ตอนที่ 36 ราวกับก้างในคอ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 36 ราวกับก้างในคอ
ต๭นที่ 36 ราวกับก้างในคอ หลี่เฉินเย่นน้องนิ่งๆอยู่ภายในถ้ำ สภาพของเขายามนี้คล้ายคนที่ที่ไร้ลมหายใจไปแล้วเสื้อผ้าที่เคยทำจากไหมชั้นดีก็ขาดวิ่นมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมด เมื่อเขาเห็นคนเดินเข้ามาในคราแรกก็ตื่นตระหนก ทว่าเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือเจิ้นหยวนอ๋อง เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมา “ข้าไม่เป็นไร!” เจิ้นหยวนอ๋องเมื่อเห็นสภาพของน้องชายตนต่อให้เขาจะเป็นคนด้านชาแค่ไหนก็ไม่อาจห้ามน้ำตาของตนเองไว้ได้ เขาขยับกายเข้ามาโอบกอดน้องช้ายไว้ในอก “ไม่เป็นไร พี่ชายอยู่ตรงนี้!” หลี่เฉินเย่นรู้สึกสงบใจลงได้ก็จะค่อยๆขยับปากเอ่ยถามสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด “หยิงหลง และพี่สะไภ้...ปลอดภัยดีหรือไม่” เจิ้นหยวนอ๋องรู้สึกว่าลำคอของตนตีบตันไม่สามารถกลืนน้ำลายได้ “พี่สะไภ้ของเจ้าลอดภัยดีส่วนหยิงหลงนางกำลังรักษาตัวอยู่ในวัง” หลี่เฉินเย่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับว่ายกภูเขาออกจากอก เขาแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ “เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว!” ก่อนสองมือของเขาจะค่อยๆตกลงสู่พื้น เปลือกตาปิดลงช้าๆ เจ้าหยวนอ๋องรู้สึกตกใจอย่างมากส่งเสียงคำรามออกมา “ห้ามหลับเด็ดขาด พี่จะพาเจ้ากลับเดี๋ยวนี้!” แต่หลี่เฉินเย่นกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย หลีหนิงซึ่งอยู่ข้างกายจึงถลาเข้ามาใกล้เอานิ้วมืออังใต้จมูกของเขาก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “โชคยังดีนัก ยังมีลมหายใจ เราต้องรีบแข่งกับเวลานำเข้ากลับวังรักษาตัวห้ามชักช้าเด็ดขาด!” เมื่อกลับมายังวังหลวงก็ย่างเข้าเช้าวันที่สองเข้าไปเสียแล้ว แสงประกายจากดวงอาทิตย์ยามเช้าที่เพิ่งจะขึ้นมาทางทิศตะวันออกช่างเป็นภาพความงามที่งดงามจับตายากที่ผู้พบเห็นจะถอนสายตาออกได้ ทว่าในความงดงามเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าจู่ๆบนท้องฟ้าก็มีอีกาฝูงหนึ่งบินวนไปมารอบๆเหนือวังหลวงทำให้ทัศนียภาพที่เดิมสวยงามยามนี้กลับถูกความหยาวเย็นและอ้างว้างเข้ามาแทนที่ แม้ว่าหลี่เฉินเย่นจะสามารถรอดชีวิตมาได้ ทว่ากระดูกขาทั้งสองข้างของเขากลับแตกและไม่สามารถรู้สึกอะไรได้เลย ทั้งร่างกายของชายหนุ่มมีบาดแผลจากการต่อสู้อยู่หลายแห่งซึ่งเดิมเขาก็สกัดจุดห้ามเลือดไว้แล้ว ทว่าเนื่องจากบาดแผลไม่ได้รับการดูแลและถูกทิ้งไว้เช่นนั้นเป็นเวลานานทำให้ในยามนี้บาดแผลเกิดการอักเสบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ รวมทั้งขาทั้งสองข้างของเขาที่แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึกอันใดแต่ก็มีอาการอักเสบอย่างรุนแรกด้วยเช่นกัน หลี่เฉินเย่นสลบไสลไปถึงสามวันสามคืนด้วยกันเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ได้รับข่าวจากหมอหลวงว่าขาทั้งสองข้างของตนจะไม่อาจใช้การได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ ชายหนุ่มก็นิ่งเงียบอยู่นานไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรขึ้นมาอีกเลย สายตาคอมทอดมองยาวไปไกลราวกับว่าไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวอะไรอีกแล้วในยามนี้ องค์ไทเฮา ฮองเฮาและหลิวมี่เหอที่ยืนอยู่ข้างเตียงเห็นภาพเช่นนี้เข้าต่างก็ร่ำไห้ขึ้นมาด้วยความโศกเศร้า จนในที่สุดเขาก็หันกลับมามองพวกนาง “ไม่ต้องร้องไปหรอก อย่างไรเสียเปิ่นหวางก็สามารถรอดมาได้แล้ว” ฮ่องเต้เองก็ทรงหนักพระทัยและรู้สึกเป็นห่วงในตัวบุตรชายของตนยิ่งนัก “เย่นเอ๋อ เจ้าวางใจเถิด เจิ้นจะต้องหาหมอเทวดามารักษาเจ้าให้ได้ เจ้าจะต้องหายอย่างแน่นอน” “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” หลี่เฉินเย่นค่อยๆปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆรากับเป็นการตัดบทสนทนา “ลูกเหนื่อยแล้ว อยากพักสายตาสักหน่อย ทุกคนก็กลับออกไปพักผ่อนเถิด” หลิวมี่เหอที่ร้องไห้จนตาบวมเอ่ยขึ้น “ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านเองเจ้าค่ะ ท่านนอนไปเถิด!” แต่หลี่เฉินเย่นกลับส่ายศีรษะช้าๆ “ไม่จำเป็น ออกไปให้หมด” ฮองเฮาทราบนิสัยบุตรชายของพระองค์ดีกว่าใคร วันนี้เมื่อเขาต้องรับฟังข่าวร้ายที่สุดในชีวิตก็คงยากจะทำใจและอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆลำพังสักพัก แม้พระองค์จะอยากอยู่เคียงค้างบุตรชายในเวลาเช่นนี้มากเพียงใดก็ตาม ทว่าพระองค์ก็จำเป็นต้องให้เวลากับเขาบ้าง “ออกไปให้หมดเถิด ให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เถิดนะ” หลิวมี่เหอมีหรือจะยอมจากไปโดยง่าย นางรอคอยมานาน นานจนกระทั่งเขาปลอดภัยกลับมาในที่สุด ยามนี้นางต้องอยู่ใกล้เขาคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิดถึงจะถูกต้อง หลี่เฉินเย่นมองดูผู้คนรอบๆห้องเมื่อไม่พบคนที่ตนอยากพบก็เอ่ยเสียงเยาะเย้ยออกมา “เปิ่นหวางช่วยชีวิตนางจนเกือบทิ้งชีวิตของตนเอง แต่เพราะเหตุใดนางจึงไม่มาเยี่ยมเปิ่นหวางเลยสักครั้ง” ฮองเฮาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ว่านางที่เขาเอ่ยขึ้นมาคงหมายถึงชูเซี่ยกระมัง พระองค์ถอนปัสสาสะออกมา “หยิงหลงนางบาดเจ็บหมดสติไปยังไม่ฟื้น” ใบหน้าหลี่เฉินเย่นถอดสี ชายหนุ่มพยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนฝ่ามือจะกุมบาดแผลไว้ด้วยความเจ็บ แม้จะเจ็บเพียงใดชายหนุ่มก็กัดฟันถามขึ้น “หมดสติหรือ เพราะเหตุใดจึงหมดสติได้เล่า ไม่ใช่ว่าเสด็จพี่บอกว่านางปลอดภัยดีหรือ” ฝ่าบาททรงตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้บุตรชายของพระองค์ได้รับรู้ หลี่เฉินเย่นเมื่อได้รับฟังก็ตกตะลึง ดวงตาคมฉายแววสับสนแล้วคาดไม่ถึงในเรื่องราวที่ตนเพิ่งจะได้ยิน ท้ายที่สุดเมื่อเขาหาเสียงของตนจนพบ จึงค่อยๆเอ่ยถามขึ้น “เสด็จพ่อทรงหมายความว่า ที่เสด็จพี่พบตัวลูกเป็นเพราะนางงั้นหรือ” “ใช่แล้วล่ะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นช่างชุลมุนวุ่นวายเสียจริง จู่ๆพระชายาของเจ้านางก็โวยวายบอกว่าเจ้าอยู่ในถ้ำก่อนจะล้มลงหัวกระแทกหมดสติไป อาการสาหัสนักแม้แต่หมอหลวงยังบอกว่าอาการของนางในยามนี้แม้แต่เทวดาก็ยากจะช่วย” หลี่เฉินเย่นที่เอนกายนอนอยู่บนเตียงภายในใจก็หวนกลับไปคิดถึงยามที่เขาบาดเจ็บสาหัสรอเผชิญกับความตายภายในถ้ำ ยามนั้นขาทั้งสองของเขาหักจนไม่อาจขยับตัวได้อีกทั้งบาดแผลตามร่างกายก็มาก เขาคิดว่าคงไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปจากที่แห่งนั้นได้อีกแล้ว ก่อนตายเขาคิดถึงนางเป็นคนแรกจึงเผลอหลุดเรียกชื่อนางออกมาคำหนึ่ง เพียงคำเดียวท่านนั้น หรือว่าแท้จริงแล้วเขาและนางใจสื่อถึงใจได้หรืออาจะเป็นเพราะพวกเขาใจตรงกันกันแน่ “ลูกอยากไปพบนางพะย่ะค่ะ” หลี่เฉินเย่นทูลขอองค์ฮ่องเต้ “ไม่ได้ ตอนนี้ร่างกายเจ้าไม่อาจขยับกายได้ส่งเดช รอให้หยิงหลงฟื้นขึ้นมาข้าจะให้นางมาพบเจ้าเองดีหรือไม่” ไทเฮาทรงไกล่เกลี่ย หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะ “ไม่ได้พะย่ะค่ะ หลานมีของสำคัญมากอยู่ที่นางจำเป็นต้องเอากลับคืนมา” “ท่านอ๋องต้องการอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันจะเป็นผู้นำกลับคืนมาให้ท่านเอง ท่านอ๋องก็พักผ่อนอยู่ที่นี่เถิดเพคะ!” หลิวมี่เหอสบโอกาสนี้ขันอาสา ใบหน้าซีดขาวของหลี่เฉินเย่นหันไปขอความเห็นใจต่อฝ่าบาทหวังว่าพระองค์จระทรงอนุญาติ “เสด็จพ่อ ให้ลูกไปเถิดพะย่ะค่ะ ลูกยังมีของสำคัญอยู่กับนางจำเป็นต้องไปเอาด้วยตัวเองพะย่ะค่ะ!” เขาเอ่ยเพียงว่าของสิ่งนี้เป็นของสำคัญมากเพียงแต่ก็ไม่ได้บอกว่าของสิ่งนั้นแท้จริงคืออะไรกันแน่ “เช่นนั้น เจิ้นจะให้คนมาหามเจ้าไป!” เมื่อทรงห้ามบุตรชายตนไม่ได้ก็จนปัญญา หลี่เฉินเย่นปิดเปลือกตาลงก่อนจะพยายามขยับร่างกายของตนเองนอกจากร่างกายที่เจ็บไปทั้งร่างก็มีเพียงขาทั้งสองข้างเท่านั้นที่เขาไม่รู้สึกอะไรเลย เขาได้ปราถนาว่ามันจะรู้สึกขึ้นมาได้อีกครั้งทว่ากลับไร้วี่แวว ชายหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นหลอกตัวเองว่าขาทั้งสองข้างรู้สึกเจ็บโดยการส่งเสียงร้องออกมา ร่างของเขาถูกหามมาส่งถึงหอนอนของชูเซี่ยในเวลาต่อมา ชูเซี่ยยังคงไม่ได้สติ ยามนี้ข้างกายนางมาเสี่ยวจี๋และมามาอยู่ข้างกายคอยดูแลปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง เมื่อทั้งสองเห็นฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จมาด้วยก็ย่อกายทำความเคารพอย่างรวดเร็ว ยามที่ทั้งสองเห็นว่าหลี่เฉินเย่นถูกหามเข้ามาภายในห้องเพื่อมาดูอาการของพระชายาด้วยตนเองก็ให้รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มยิ่งนัก หลี่เฉินเย่นถูกหามมาจนถึงข้างเตียงบรรทมของชูเซี่ย ดวงตาคมกล้ามองร่างบอบบางของหญิงสาวบนเตียงอย่างสำรวจ ใบหน้าของนางซีดขาวไร้สีเลือด ริมฝีบากบางแห้งผาก เปลือกตาของนางปิดสนิททำให้เขาได้มีโอกาสเห็นขนตาที่เรียงกันเป็นแพของนาง ยามนอนนางนอนหลับนิ่งๆอยู่บนเตียงเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าแท้จริงนางเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่อ่อนแอและบอบบางคนหนึ่งเท่านั้น เขาเคยรังเกียจนางมากก็จริงทว่ายามนี้เมื่อเห็นนางนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก ยามที่เขามาถึงได้สอบถามอาการของนางจากหมอหลวงประจำตัวพระชายาแล้วก็พบว่าต่อจากนี้นางจะฟื้นหรือไม่ก็แล้วแต่สวรรค์ลิขิตเท่านั้น ยามที่เขานอนรอความตายอยู่ในถ้ำบนหุบเขาเทียนหลาง ในใจของเขายามนั้นคิดถึงเพียงนาง รอยยิ้มของนาง เขาเคยคิดว่าหากมีโอกาสรอดชีวิตออกไป เขาจะเอ่ยคำขอโทษต่อนาง เขารู้สึกเสียใจนักที่เคยทำผิดต่อนางมาโดยตลอด มาถึงยามนี้เขาปลอดภัยดีแต่นางกลับต้องมานอนอยู่เช่นนี้ เป็นตายเท่ากัน “ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับนางเสียหน่อย พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปสักพักเขาก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา ฮ่องเต้รับสั่งให้คนอื่นๆออกไปรอข้างนอกให้หมด แม้ว่าสีหน้าของหลิวมี่เหอจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยทว่าในใจกลับมีพายุที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แท้จริงแล้วมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคนกันแน่ เหตุใดท่านอ๋องที่เคยตั้งแง่รังเกียจพี่สาวนางมาโดยตลอดกลับกลายเป็นว่ายามนี้ราวกับเขารักใคร่นางถึงเพียงนี้ เมื่อเป็นรับสั่งของฮ่องเต้หลิวมี่เหอไม่อาจไม่ทำตามได้ แต่นางก็ไม่ได้หายไปไหนไกล นางเพียงไปยืนเงียบๆอยู่นอกหน้าต่างห้องนอนเพื่อแอบฟังพวกเขาคุยกัน หลี่เฉินเย่นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาทำเพียงนั่งนิ่งๆอยู่ข้างเตียงนางเว้นระยะห่างเพียงเล็กน้อยฝ่ามือหนาเอื้อมไปจับฝ่ามือของนางมากอบกุมไว้ เขาอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของนาง ก้มไปกระซิบข้างใบหูของนางแต่ก็ไม่อาจทำได้จึงทำได้เพียงยืนมองนางนิ่งๆอยู่เช่นนี้ เขาไม่อาจบรรยายความรู้สึกของตนได้ในขณะนี้ และไม่อาจบอกได้ว่าเหตุใดเขาต้องเห็นหน้านางจึงจะสงบใจลงได้ เข้าไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่ เขาไม่อยากเอ่ยคำว่าตายออกมา หากนางต้องตายเล่าเขาไม่อยากจะคิดว่าตนเองจะใช้ชีวิตเช่นไรต่อไปได้อีก เขานั่งเงียบๆกุมมือนางไว้เช่นนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว มีคำพูดมากมายไหลเวียนอยู่ในหัวแต่ก็ไม่ทราบว่าควรพูดอะไรออกมาก่อนดี ทว่าสุดท้ายแล้วคำพูดที่เอ่ยออกมาจากเขากลับเป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับใจของเขามากที่สุด “หากเจ้าตายเปิ่นหวางจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” เมื่อกล่าวจบ กระบอกตาของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาก่อนจะรีบเสหน้าไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนเป็นสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เมื่อชายหนุ่มหันกลมาอีกครั้งจึงได้พบว่ามีดวงตากลมตากำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่ ดวงตาสองคู่สบประสาน เขาจ้องมองนาง นางจ้องตอบเขา แล้วจู่ๆหญิงสาวตรงหน้าก็ผุดลุกอย่างรวดเร็วราวกับว่าร่างกายของนางไม่ได้เจ็บปวดแต่อย่างใด นางเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “ท่านไม่เป็นอะไรหรือ ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆใช่หรือไม่ สวรรค์ ท่านทำให้ข้าเกือบหัวใจวายตายรู้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบนางก็โผเข้ากอดเขาก่อนร้องไห้ออกมาเสียงดังราวับปลดปล่อยความเสียใจและความกังวลใจที่สะสมมาตลอดสามวันให้ออกมาให้หมด หลี่เฉินเย่นรู้สึกว่าลำคอของตนเองตีบตัน รู้สึกซาบซึ้งดีใจที่นางเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวโง่งมที่เมื่อสักครู่เพิ่งจะเสียใจที่นางนอนนิ่งๆบนเตียงไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อใดทว่ายามนี้นางกลับลุกขึ้นมากอดเขาเสียแน่น ยามที่นางโอบกอดเขานางรัดเขาเสียแน่นจนเขาเจ็บบากแผลไปหมด เจ็บจนต้องกัดฟันตนเอง “หากเจ้ายังไม่ปล่อยมือ เปิ่นหวางคงตายแน่!” หลี่เฉินเย่นเอ่ยออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจรีบคลายอ้อมแขนของตนออกทันที เมื่อมองดูดีๆนางก็พบว่าใบหน้าคมของเขาซีดเผือดไร้สีเลือด ร่างกายของเขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงไม่ขยับเขยื้อนก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเอาการ นางรีบเอ่ยถามเขาอย่างร้อนใจ “ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือ หนักหรือไม่ ทำไมถึงไม่นอนพักผ่อนดีๆเล่า” “เปิ่นหวางดีขึ้นมาแล้ว เจ้าคิดว่าผู้ใดจะอ่อนแอเช่นเจ้ากัน แค่หัวกระแทกเล็กน้อยก็สลบไปเสียหลายวัน หากเป็นเปิ่นหวางต่อให้ถูกคนทำร้ายเป็นร้อยบาดเจ็บถึงเก้าส่วนในสิบส่วน ภายในสามวันก็สามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้เป็นปกติแล้ว!” ชูเซี่ยหัวเราะออกมาเล็กร้อย ใบหน้านางฉายยิ้มกว้างราวกับดอกไม้แรกแย้มที่ต้องแสงอาทิตย์ส่องแสงเปร่งประกายงดงามอยู่ภายในใจของเขา เขาทอดสายตามองหญิงสาวที่ยิ้มเสียจนเห็นฟันครบทุกซี่แม้ว่าใบหน้านางยามนี้จะซีดเซียวเพียงใดแต่เขาก็ยังชอบที่จะมองรอยยิ้มนี้อยู่ดี แน่นอนว่านี่เป็นเพียงในความคิดของเขาเท่านั้น เขาไม่มีทางชอบยอมพูดออกมาเป็นแน่ เพียงแค่ยิ้มออกมาเอ่ยหยอกเย้าหญิงสาวตรงหน้าๆเล่นๆ “ทำไมหรือ ไม่พอใจใช่หรือไม่ ไม่พอใจก็รีบๆหายดีได้แล้ว!” ชูเซี่ยรับคำก่อนจะผุดรอยยิ้มซุกซน “ได้ เช่นนั้นเรามาแข็งกันดีหรือไม่ว่าใครหายดีก่อน!” หลี่เฉินเย่นไม่หือไม่อือใบหน้าคมคายยังเรียบเฉยไม่สนใจต่อการท้าทายของนางแม้แต่น้อย ชูเซี่ยสังเกตได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติอย่างยิ่ง แต่เห็นท่าทางของเขาที่สงบเสงี่ยมเช่นนี้นางก็จะไม่ถามอะไรมากนักก็แล้วกัน จู่ๆนางก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ นั่นก็คืออาการป่วยของอานเหยียนจึงรีบถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “ข้าหลับไปนานแค่ไหน” “ได้ยินผู้อื่นว่าเจ้าสลบไปถึงสามวันสามคืน!” หลี่เฉินเย่นตอบ ชูเซี่ยตกใจรีบลุกขึ้นจากเตียงใส่รองเท้า “อานเหยียนเล่าเป็นอย่างไรบ้าง อาการตัวเหลืองเป็นอย่างไรบ้าง” “เจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ห้ามไปไหนทั้งนั้น!” ชายหนุ่มรีบเอ่ยห้ามนาง ชูเซี่ยเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ข้างเตียงมาสวมใส่ “ไม่ได้ ข้าวางใจไม่ลง ท่านไม่รู้หรือว่าอานเหยียนอาการหนักมากเพียงใด” ทว่าทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง หลิวมี่เหอเดินเข้ามาก่อนจะตวัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้านาง “ท่านอ๋องเป็นห่วงท่าน ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อเขาทราบว่าท่านเกิดเรื่องก็รีบมาเยี่ยมท่านทันที แต่ท่านถามก็ไม่ถามถึงสารทุกข์สุขดิบท่านอ๋องแม้แต่คำเดียว เอาแต่ดื้อดึงจะไปดูอาการพระชายาเจิ้นหยวนเสียแรงนักที่ท่านอ๋องดีต่อท่านถึงเพียงนี้!” ที่แท้แล้วหลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จกลับนางก็แอบฟังพวกเขาอยู่ภายนอก นางเพียงต้องการจะทราบว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่ นางเพียงต้องการระบายความโกรธออกมาเพียงเท่านั้นทั้งๆที่นางเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะชูเซี่ยหวังดีต่อพระชายาเจิ้นหยวนจากใจจริงจึงได้เป็นห่วงในพระราชนัดดาถึงเพียงนี้ ชูเซี่ยเหลือบตามองหลิวมี่เหอก่อนจะเอ่ยถามอย่างงุนงง “ท่านอ๋องไม่ใช่หายดีแล้วหรือ” “ดีงั้นหรือ เขาไม่สามารถเดินได้อีกตลอดชีวิต ขาของเขาพิการไปแล้วท่านรู้หรือไม่ เพียงเพื่อช่วยคนเช่นท่าน แต่ท่านกลับทำร้ายเขาตลอดชีวิต!” หลิวมี่เหอร้องไห้ออกมาอย่างเสียจริต ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ ชูเซี่ยกลั้นหายใจหันกลับมามองหลี่เฉินเย่นที่นั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงนาง นางเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “เป็นเรื่องจริงหรือ”
已经是最新一章了
加载中