A