ตอนที่ 31 ไม่ทิ้งกัน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 31 ไม่ทิ้งกัน
ต๭นที่ 31 ไม่ทิ้งกัน การเดินทางกลับลงจากเขาครานี้ ชูเซี่ยก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวที่จะเข้าเขตเขาอสรพิษเช่นเดิม แต่ทว่าครั้งนี้หลี่เฉินเย่นกลับเป็นฝ่ายจูงมือนางค่อยๆเดินไปด้วยกันทีละก้าวทีละก้าว ราวกับว่าเขาพร้อมจะปกป้องนางหากมีอะไรเกิดขึ้น ในใจนางรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของเขายิ่งนัก ในการเดินทางมายังเขาเทียนหลางครานี้ก็ไม่ได้แย่นักหรอก ก็เพราะนางยังได้มีโอกาสเห็นนิสัยด้านใหม่ๆของหลี่เฉินเย่นเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย มือของเขาที่กอบกุมมือนางในยามนี้ทั้งหนาและใหญ่ ซ้ำยังหยาบกร้าน เหตุใดเขาผู้เป็นถึงท่านอ๋อง เกิดมาพร้อมเกียรติยศและความมั่งมีบนกองเงินกองทอง ทั้งชีวิตแทบไม่ต้องเผชิญหน้ากับความลำบากใดๆเลยด้วยซ้ำ หรือบางทีที่มือของเขาด้านเช่นนี้คงเป็นผลจากการฝึกวิทยายุทธกระมัง นางรู้สึกชื่นชมเขามาก การฝึกวิทยายุทธไม่ใช่เรื่องง่าย ร่างกายของเขาจะต้องแข็งแกร่งและมีความอดทนอย่างสูงจึงจะสามารถฝึกวิทยายุทธให้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ได้ เมื่อทั้งสองผ่านเขตเขาอสรพิษมาได้ หลี่เฉินเย่นก็ยังไม่คลายความกังวลลงแต่อย่างใด เพราะเขาทราบดีว่าเมื่อข้ามเขตเขาอสรพิษมาแล้ว พวกเขาทั้งสองยังต้องเสี่ยงต่อการปะทะกลุ่มโจรภูเขาอีกครั้ง เนื่องด้วยเมื่อสองวันก่อนที่พวกเขาเดินทางขึ้นเขามานั้น หลี่เฉินเย่นได้จัดการสังหารฝูงสุขทิเบตไปจนหมดสิ้น พวกมันเป็นสุนัขเลี้ยง หากพวกมันตาย พวกโจรเหล่านั้นย่อมรู้สึกราวกับตนเองโดนกระตุกหนวดเสือถึงถิ่นเป็นแน่ ชูเซี่ยไม่ทราบเรื่องโจรภูเขามาก่อน นางจึงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่าทางของเขาถึงได้ดูกระวนกระวายเพียงนี้ “ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก พวกเรายังเหลือเวลาอยู่นะเจ้าคะ” นางเอ่ยปลอบใจเขา หลี่เฉินเย่นกวาดสายตาคมกล้าไปรอบๆ ทุกสรรพสิ่งรอบกายยังคงมีแต่ความสงบเงียบนอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวและใบไม้เสียดสีก็ไม่ได้มีเสียงอื่นใดอีก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกร้อง ความสงบเงียบเช่นนี้หลี่เฉินเย่นทราบดีว่าไม่ใช่เรื่องปกติแน่ “อดทนหน่อยเถิด ลงจากเขาค่อยว่ากัน” หลี่เฉินเย่นตัดสินใจที่จะไม่บอกนางเรื่องโจรภูเขาเพราะเขาไม่ต้องการให้นางรู้สึกหวั่นวิตก เมื่อเขาเอ่ยจบแทนที่หญิงสาวข้างกายจะขยับฝีเท้าตามที่เขาพูด ชูเซี่ยกลับหยุดเดินเสียเฉยๆ นางรู้สึกประหลาดใจจึงหันกลับมาหาเขา“เหตุใดจึงมีคนมากมายเช่นนี้!” หลี่เฉินเย่นชะงักเท้า“ที่ไหนมีคนกัน” คราวนี้นางจึงตั้งใจฟังอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า“ก็ข้าได้ยินเสียงหายใจของคน มีมากมายเสียด้วย ไม่ต่ำกว่าร้อยคนแน่ๆ” นางได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจเลยหรือ ครานี้เขาจึงตั้งใจฟังดูบ้าง ทว่านอกจากเสียงหวีดหวิวของลมแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก ครานี้ทำให้เขาหวนคิดไปถึงเมื่อครั้งขึ้นเขามา นางในยาวนั้นก็บอกกับเขาว่าได้ยินเสียงของสุนัข ทว่าเขากลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อยเพิ่งจะมาได้ยินก็ตอนพวกมันเริ่มเข้ามาใกล้มากแล้ว คราที่แล้วเขาอาจนึกว่านางเพียงโชคดีเดาถูก แต่ยามนี้หลังจากที่เขาค้นพบเจอความสามารถพิเศษด้านการฟังของนางแล้ว เขาก็เชื่อนางอย่างสนิทใจ สีหน้าของเขาเปลี่ยนในทันที“รีบหนีเร็วเข้า”ยามนี้พลังของเขายังไม่ฟื้นตัวดีนัก อย่าว่าแต่ร้อยคนเลย แค่สิบคนเขาก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะไหวหรือไม่ เขาตายไม่สำคัญ แต่หากนางซึ่งเป็นสตรีหากต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของโจรเหล่านั้นคงอยู่ไม่สู้ตายแน่ ไม่ทันเสียแล้ว! เมื่อสิ้นเสียงกลุ่มคนมากมายก็ปรากฎกายขึ้นจากรอบๆด้านพวกเขาทั้งสอง แต่ละคนมีรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางโหดร้ายน่ากลัว ในมือถือพวกเขาถือด้ามขวานไว้ เมื่อรู้ตัวอีกคราก็กลับกลายเป็นว่าทั้งคู่ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเสียแล้ว ในท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้นมีชายร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฟ้าเนื้อหยาบ สูงประมาณหกฉื่อ ผิวกายดำคล้ำ นางสัมผัสได้ถึงแววตาโหดร้ายกระหายเลือดของเขา แม้ว่าชายผู้นี้จะไร้อาวุธในมือทว่าเมื่อสัมผัสไอสังหารที่ชายผู้นี้แผ่ออกมาจากร่างแล้ว ชายผู้นี้คงเป็นหัวหน้าโจรอย่างไม่ต้องสงสัย หลี่เฉินเย่นดันร่างของบอบบางของชูเซี่ยให้อยู่หลบอยู่หลังตนราวกับจะปกป้อง ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น“ผู้มาใหม่คือผู้ใด” “เหล่าลูกๆที่น่ารักของข้า พวกเจ้าเป็นคนฆ่าหรือ”หัวหน้าโจรผู้นั้นไม่เพียงไม่ตอบทว่ากลับยกยิ้มพร้อมเอ่ยถามกลับ หลี่เฉินเย่นรับรู้ได้ในทันทีว่าลูกๆที่เจ้าโจรผู้นี้เอ่ยถึงคงหมายถึงเหล่าสุนัขทิเบตที่ถูกเขาสังหารไปกระมัง แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่สมควรพูดยอมรับออกไป แต่ทว่านิสัยของเขาเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ “ไม่ผิด ข้าเป็นคนสังหารพวกมันเอง แต่นั่นก็เพื่อป้องกันตัวเพราะพวกมันเป็นฝ่ายจู่โจมทางเราก่อน” หัวหน้าโจรค่อยๆกระตุกยิ้มบนใบหน้า ทันทีที่เขายิ้ม เหล่าสมุนก็ค่อยๆขยับยิ้มตามขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆกลายเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะก่อนที่เสียงหัวเราะจะค่อยๆขยายวงกว้างดังขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยหันมามองสบตากันอย่างงุนงง พวกเขาหัวเราะกันทำไมหรือ มีอะไรน่าขำกัน เมื่อหัวหน้าโจรหยุดหัวเราะ ลูกสมุนทั้งหมดก็หยุดหัวเราะในทันที ทั้งหมดเงียบรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าของพวกตน หัวหน้าโจรเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยออกมา“พวกมันเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น สัตว์เดรัจฉานจะโจมตีผู้อื่นมีอะไรน่าแปลกกัน มันเป็นสัญชาตญาณของพวกสัตว์ แต่พวกเจ้ากลับถือโทษโกรธพวกมัน หรือแท้จริงแล้วพวกเจ้าก็เป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นพวกมันกัน” ช่างเป็นความคิดที่ประหลาดอะไรอย่างนี้ หลี่เฉินเย่นเขาเป็นผู้ไม่มีฝีมือด้านการปะทะวาทศิลป์มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วจึงไม่รู้ว่าควรโต้ตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี ใบหน้าคมเปลี่ยนสีเล็กน้อย ดวงตาของเขาจ้องมองที่หัวหน้าโจรอย่างไม่คิดจะคลาดสายตาแม้แต่น้อย เพราะในเวลาเช่นนี้เขามิอาจประมาทศัตรูที่มีจำนวนมาเช่นนี้ได้ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวชะโงกศีรษะออกมาจากด้านหลังของหลี่เฉินเย่นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากตอบโต้กลับ“วาจาที่ท่านเอ่ยฟังดูคล้ายจะมีเหตุผล แต่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย สุนัขจู่โจมพวกเราเป็นสัญชาตญาณก็จริงอยู่ ทว่าพวกเราเป็นคนต่างถิ่นหากจะโต้ตอบกลับบ้างนั่นก็เป็นสัญชาตญาณการป้องกันตัวของพวกเราเช่นกัน ถ้าเราปล่อยให้พวกมันรังแกนั่นไม่เท่ากับว่าเราอ่อนแอยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีกงั้นหรือ” สายตาทุกคู่จับจ้องตรงมาที่ชูเซี่ย หัวหน้าโจรเมื่อมองเห็นนางดวงตาก็ฉายแววเป็นประกายหมายมาด“โอ้ ที่แม่นางน้อยผู้นี้กล่าวมาก็มีเหตุผล ข้าชื่นชมเด็กสาวที่มีฝีปากกล้าเช่นนี้นัก มาเถอะ กลับไปด้วยกันกับข้า เราสองคนจะได้ค่อยๆมานั่งจับเข่าคุยลับฝีปากกันดีหรือไม่เล่า!” หลี่เฉินเย่นดึงดาบออกมาจากฝักทันที มือหนากระชับด้ามดาบไว้แน่น เขาเอ่ยกำชับหญิงสาวด้านหลัง“อีกสักครู่หากมีการต่อสู้กันขึ้นมา เจ้ารีบหนีไปก่อน จงนำหญ้าหลินเฉ่าลงเขาไปด้วย ราชองครักษ์ของข้าอยู่ที่ตีนเขารออยู่ก่อนแล้ว” ชูเซี่ยส่ายหัวแทบจะทันที“ท่านเป็นผู้พูดเองไม่ใช่หรือ ว่ามากันสองคนต้องกลับไปทั้งสองคน น้อยไปหนึ่งไม่ได้” “สถานการ์เช่นนี้เจ้ายังยกเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาพูดอีกหรือ เจ้าต้องนำหญ้าหลินเฉ่ากลับไปช่วยพี่สะไภ้ให้ได้เสียก่อน”เขากัดฟันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ ข้าไม่ยอม!”ชูเซี่ยยืนกรานเช่นเดิม ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมทิ้งเขาเด็ดขาด หัวหน้าโจรยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ เพียงเท่านั้นเหล่าลูกสมุนต่างก็พุ่งเข้าโจมตีพวกเขาจากทั่วทุกด้าน หลี่เฉินเย่นยกดาบขึ้นมา ด้วยกำลังของเขาในยามนี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เขาจำเป็นต้องจัดการให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เสียก่อน มิเช่นนั้นหากเหล่าโจรยังพร้อมใจกันพุ่งเข้าโจมตีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆยิ่งกินเวลานานพลังลมปราณของก็ยิ่งไม่ไหวเขาไม่อาจรั้งไว้ได้นานนัก เขาใช้วิชายุทธปะทะกลุ่มโจรเหล่านั้นที่มีไม่ต่ำกว่าสิบสองคน เพียงไม่นานก็จัดการไปได้ถึงสองคน ท่วงท่าของชายหนุ่มกระบวนท่าต่อสู้พริ้วไหวราวกับลม ชายเสื้อของเขาโบกสะบัดพริ้วไหว การเคลื่อนไหวของเขาช่างปราดเปรียวและน่าเกรงขามราวกับพยัคฆ์ยิ่งนัก ชายหนุ่มใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ในการต่อสู้ครั้งเพื่อถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด เรี่ยวแรงของเขายังฟื้นคืนได้ไม่เต็มที่นักเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้เขาใช้พลังปราณไปมากในการช่วยชีวิตชูเซี่ยไว้ แต่ด้วยพลังในยามนี้การจัดการพวกโจรนั้นก็ยังพอมีแรงออกได้อีกเพียงแค่สองสามกระบวนท่าเท่านั้น เหล่ากองโจรเมื่อเห็นฝีมือของคู่ต่อสู้ก็เกิดความหวดกลัวจนถึงขั้นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จ้องมองท่าทีของอีกฝ่ายอย่างลังเลอยู่ชั่วครู่ทว่าก็ไม่ได้ถอยห่างไปไกลแต่อย่างใดราวกับว่ากำลังหาช่องว่างของอีกฝ่ายเพื่อรอจู่โจมเท่านั้น “ไป!” ซ่งอวิ่นเชียวเมื่อสบโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามเกิดความลังเลเขาก็รีบผลักชูเซี่ยให้ออกวิ่งทันที ชูเซี่ยจ้องเขม็งมาที่เขามือบางกระชับห่อสัมภาระในมือไว้แน่น ภายในหัวนางตีกันสับสนวุ่นวายไปหมด นางทราบดีว่าในยามนี้นางมีชีวิตของพระชายาเจิ้นหยวนอยู่ในกำมือ นางไม่อาจเสี่ยงได้ ทว่านางก็ไม่อาจปล่อยมือไปจากเขาได้ในเวลาเช่นนี้ นางทราบดีว่าสภาพร่างกายของท่านอ๋องยามนี้มิสู้ดีนัก พลังปราณของเขายังคงไม่ฟื้นคืนกลับมา เขาไม่อาจจัดการกลุ่มโจรเหล่านี้ได้ทั้งหมดแน่ ต่อสู้กับโจรหลายสิบคนด้วยตัวคนเดียวในขณะที่ร่างกายเป็นเช่นนี้ท้ายที่สุดเขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แน่ นางยืนนิ่งไม่ยอมขยับขา ส่ายหัว “ข้าไม่ไป!” หลี่เฉินเย่นรู้สึกโกรธจนหน้ามืด เขากระโดดกลับมายืนอยู่ตรงหน้านางก่อนจะระเบิดโทสะ “รีบไปเสีย หากเจ้าต้องอยู่ในเงื้อมมือพวกโจรเล่า เจ้าเคยคิดหรือไม่หากว่าตนเองต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันเจ้าจะมีชีวิตเช่นไร” การที่เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าไม่อาจรับมือคนพวกนี้ได้และต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่ ในใจของนางรู้สึกปวดหนึบ นางจับมือของชายหนุ่มข้างกายไว้แน่น “พวกเราเป็นสามีภรรยากัน แม้ไม่ได้เกิดพร้อมกัน ก็ขอตายพร้อมกัน!”นางไม่อาจทราบได้เลยว่าที่เอ่ยออกไปเช่นนั้นเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบหรือเอ่ยออกมาจากส่วนลึกในจิตใจของนางกันแน่ ดวงตาคมของหลี่เฉินเย่นส่องแสงกล้า ลำคอของเขาแข็งเกร็ง ในยามที่กำหนดเป็นตายเช่นนี้นางกลับไม่คิดหลบลี้หนีหายไปไหน เห็นได้ชัดว่าเขามีความสำคัญมากเพียงใดในหัวใจของนาง ทว่าเขาเล่าเคยปฏิบัติต่อนางเช่นไร ยามนี้ในใจของเขารู้สึกผิดมากเหลือเกิน หากว่ายังมีโอกาสแล้วล่ะก็ เขาจะไม่มีวันรังแกหรือทำร้ายนางให้เจ็บปวดอย่างแน่นอน ทว่าในยามนี้เขาไม่อาจเฝ้ามองดูนางตายจากไปหรือตกไปอยู่ในเงื้อมมือกลุ่มโจรเด็ดขาด“เจ้าลงเขาไปก่อน นำเหล่าราชองครักษ์ขึ้นมาช่วยเปิ่นหวาง เปิ่นหวางยังถ่วงเวลาได้อีกสักพัก” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด “ท่านแน่ใจนะ”นางจ้องตรงมาที่เขา จากที่นี่ลงไปจนถึงตีนเขาใช้เวลาไม่นานนัก นางมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะวิ่งลงจากเขาไปเรียกกำลังเสริมมาช่วยเขา ก่อนหน้านี้เขาเคยออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์รอเขาอยู่ที่ตีนเขาด้านล่าง หากภายในสองวันยังไม่กลับออกมาให้ขึ้นมาตามหาพวกนาง หากนางลงไปตามคนมาเขาต้องรอดแน่ ทว่าเส้นทางขึ้นเขาซับซ้อน หากเหล่าองครักษ์ขึ้นมาแต่ไปผิดทางเล่าย่อมไม่ดีแน่ แต่นางมีทางเลือกไม่มากนัก ยามนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดคือนางต้องลงไปตามเหล่าองครักษ์มาช่วยเท่านั้น นางต้องเสี่ยง หลี่เฉินเย่นเห็นว่าหัวหน้าโจรเริ่มยกมือส่งสัญญาณอีกครั้ง ก็รีบเอ่ยขึ้น“รีบไปเร็วเข้า พลังของเปิ่นหวางในยามนี้สามารถถ่วงเวลาได้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น เจ้ารีบไปเสียอย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้” ชายหนุ่มถอดแหวนออกมาจากนิ้วของเขา ก่อนวางลงฝ่ามือบาง ใบหน้าคมสีหน้าจริงจัง“นี่คือของประจำตัวเปิ่นหวาง เจ้าแสดงสิ่งนี้ให้พวกเขาดู พวกเขาต้องเชื่อและฟังคำสั่งของเจ้าอย่างแน่นอน” ชูเซี่ยรับแหวนของอีกฝ่ายมาและเก็บไว้กับตัวอย่างดี ขาก็เริ่มออกวิ่งทันที นางต้องแข่งกับเวลา นางกลัวมาก กลัวมากจริงๆ นางกลัวเขาจะเกิดเรื่องขึ้น กลุ่มโจรถูกแบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่ายทันที ฝ่ายหนึ่งออกไล่ตามนาง อีกฝ่ายพยายามจู่โจมซ่งอวิ่นเชียว ชูเซี่ยวิ่งได้เร็วยิ่งนัก แม้แต่ตัวนางเองยังไม่ทราบว่าเหตุใดตนเองจึงสามารถวิ่งได้เร็วถึงเพียงนี้ได้ การเคลื่อนไหวของนางปราดเปรียวรวดเร็วราวกับลูกธนที่ถูกยิงออกไปไม่มีผู้ใดสามารถหยุดได้ กลุ่มโจรที่ไล่ตามนางยิ่งนานก็ยิ่งมากขึ้น นางทราบดีว่าเช่นนี้แล้วย่อมเป็นเรื่องดีกับหลี่เฉินเย่นนัก นางอยากจะร่ำไห้ยิ่งนัก จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับเขาใช่หรือไม่ เขาถ่ายพลังมาให้นางตั้งมาก เช่นนั้นเขาก็ไม่เหลือพลังปราณแล้วไม่ใช่หรือ หากเขาตายไปนางจะทำเช่นไรดี แต่เดิมเขาก็ไม่ใช่คนชั่วร้ายแม้แต่น้อย เป็นคนดีคนหนึ่งแท้ๆ ทั้งๆที่พวกโจรเหล่านั้นรู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจวิ่งตามนางได้ทัน แต่พวกมันก็ไม่ได้ถอดใจ เพราะหัวหน้าของพวกมันต้องการตัวสตรีผู้นี้ หากไม่อาจจับตัวนางได้พวกเขาย่อมไม่อาจกลับไปแก้ตัวต่อท่านหัวหน้าได้ พวกเขารู้สึกแปลกใจอย่างมาก เป็นเพียงแค่หญิงสาวบอบบางอ้อนแอ้นแท้ๆ ไฉนจึงวิ่งได้รวดเร็วถึงเพียงนี้! หรือแท้จริงแล้วนางต่างหากเล่าที่เป็นยอดฝีมือ ดังนั้นยิ่งพวกมันไล่ตามเท่าไหร่ก็มิอาจตามทัน ฝีเท้ายิ่งวิ่งก็ยิ่งช้าลง พวกเขาเริ่มตระหนักว่าจริงอยู่ที่หัวหน้าต้องการตัวนาง แต่หากว่านางเป็นยอดฝีมือแล้วพวกเขาไม่อาจต่อกรไหวเล่า มิตายเปล่าหรือ ก่อนหน้านี้หลี่เฉินเย่นสามารถสังหารโจรได้ถึงสองคนภายในไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น ดูท่าแล้วเขาคงรับมือพวกมันได้ดีกว่าที่นางคิด อย่างน้อยตอนนี้พวกมันก็เลิกไล่ตามนางแล้ว นางใช้เวลาในการวิ่งลงจากเขาถึงครึ่งชั่วยาม ในที่สุดนางก็พบคนกลุ่มหนึ่งรั้งรออยู่บริเวณตีนเขา นางรู้จักพวกเขา เคยพบเจอพวกเขามาก่อน พวกเขาเป็นคนของจวนอ๋อง นางรีบพุ่งเข้าไปกระชากชายเสื้อของหนึ่งในนั้น“เร็ว เขาตกอยู่ในอันตราย รีบขึ้นเขาไปช่วยท่านอ๋องเดี๋ยวนี้!” ผู้ที่ถูกนางกระชากอยู่นั้นคือซือหลินเฉินซึ่งเป็นหัวหน้าราชองครักษณ์ของจวนอ๋อง เขาได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้รั้งอยู่บริเวณตีนเขา เขาเองก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนักจึงส่งเหล่าองครักษ์ล่วงหน้าขึ้นเขาไปก่อนแล้ว ชูเซี่ยนึกว่าเขาไม่เชื่อสิ่งที่นางเอ่ย จึงรีบนำแหวนออกมาแสดงให้อีกฝ่ายดูทันที “เจ้าดูสิ นี่คือแหวนประจำตัวของท่านอ๋อง เขาเป็นผู้มอบให้ข้ากลับมือ เขากำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเจ้ารีบไปช่วยเขาเร็วเข้า!” ซือหลินเฉินเมื่อเห็นแหวนก็ผงะตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใบหน้าฉายแววตระหนกอย่างมาก นางจึงก้าวเท้าไปใกล้เขาขึ้นอีกนิด“ยังมองอะไรอยู่อีกเล่า ทำไมยังมิรีบไปอีก” เหล่าราชองค์รักษ์ทุกนายที่เห็นแหวนประจำกายท่านอ๋องต่างก็ผวาตกใจ“แหวนวงนี้เป็นตัวแทนของท่านอ๋อง มันเป็นแหวนประจำกายท่านอ๋อง แหวนวงนี้ไม่เคยห่างจากกายท่านอ๋องเลยสักครั้ง การที่เขามอบแหวนให้ท่านแสดงว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาแน่แล้ว!”ซือหลินเฉินเอ่ยเสียงแหบแห้ง นางตื่นตระหนกยิ่งนัก ก่อนจะร้องออกมาอย่างสุดทน“เขาหลอกข้า!” นางกล่าวจบก็รีบหันกายหมายจะวิ่งกลับขึ้นเขา ซือหลินเฉินเห็นเช่นนั้นก็รีบถลาวิ่งตามพระชายาไปทันที ยามนี้ท่านอ๋องก็มิอยู่แล้ว หากพระชายายังเป็นอะไรไปอีกคน จวนอ๋องหนิงอานคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ชูเซี่ยน้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดยที่นางเองก็ไม่คิดจะเช็ดแต่อย่างใด เขารู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหมว่าไม่อาจสู้กับโจรพวกนั้นได้ แต่ก็ยังฝืนถ่วงเวลาเพื่อให้นางได้หนี คำพูดที่เขาเอ่ยกับนางทั้งหมดก็เพียงเพื่อให้นางวิ่งออกจากที่นั่นเท่านั้น หลี่เฉินเย่นท่านจะตายไม่ได้เป็นอันขาด ห้ามตายเด็ดขาดนะ! ซือหลินเฉินเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพระชายาอีกคน“พระชายาพะย่ะค่ะ วิ่งช้าลงหน่อยเถิด ท่านพักรอพวกข้าอยู่ที่ก่อนเถิด ข้าจะสั่งให้คนขึ้นไปช่วยเหลือท่านอ๋องเองพะย่ะค่ะ!” ชูเซี่ยไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตน ขอเพียงแค่อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเพียงเท่านั้น ขอเพียงเท่านั้นจริงๆ เขาต้องสูญเสียพลังปราณไปเกือบทั้งหมดก็เพื่อช่วยนาง หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนที่ต้องรู้สึกปิดไปตลอดชีวิตย่อมต้องเป็นตัวนางเอง ก่อนหน้านี้เค้าพร่ำบอกนางมาโดยตลอดว่ามิอาจพานางขึ้นเขาไปด้วยได้ แต่นางก็ยังเอาแต่ใจนึกถึงความคิดของตนเป็นใหญ่ ทระนงในตนเองว่ามีความสามารถ เพียงแต่ว่าตอนนี้ความหลงตัวเองของนางกำลังทำให้เขาตกที่นั่งลำบากมีภัยถึงชีวิต ในใจนางรู้สึกเจ็บปวดมากเหลือเกิน ราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ตัวของนางในตอนนี้ราวกับมีไฟแผดเผาจนเจ็บปวดไปหมด อยู่หรือตาย นางซึ่งเป็นหมอเห็นมานักต่อนัก เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกคน เพียงแต่ตอนนี้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางรู้แล้วว่าชีวิตคนเรามีค่าเพียงไหน หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา นางก็คงไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติหรือมีหน้าไปพบใครได้อีก 
已经是最新一章了
加载中