ตอนที่ 29 ด่านยาก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 29 ด่านยาก
ต๭นที่ 29 ด่านยาก ดวงตากลมโตของชูเซี่ยมองตามผีเสื้อนกนางแอ่นที่บินไปรอบๆ นางเห็นฝูงผีเสื้อนกนางแอ่นหลายตัวบินอวดโฉมก็รู้สึกเสียดาย “ถ้ามีกล้องถ่ายรูปก็คงดี” หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมาอย่างเย็นชา“หญ้าหลินเฉ่ายังหามิพบ เจ้ายังคิดจะกินไก่อีกหรือ”กล่าวจบเขาก็เดินเลี่ยงนางไปอีกทางทันที ชูเซี่ยก็ร้องตะโกน“หญ้าหลินเฉ่ามักจะเติบตามซอกหินชื้นแฉะ พวกเราไม่จำเป็นต้องค้นหาข้างล่างแล้ว ปีนขึ้นไปหาข้างบนกันเถิด”นางชี้นิ้วขึ้นไปบนผาหินที่สูงชัน เกิดจากการทับซ้อนกันของก้อนหินและแผ่นสีดำเหลืองหลายๆก้อน “ปีนเขา เจ้าปีไหวหรือ”หลี่เฉินเย่นมองนางอย่างดูถูก“อย่าว่าแต่ปีนถึงยอดเขาเลย แม้แต่สิบจั้งเจ้าก็มิไหวแล้ว” ชูเซี่ยไม่ได้โต้เถียงกับเขาให้เสียเวลา นางจัดการแบกกระเป๋าขึ้นหลัง ก่อนจะลงมือปีนทันที สักครู่ก็หันหน้ากลับมายิ้มให้เขา “ไม่นานความจริงก็จะปรากฎเอง ไปกันเถิด!” เนื่องจากหินแต่ละก้อนเป็นหินที่เปียกชื้นจึงทำให้ค่อนข้างลื่น ในระหว่างที่ปีนนางก็คอยสอดส่องสายตามองหาหญ้าหลินเฉ่าตามซอกหินว่ามีหรือไม่ หญ้าหลินเฉ่าจะว่าลักษณะธรรมดาก็ไม่ธรรมดา การจะมองหาให้พบท่ามกลางหญ้าชนิดอื่นๆไม่ใช่เรื่องง่าย หลี่เฉินเย่นปีนตามหลังนาง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นบั้นท้ายของนางเข้าพอดี“ห้ามเจ้าผายลมออกมานะ!” ชูเซี่ยแทบจะก้าวเท้าพลาด นางก้มลงมองเขาอย่างอึดอัดใจ“คำพูดเช่นนี้ท่านควรเก็บไว้ในใจถึงจะถูก กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน” หลี่เฉินเย่นไม่สนใจนาง“ปีนต่อไปสิ จะพูดจาไร้สาระอยู่ทำไม” ชูเซี่ยหน้าเหวอ คนเริ่มพูดจาไร้สาระคือเขามิใช่หรือ ปืนขึ้นไปเรื่อยๆ ชูเซี่ยก็รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณข้อมือของตน เมื่อก้มลงมองก็พบว่ามีทากตัวนึงเกาะที่ข้อมือนางอยู่ “อ๊า!”นางร้องออกมาอย่างตกใจ ก้าวขาพลาดตกลงไปด้านล่างทันที หลี่เฉินเย่นตกใจแทบสิ้นสติ ไม่มีเวลาไตร่ตรองอะไรอีกแล้ว เขารีบเอื้อมมือตวัดร่างของนางมาไว้ในอ้อมแขนได้ทันท่วงที “เจ้าจะทำอะไร ตัวเองจะตายก็ช่าง อย่ามาสร้างความลำบากใก้เปิ่นหวาง!” “มีทากเกาะข้อมือข้าอยู่!”ชูเซี่ยกอดชายหนุ่มไว้แน่นใบหน้าใกล้จะร้องไห้ออกมาอย่างเสียขวัญ นางพยายามสะบัดหลายต่อหลายครั้ง เจ้าทากก็มิมีท่าทีว่าหลุดออกไป หลี่เฉินเย่นยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ย“ไม่เป็นรัยหรอก เดี๋ยวมันดูดเลือดจนอิ่มก็ปล่อยเจ้าไปเอง” ชูเซี่ยได้ยินก็ตัวแข็งทื่อ นางขนลุกชูชันไปทั้งร่าง หันกลับมาส่งสายตาข้อร้องเขา“ข้าขอร้องท่าน เอามันออกไปให้ที!” หลี่เฉินเย่นสบโอกาสที่เมื่อวานนางแกล้งเล่าเรื่องผีให้เขากลัว นางมาขอร้องเขา เขามิช่วยเสียอย่าง เมื่อคืนนางเสแสร้างทำเป็นไร้เดียงสา เล่าเรื่องผีหลอกให้เขากลัว เขาก็จะทำให้นางได้ลิ้มรสความกลัวเสียบ้างจะเป็นไรไป ชูเซี่ยนางใกล้จะร้องออกมาจริงๆแล้ว สิ่งที่นางกลัวที่สุดในชีวิตมีเพียงสองอย่างคือ สัตว์ที่มีเมือกและสัตว์เลือดเย็นทุกชนิด หลี่เฉินเย่นเห็นปากของนางเริ่มจะบิดเบ้ ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลออยู่เต็มพร้อมจะไหลลงมา ก็รู้สึกสาแก่ใจเล็กน้อย เขาหยิบหินก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งดีดไปที่ข้อมือเธอ ทากเจ้าปัญหาก็หยุดออกไป“บอกเจ้าแต่แรกแล้วมิใช่หรือว่ามิให้ตามมา หาเรื่องลำบากแท้ๆ” เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าเขาเอาทากตัวนั้นออกให้นางก็รู้สึกดีใจเสียจนโผกายกอดชายหนุ่มตริงหน้าอย่างลืมตัว นางถึงกับร้องไห้ออกมาจริงๆ“ท่านเป็นคนดีมากจริงๆ ขอบใจท่านมาก ขอบใจ” หลี่เฉินเย่นแข็งทื่อให้นางกอดเขาไว้อยู่เช่นนั้น เขามิคิดว่านางจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ยิ่งได้ยินนางเอ่ยปากชมว่าเข้าเป็นคนดี เขาก็เกิดความรู้สึกละอายใจขึ้นมา ความสะใจเมื่อครู่หายวับไปแทนที่ด้วยความเอ็นดูและสงสารจับใจ ที่สำคัญยามนี้ทรวงอกนุ่มหยุ่นของนางแนบชิดติดอยู่กับอกแกร่งของเขา ลมหายใจก็นางที่รินรดอยู่ที่ต้นคออีกเล่า แม้ร่างบอบบางในอ้อมกอดจะมิได้มีกลิ่นหอม ซ้ำมีแต่กลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นใบไม้ใบหญ้า กล่าวได้ว่าเป็นหญิงสาวสกปรกนางหนึ่ง การกระทำที่อุกอาดของนาง กระตุ้นความรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณท้องน้อย เขาไม่อยากผลักนางออกไป แม้ว่าหญิงสาวในอ้อมกอดยามนี้จะเป็นคนเดียวกันกับสตรีสูงศักด์ที่เขาเคยจงเกลียดจงชังมาก่อน ในขณะที่หลี่เฉินเย่นตกอยู่ในภวังค์ความขัดแย้งในตนเองนั้น นางก็ค่อยๆคลายอ้อมกอดที่กกกอดเขาเมื่อครู่ นางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาและคราบสกปรกจากดินโคลนลวกๆ ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงของนางยิ่งทำให้นางดูสกปรกมากขึ้น แต่ทว่าในสายตาของหลี่เฉินเย่นภาพตรงหน้านับเป็นความงามที่แปลกประหลาดภาพหนึ่ง นางเป็นความงดงามที่ตรงข้ามกับความงดงามอย่างปรานีตที่เกิดจากการประทินโฉมอย่างสุดฝีมือ ลดการแต่งแต้มส่วนหนึ่ง ความงดงามตามธรรมชาติของนางกลับเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน นางยิ้มออกมาจนเห็นฟันซี่ขาว ดวงตาโค้งหยี คิ้วงอนงาม“ข้ามิเป็นไรแล้ว เราเดินทางกันต่อเถิด!” ครานี้หลี่เฉินเย่นเป็นฝ่ายปีนนำขึ้นไปก่อน ก่อนจะแกล้งดุสตรีด้านหลังอย่างไม่จริงจังนัก“ต่อไป ไม่มีรับสั่งจากเปิ่นหวาง ห้ามเจ้ากอดเปิ่นหวางส่งเดช” “ขออภัยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าตื้นตันจนควบคุมตนเองมิได้” นางเอ่ย คำพูดที่กล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสาของชูเซี่ย ทำให้หลี่เฉินเย่นรู้สึกยินดีอย่างมาก ยามนี้เข้าลืมความรู้สึกที่เคยจงเกลียดจงชังนางไปเสียสิ้น ยามนี้เพียงแค่นางกล่าวออกมาว่าเพราะตื่นตันนางจึงควบคุมตนมิให้กอดเขามิได้ เข้าก็รู้ดีใจเสียแล้ว การปีนเขายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คราวนี้ชูเซี่ยระมัดระวังมากยิ่งขึ้นนางคอยสังเกตดูข้างกายของตนเองตลอดเวลา นางเตรียมใจไว้แล้วว่าอย่างไรเสียก็ต้องปีนไปให้ถึงยอดเขา ถ้าโชคดีพวกนางอาจะได้พบหย้าหลินเฉ่าที่นั่น เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของหญ้าหลินเฉ่ามากที่สุดแล้ว เดิมซ่งอวิ่นฉีสามารถปีนป่ายได้เร็วกว่านางมากนัก หากแต่ เขาเกรงว่านางจะพลัดตกลงไปอย่างเมื่อครู่อีก เขาจึงมิกล้าปีนำหน้านางไป ได้แต่คอยตามหลังนางเพื่อระวังความปลอดภัย การตามหาสมุนไพรยังคงดำเนินต่อไปแต่เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามชูเซี่ยก็หยุดปีนกระทันหัน มีผลให้หลี่เฉินเย่นที่ปีนตามหลังมาโดยตลอดศีรษะกระแทกเข้ากับรองเท้าของนางจนได้“เป็นอะไรขึ้นมาอีก” ชูเซี่ยมิได้ตอบคำถามเขา นางกำลังพิจารณาต้นหญ้าทางซ้ายมือของนางอยู่ เขาตกตะลึงเมื่อมองตามสายตาของนาง ต้นหญ้าที่คุ้นเคยต้นหนึ่ง เขาร้องออกมาอย่างดีใจ“หลินเฉ่าหรือ”เขารีบร้อนอีนขึ้นมาอยู่ข้างกายนาง ก่อนจะนับรูปวาดออกมาจากอกเสื้อกางออกมาเพื่อเปรียบเทียบ “เป็นหญ้าหลินเฉ่าจริงๆ”ชูเซี่ยไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจอะไร นางกลับถอนหายใจออกมาด้วยซ้ำ “ยังไม่รีบขุดขึ้นมาอีก”หลี่เฉินเย่นพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ช้าก่อน!”นางมองเขาอย่างหมดหนทาง“หญ้าหลิ่นเฉ่าต้นนี้ใหญ่มาก รากของต้นต้องฝังลึกลงดินมากเป็นแน่ อีกทั้งรากยังฝังอยู่ใต้ก้อนหิน หากพวกเราจะเก็บการเก็บใบกับต้นเป็นเรื่องง่าย แต่การเก็บรากของมันแทบจะเป็นไปไม่ได้” หลี่เฉินเย่นถอนวัชพืชที่อยู่รอบๆต้นออก เขาก็พบว่ารากของหญ้าหลินเฉ่าฝังรากอยู่ใต้ก้อนหินจริงๆ มันเติบโตและแทรกออกมาตามซอกหินพวกนี้ “ของล้ำค้าเช่นนี้กลับมาเจริญเติบโตอยู่ภายใต้หินโสโครกเสียได้”หลี่เฉินเย่นไม่พอใจอย่างยิ่ง ตามหาตั้งนาน ในที่สุดก็ได้พบ แต่เมื่อพบก็ต้องเผชิญเหตุไม่คาดฝัน ราวกับพยายามฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการเพื่อให้ไปถึงที่ซ่อนสมบัติแต่ก็มาพบว่ามิอาจนำสมบัติเหล่านั้นออกไปได้ ทำได้เพียงเชยชมมันอยู่ตรงนั้น “โดยทั่วไปหญ้าหลินเฉ่าชนิดนี้จะเติบฝังรากอยู่ใต้ก่อนหิน ช่างยุ่งยากเสียจริง”ชูเซี่ยลูบใบของมันเบาๆ ใกล้ๆมีรากของมันที่ฝังลึกอยู้ใต้ก้อนหินขนาดใหญ่ แม้จะอยู้ด้วยกันทั้งหมด นางก็มิอาจขยับเขยื้อนก้อนหินออกได้ ยามนี้ทำได้เพียงค่อยๆขุดรากมันออกมาทีละนิดเท่านั้น แต่ว่านางก็ไม่มั่นใจเลยว่าวิธีนี้จะสามารถขุดรากมันออกมาได้จนหมด “ทำเช่นไรต่อไปดี”หลี่เฉินเย่นรู้สึกอับจนหนทาง จึงถามความเห็นของนาง การกระทำเช่นนี้ส่งผลให้นางประหลาดใจ การถามความเห็นของเขาเช่นนั้นเท่ากับว่าเขาเคารพในการตัดสินใจของนางใช่หรือไม่“ยามนี้ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ทำได้เพียงค่อยๆขุดรากของมันออกมาอย่างระมัดระวังเท่านั้น” “หามาตั้งนานกว่าจะพบ ต้นหลินเฉ่ามักจะขึ้นเพียงหนึ่งมิมีสอง หากจะตามหาอีกก็คงมิพบแล้ว หญ้าต้นนี้คือความหวังเพียงอย่างเดียวของพวกเรา”นางเองก็รู้สึกจนปัญญา นางหยิบกริชออกมาจากห่อสัมภาระ ก่อนจะบ่นงึมงัมออกมา“ข้าควรซื้อจอบมาตั้งแต่ต้น!” กริชนั้นคมเกินไปอาจทำลายรากได้ นางจำเป็นต้องขุดเอาทั้งรากขึ้นมาด้วย เพราะว่าหญ้าหลินเฉ่าเหี่ยวเฉาง่าย อีกทั้งหากมิมีรากสรรพคุณทางยาก็จะลดลงมากโข การรักษาราก ก็สามารถรักษาน้ำที่หล่อเลี้ยงลำต้นไว้ได้ สามารถอยู่ได้สองถึงสามวัน กล่าวให้ถูกหญ้าของต้นหลินเฉ่ามีสรรพคุณมากกว่าลำต้นกับใบรวมกันเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นชูเซี่ยจะต้องขุดรากออกมาให้ครบถ้วนให้จงได้ หลี่เฉินเย่นเองก็หยิบกริชขึ้นมาค่อยแซะเศษดินออกอย่างระมัดระวัง ชูเซี่ยมองเขาลงมืออย่างเพลิดเพลิน นางลอบมองเขาตั้งใจขุดหย้าหลินเฉ่าอย่างระมัดระวังรอบคอบ เขาขุดแซะรากอย่างชำนิชำราญ ค่อยๆขุดจนเกิดช่วงว่างใต้ก้อนหิน เขาส่งกริชคืนให้นาง ก่อนจะค่อยหักกิ่งไว้บริเวณนั้นมางัดก้อนหินขึ้นแล้วค่อยๆดึงรากของหญ้าหลินเฉ่าออกมาอย่างเบามือ แต่เนื่องจากช่องว่างเป็นเพียงรอยต่อหินจึงยากที่จะดึงมันออกมาโดยที่ไม่ทำให้รากของมันเสียหาย ชูเซี่ยตัดสินใจนำน้ำเต้าออกมาจากห่อผ้าเปิดฟาและเทน้ำลงบนพื้นดินจนหมด ทำให้ดินแถวนั้นเริ่มคลายตัวและสามารถดึงรากง่ายขึ้น นี่เป็นวิธีการที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เพราะเดิมที่ก้อนหินบริเวณนั้นก็เปียกชื้นอยู่แล้วมันจึงไม่ได้ผล ท้ายสุดรากก็ยังฝังรากพันอยู่กับก้อนหินเช่นเดิม ครานี้ทั้งคู่รู้สึกอับจนหนทางแล้วจริงๆ หลี่เฉินเย่นทั้งหงุดหงิดและผิดหวัง“นึกไม่ถึงว่าข้ามน้ำข้ามภูเขามาถึงที่นี่ สิ่งที่ตามหาก็อยู่ตรงหน้า หรือแท้จริงแล้วสวรรค์มิมีตา ทั้งๆที่พี่สะไภ้นางเป็นคนดีแท้ๆ!” “ให้ข้าลองดูอีกครั้ง”ชูเซี่ยนางมิใช่คนที่จะมายอมแพ้อะไรง่ายดายเช่นนี้ “เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆลองดูเถิด เปิ่นหวางจะลองปีนขึ้นไปสำรวจด้านบนดูว่าจะมีอีกหรือไม่”เขาเอ่ยกับนาง ในในรู้สึกหมดหวังต่อต้นหลินเฉ่าต้นนี้ไปแล้ว เขายังมิสามารถขุดได้ นางจะขุดได้หรือ “อืม ดี เช่นนั้นพวกเราแยกย้ายกันทำหน้าที่เถิด!” วินอี้พยักหน้าเห็นด้วย หลี่เฉินเย่นเริ่มออกแรงปีนเขาขึ้นไปอีกครั้ง โชคดีที่วันนี้พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างทำให้ก้อนหินมิได้เย็นมากนัก มีวัชพืชมากมายขึ้นอยู่ตามซอกหิน แต่ยิ่งเขาปีนสูงขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกหมดหวังมากขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง หนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงยอดเขา หินบริเวณนี้ก็เริ่มเปียกชื้นมากขึ้นและมากขึ้น ตามซอกหินเริ่มมีสายน้ำเล็กไหลลงมาตามซอกทำให้ยามนี้เสื้อของเช้าเปียกไปมากกว่าครึ่ง แต่เขาก็ยังไม่คิดจะถอดใจตอนนี้ เวลายิ่งผ่านไปชายหนุ่มก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น มีบางคราที่เขาเห็นต้นหญ้าที่มีลักษณธคล้ายกันก็ลิงโลดในใจ แต่ทว่าเมื่อพิจารณาดูดีๆแล้วก็ต้องผิดหวัง ในยามนี้ทุกๆหนึ่งเค่อที่เสียไปหมายถึงเวลาชีวิตของพระชายาและองค์ชายน้อยที่เริ่มหายไปด้วย ยามนึกถึงเรื่องนี้หัวใจของเขาก็ขมขื่นยิ่งนัก เมื่อปีนป่ายไปถึงจุดที่ค่อนข้างอันตราย เขาก็หยุดพักออมแรงสักครู่ ชายหนุ่มปีนมาไกลมากแล้ว เขาผ่านเก้าเลี้ยวสิบสามโค้งมา ยามนี้เมื่อเขามองลงไปก็มิสามารถเห็นแม้แต่เงาของชูเซี่ยได้อีก เขานึกได้ว่าหญิงสาวนางนั้นขี้กลัวถึงเพียงนี้ (ดี แต่นางมิกลัวผี) เขาก็รู้สึกกังวลใจเป็นห่วงนางขึ้นมา นี่ใช่หรือไม่ที่เขากล่าวไว้ว่าใกล้เกลือกินด่าง เขาตัดสินใจว่าควรจะกลับลงไปหานางเสียก่อนแล้วค่อยหารือวิธีการใหม่กันดีกว่า ยามลงจากเขา ชายหนุ่มใช้วิชาตัวเบาของตนทะยานลงไป ขึ้นยาก ลงง่าย เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามเขาก็ใกล้ลงมาถึงจุดที่ชูเซี่ยอยู่แล้ว ใช้เวลาเพียงหนึ่งในสี่ของเวลาทั้งหมดที่เขาใช้ปีนขึ้นเขา ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงชูเซี่ยกรีดร้องออกมา “อ้า---” ภายในใจของเขาตื่นกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ลังเลที่จะใช้พลังทั้งหมดที่ตัวเขามีทะยานลงไปหานางอย่างรวดเร็ว 
已经是最新一章了
加载中