ตอนที่ 38 ลอง
ตนที่ 38 ลอง
เดิมทีการประหารมีอยู่หลายรูปแบบ นักโทษสามารถเลือกได้ทั้งการดื่มเหล้าพิษ ผ้าขาว กรรไกร กริช เพราะการตายเหล่านี้จะยังมีสภาพศพครบถ้วนสมบูรณ์
ทว่าการตัดสินโทษประหารเช่นนี้ หัวหลุดออกจากบ่า ร่างกายแยกออกเป็นสอง เดิมมันเป็นวิธีลงโทษสำหรับผู้ที่มีโทษหนักหนาจริงๆจึงเลือกใช้วิธีเช่นนี้
ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนทราบดีว่าท่านหมอหลวงซั่งกวนเป็นผู้บริสุทธิ์ ทว่าบริสุทธิ์แล้วอย่างไรเล่า ภายในวังหลวงก็มีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องสังเวยชีวิตของตนเองอยู่ทุกปีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
ยามนี้ชูเซี่ยไม่คิดจะไปเยี่ยมหลี่เฉินเย่นอีกแล้ว ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ประหารท่านหมอซั่งกวนทำให้นางนึกถึงการตายของนางในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดว่านางตายได้อย่างไร นางผ่าตัดช่วยชีวิตผู้ป่วยแต่ไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้ บิดาของผู้ป่วยโกรธมากถึงขั้นชักมีดออกมาแทงนาง การเป็นหมอต้องแบกรับอะไรไว้มากมาย หมอเป็นคนหาใช่เทวดาไม่ พวกเขาสามารถทำได้ร้อยอย่างแต่ไม่อาจทำได้หมื่นอย่าง ทว่าผู้ป่วยหลายคนก็ล้วนคาดหวังว่าตนจะสามารถฝืนลิขิตสวรรค์ได้ เราจำเป็นต้องยอมรับว่าเกิดแก่เจ็บตายไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะหลีกเลี่ยง ผู้ป่วยมักจะคิดว่าตราบใดที่ท่าน หมอยังอยู่ข้างกายชีวิตของพวกเขาก็ต้องอยู่รอด หากไม่สามารถทำได้ก็ล้วนเป็นความผิดของพวกหมอ
นางและท่านหมอซั่งกวนก็ไม่ต่างกัน เพียงเพราะไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้กลับโดนคนในครอบครัวของผู้ป่วยฆ่าตาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ชูเซี่ยต้องรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอให้พระองค์ทรงยกเลิกรับสั่งนั่นเสีย
นางตัดสินใจไปสำนักหมอหลวงเพื่อหาเทียบยาที่ท่านหมอซั่งกวนออกให้แก่องค์ชายอานเหยียนเสียก่อนทั้งยังสอบถามจากใต้เท้าเยี่ยนพ่านอีกด้วย เทียบยาไม่มีส่วนผสมอะไรที่ผิดปกติเมื่อได้ยินเช่นนั้นชูเซี่ยก็หันกายวิ่งจากไปทันที่ ใต้เท้าเยี่ยนพ่านมอบจดหมายคำร้องของตนและหลงเฟยให้แก่ชูเซี่ยเพื่อให้นางเป็นผู้มอบให้แก่ฝ่าบาท
ยามนี้เหลือเวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้นก็จะถึงฤกษ์ประหาร
ชูเซี่ยไม่รู้ว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่ใด ถามนางกำลังกี่คนก็ไม่มีผู้ใดทราบล้วนบอกเพียงแค่ไม่ทราบๆ นางวิ่งนำมามาและเสี่ยวจี๋อย่างไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมอง เห็นผู้ใดก็หยุดถามแต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแท้จริงแล้วฝ่าบาทประทับอยู่ที่ห้องทรงอักษรหรือท้องพระโรงกันแน่ เป็นไปได้ว่าพระองค์อาจจะไปประทับอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮา หรืออาจจะทรงไปเยี่ยมเยียนหลี่เฉินเย่นก็เป็นได้ไม่ว่าข้อแม้ใดก็ดูเป็นไปได้เสียหมด
ชูเซี่ยหยุดพักเพียงครู่เดียวก่อนจะย่ำเท้าอยู่กับที่ “ช่างเถิด ไม่ต้องหาแล้ว พวกเราไปประตูอู่เหมินกันเถิด!”
อู่เหมินคือประตูหลักของวังหลวง ยามนี้มีทหารองครักษ์มากมายยืนประจำที่รอฤกษ์
ชูเซี่ยกึ่งวิ่งกึ่งเหาะนำหน้ามามาและเสี่ยวจี๋จนทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ นางเองก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดขาของนางที่อักเสบถึงเพียงนี้กลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าประสาทรับความ รู้สึกเจ็บของนางใช้การไม่ได้เสียแล้ว
ประตูอู่เหมินใหญ่โตยิ่งนัก มีประตูเล็กขนาบข้างซ้ายขวา ทว่าจะกล่าวว่าเล็กก็ไม่ถูกต้องนักเพียงแค่เล็กกว่าประตูหลักเล็กน้อยเท่านั้น
ลานกว้างหน้าประตูอู่เหมินมีนายทหารยืนรักษาการณ์อยู่หลายนาย นางไม่มีนาฬิกาจึงไม่ทราบว่ายามนี้ถึงยามอู่แล้วหรือไม่
แต่นางสังเกตจากที่พื้นไม่มีคราบเลือดใดๆ ในใจก็รู้สึกโล่งอกอยู่บ้างแสดงว่ายังไม่ถึงฤกษ์สินะ
จากนั้นเพียงครู่เดียวด้านหลังของนางก็มีเสียงดังขึ้น ชูเซี่ยจึงหันกายกลับไปมองก็พบว่ามีราชองครักษ์สองนายกำลังลากโซ่ที่พันธนาการชายผู้หนึ่งไว้อยู่ออกมา เสื้อผ้าของชายวันกลางคนผู้นั้นขาดวิ่นมีโซ่ตรวนพันธนาการขาทั้งสองข้างของเขาไว้ฝ่าเท้ามีเลือดไหลซิบคงเกิดจากการที่ถูกลากออกมาตลอดทางอย่างแน่นอน
ชูเซี่ยร้อนใจรีบวิ่งไปหยุดอยู่ข้างหน้าของเขาทันที “ท่านหมอซั่งกวน”
หมอหลวงซั่งกวนเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาโศกสลดสิ้นหวัง เขาเคยพบเจอหญิงสาวผู้นี้มาก่อนครั้งหนึ่งในวันที่พระชายาเจิ้นหยวนคลอดบุตรยาก ท่านหมอตะลึงไปเล็กน้อย “พระชายาหรือ”
ผู้คุมทั้งสองไม่เคยรู้จักหญิงสาวนางนี้มาก่อน ทว่าเมื่อได้ยินท่านหมอซั่งกวนเอ่ยเรียกนางแม้จะไม่เคยพบก็ต้องทำความเคารพต่อหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้ “พระชายาโปรดยาขัดขืนรับสั่งของฝ่าบาทเลยพะย่ะค่ะ!”
ยามนี้พระอาทิตย์ขึ้นตรงยังศีรษะของนางบ่งบอกว่าถึงยามอู่ในที่สุด ชูเซี่ยที่วิ่งมาตลอดทางยามนี้ใบหน้างามเต็มไปด้วยหงาดเหงื่อที่ต้องแสงเป็นประกาย นางรีบเอ่ยห้าม “เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเจ้าห้ามตัดหัวเขาเด็ดขาด!”
ทหารผู้คุมเหล่านั้นต่างก็ขมวดคิ้ว “พระชายา นี่คือรับสั่งจากฝ่าบาท พวกเราต้องนำเขาแห่ประจานรอบตลาดเสียก่อน”
“รอบตลาดหรือ ไม่ใช่ตัดหัวที่นี่หรือ” ชูเซี่ยนิ่งครู่หนึ่ง ประหารที่อู่เหมิน ไม่ใช่ประหารตรงหน้าประตูอู่เหมือนหรือ
ผู้คุมยิ้มเล็กน้อย “ประตูอู่เหมินเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์ จะให้มาประหารนักโทษที่นี่ได้อย่างไรพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมต้องนำนักโทษแห่ประจานรอบตลาดเสียก่อนจากนั้นจึงค่อยลงโทษประหาร พระชายาได้โปรดหลีกออกไปเถิดพะย่ะค่ะ!”
ที่แท้ยังมีเวลาอีกสักหน่อยชูเซี่ยผ่อนลมหายใจ โชคดีเหลือเกินที่นางตัดสินใจมาดักรออยู่ที่นี่ แต่นางไม่มีเวลามาสอบถามว่าเหตุใดจึงไม่ประหารนักโทษที่ประตูอู่เหมิน ยามนี้นางต้องหยุดโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ให้จงได้ก่อน
นางก้าวไปขวางขบวนแห่นักโทษตรงหน้าไว้เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คงไปไหนไม่ได้สินะ
ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองผู้คุม “คนคนนี้บริสุทธิ์ ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพาเข้าไปหรอก”
ผู้คุมทำสีหน้าปั้นยาก “บริสุทธิ์หรือไม่ ผิดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกกระหม่อม นี่เป็นรับสั่งจากฝ่าบาท หากพระชาคิดว่าเขาไม่ผิดก็ไปทูลต่อฝ่าบาทเองเถิดพระย่ะค่ะ”
“ข้าต้องไปพบเสด็จพ่อแน่ ขอร้องพวกเจ้าล่ะ ให้เวลาข้าหน่อยเถิด ระงับการประหารไปก่อนเถิด”
นายทหารผู้นั้นส่ายหัวทันที “แต่นี่คือรับสั่งจากฝ่าบาทนะพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมมิอาจไม่ทำตามพะย่ะค่ะ”
“นี่คือชีวิตของคนทั้งคนเลยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงใจดำได้เพียงนี้กัน” ชูเซี่ยร้อนใจมากขึ้น
เหล่าผู้คุมคุกเข่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับนาง “พระชายา หากพวกกระหม่อมไม่ฟังรับสั่งผู้ที่ตายก็คือพวกกระหม่อมเองนะพะย่ะค่ะ”
หมอหลวงซั่งกวนเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ยอย่างซาบซึ้งใจ “พระชายาตามมาส่งกระหม่อมถึงนี่ ทรงเชื่อว่ากระหม่อมบริสุทธิ์เท่านั้นหม่อมฉันก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็เป็นสิ่งสำคัญ พระชายาได้โปรดอย่าทำให้พวกเขาต้องลำบากใจเลย กะรหม่อมมีเรื่องอยากขอร้องพระชายาเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น หากกระหม่อมตายไปขอให้พระชายาช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของกระหม่อมอย่าให้ครอบครัวของกระกม่อมต้องเดือดร้อนโดนประหารเก้าชั่วโคตรเลย เพียงเท่านี้ก็เป็นพระคุณสูงส่งต่อกระหม่อมแล้ว”
ชูเซี่ยส่ายศีรษะ นางไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้ “ไม่ได้ ข้าไม่อาจทนเห็นท่านต้องตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่อาจทำอะไรได้” ชูเซี่ยนึกไปถึงละครจีนโบราณที่ฉายทางโทรทัศน์ในยุคของนางจึงตัดสินใจเลียนแบบโดยการดึงปิ่นปักผมจนเส้นผมดำสลวยสยายลงมาก่อนจะยกมันขึ้นมาจ่อที่ลำคอของตนเอง “หากพวกเจ้ายังคิดจะพาตัวท่านหมอซั่งกวนไปแล้วล่ะก็ ข้าจะตายตรงนี้ให้ดู ดูเถิดว่ายามนั้นพวกเจ้าจะทำเช่นไร!”
หากเป็นเมื่อก่อนนางคงคิดว่านี่ช่างเป็นวิธีการที่โง่เขลานัก ผู้ใดที่จะลงมือทำร้ายตนเองได้กัน แต่ในยามนี้นางจึงรู้ว่าบางสถานการณ์เราก็หาได้มีทางเลือกอื่นมากนัก หากมีทางเลือกเพียงน้อยนิดก็คงต้องเลือกมันอยู่ดี
แม้ว่าดูโง่เขลาแต่ก็เป็นวิธีที่ได้ผลใช้การได้จริง
เหล่าผู้คุมตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
จู่ๆก็มีพลทหารวิ่งตรงมาทางนี้เนื่องจากได้ฤกษ์ที่จะต้องแห่ประจานท่านหมอซั่งกวนแล้วทว่ากลับยังไม่โผล่มา เมื่อเห็นว่าเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นก็รีบรุดออกไปรายงานต่อเบื้องบนทันที “พวกเจ้ารีบไปกราบทูลต่อฝ่าบาทให้ทรงเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองเร็วเข้า”
นายทหารผู้นั้นจึงรีบวิ่งออกไปทันที
พระอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้าตรงกลางศีรษะทำให้นางรู้สึกร้อนมาแต่ก็มิอาจลดปิ่นปักผมที่จออยู่ที่ลำคอลงได้ นางเกรงว่าหากนางเผลอพวกเขาก็จะสามารถเข้ามาหยุดนางได้สำเร็จ แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นวรยุทธของพวกเขาทว่าการที่พวกเขามาดำรงตำแหน่งเหล่านี้ได้วรยุทธก็คงไม่ได้แย่นักหรอก
นางยังคงยืนอยู่เช่นนั้นจนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงจะเห็นว่ามีราชองครักษ์วิ่งกลับมาตามด้วยกลุ่มคนอีกหนึ่งกลุ่มและคนสุดท้ายท่านอ๋องเจินหยวน
เมื่อท่านอ๋องเจิ้นหยวนพบชูเซี่ยก็รีบร้อนพูดขึ้นมา “หยิงหลง วางปิ่นปักผมลงเสีย”
เมื่อชูเซี่ยเห็นเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ท่านอ๋อง ท่านมาก็ดีแล้ว ข้าเห็นเทียบยาที่ท่านหมอซั่งกวนเขียนแล้ว ตัวยาไม่ได้รุนแรงเลยสักนิด”
ท่านอ๋องเจ้นหยวนปรายตามองท่านหมอซั่งกวนก่อนจะหันกลับมามองนาง “ทว่า หลังจากอานเหยียนได้รับยาของเขาแล้วอาการกลับกำเริบหนักขึ้น”
ชูเซี่ยพยายามเอ่ยคำอธิบาย “ต่อให้เขาไม่จัดเทียบยาเช่นนี้ขึ้นมาอาการของอานเหยียนก็ต้องกำเริบขึ้นมาอยู่แล้วเจ้าค่ะ อานเหยียนยังโชคดีเสียด้วยซ้ำที่ได้เทียบยาจากท่านหมอซั่งกวนมาช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ หากไม่ได้เทียบยานั่นอานเหยียนก็คงไม่อาจรอดมาได้จนถึงตอนนี้” ยาที่ท่านหมอซั่งกวนจัดล้วนเป็นยาที่บรรเทาอาการตัวเหลืองเท่านั้น เป็นเพียงการรักษาโรคในเบื้องต้นไม่ได้รักษาอาการโรคตัวเหลืองที่เกิดขึ้นภายในดังเช่นที่อานเหยียนเป็นอยู่ การเจ็บป่วยของอานเหยียนเกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างไม่ได้เกี่ญวข้องกับการจัดเทียบยาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อท่านอ๋องเจิ้นหยวนได้รับฟังก็เข้าใจได้ในทันที “ทว่ารับสั่งของท่านพ่อเมื่อตรัสออกมาแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ!”
ชูเซี่ยได้ยินที่เจินหยวนอ๋องกล่าวมาก็วิตกกังวลอย่างยิ่ง “ท่านอ๋องนี่คือชีวิตของคนทั้งชีวิต ท่านหมอซั่งกวนเขามีบ้านมีครอบครัว หากเกิดเรื่องกับเขา ครอบครัวเขาจะต้องโศกเศร้าเพียงใด หากเขาทำผิดจริงข้าก็คงไม่สนใจไม่มาร้องขอเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ แต่ข้าเห็นอยู่ชัดเจนว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ข้าไม่อาจเมินเฉยได้ หากกลับกันเป็นข้าที่ทำให้เขาต้องตายขึ้นมา ข้าคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน ท่านอ๋องเจ้าคะ ช่วยชีวิตคนเปรียบดังสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ขอให้ท่านอ๋องตรองดูให้ถี่ถ้วนเถิดเจ้าค่ะ”
แต่ไรมาเจิ้นหยวนอ๋องไม่เคยสนใจเรื่องความเป็นตายของผู้อื่นอยู่แล้ว ทว่าทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของชูเซี่ยกลับทิ่มแทงลงมากลางใจของเขาเหลือเกิน หากเป็นเมื่อก่อนมากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าเขา เขาก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย แต่ยามนี้เขาเกือบต้องสูญเสียคนรักของเขาไปทั้งบุตรชายก็ยังไม่อาจรู้ชะตากรรมในอนาคต ดังนั้นคำพูดของชูเซี่ยจึงถูกซึบซับเข้ามาในหัวใจของเขาทุกคำ
เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าท่าทีของท่านอ๋องมีวี่แววอ่อนลงนางจึงรีบเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ยามนี้อานเหยียนยังไม่พ้นขีดอันตราย เราไม่สมควรทำเรื่องบาปกรรมเช่นนี้”
เจิ้นหยวนอ๋องพยักหน้า “ได้ เปิ่นหวางจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกับเจ้า!”
ชูเซี่ยมีสีหน้าดีขึ้นในทันทีราวกับยกภูเขาออกจากอก หากเขายอมไปเข้าเฝ้าขอร้องฮ่องเต้ด้วยกันแล้วล่ะก็ความสำเร็จก็มีมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น นางรู้ดีว่าคำพูดของนางมีน้ำหนักเบาเพียงใด ฮ่องเต้ไม่มีทางเชื่อคำพูดของนางเป็นแน่ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ทว่าเมื่อมีเจิ้นหยวนอ๋องไปกับนางด้วยแล้วเรื่องราวจะกลับกันทันที
เจิ้นหยวนอ๋องสั่งระงับการประหารไว้ชั่วคราว เขาและชูเซี่ยเดินทางไปห้องทรงอักษรของฝ่าบาททันที
ระหว่างเดินทางไปยังห้องทรงพระอักษรของฝ่าบาทแล้วท่านอ๋องก็หันกายกลับมาเอ่ยกับชูเซี่ยอย่างระมัดระวัง “ยามนี้มีทั้งน้ำท่วมในเขตหูหนานและปัญหาภัยแล้งทางใต้ทำให้เสด็จพ่อปวดเศียรเวียนเกล้า หลายวันมานี้ทรงออกว่าราชการหารือถึงวิธีการแก้ไขปัญหากับเหล่าขุนนางอยู่เสมอ หลายวันมานี้เสด็จพ่อทรงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก เจ้าห้ามพูดจาส่งเดช รอจนเปิ่นหวางถามเจ้าจึงค่อยตอบ”
ชูเซี่ยรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่เขาเอ่ยเตือนนางจากใจจริง “เจ้าค่ะ แล้วแต่ท่านอ๋องจะบัญชาเลยเจ้าค่ะ!”
เจิ้นหยวนอ๋องขบกรามแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “เปิ่นหวางเคยเข้าใจในตัวเจ้าผิดมาโดยตลอด เข้าใจว่าเจ้า...” เจิ้นหยวนอ๋องไม่ได้พูดต่อแต่ภายในใจของเขารู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งต่อการกระทำของนางที่ผ่านมาอย่างยิ่ง
ดวงตากลมของชูเซี่ยฉายแววอ่อนโยน แม้จะไม่ได้เข้าใจในความหมายที่เขาเอ่ยออกมาเนื้องด้วยเขาไม่ได้พูดมันออกมาจนหมด แต่นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ระแคะระคายต่อการแสดงของนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงหน้าห้องทรงพระอักษรเจิ้นหยวนอ๋องก็ส่งคนให้ไปกราบทูลเสด็จพ่อว่าเขามาขอเข้าเฝ้า สักพักหัวหน้าขันทีจงเจิ้งก็ก้าวออกมาจากห้องทรงอักษรกระซิบเสียงเบา “วันนี้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ยามนี้มีข่าวการเกิดโรคระบาดเกิดขึ้น ทั้งฝ่าบาทยังทราบเรื่องที่ท่านสั่งระงับการประหารท่านหมอซั่งกวนแล้ว ยามนี้ทรงกริ้วอย่างมาก ขอให้ท่านอ๋องทรงระมัดระวังยามเอ่ยทูลอะไรออกไปด้วยนะพะย่ะค่ะ”
“ขอบใจกงกงที่คอยเตือน” เจิ้นหยวนอ๋องเอ่ย
จงเจิ้งถอนหายใจออกมา “ยามนี้เกิดโรคระบาดขึ้นพระทัยของฝ่าบาทย่อมสับสันวุ่นวาย หากท่านอ๋องจะเอ่ยทูลเรื่องราวใดที่ขัดต่อพระประสงค์ฝ่าบาทก็ขอให้ชะลอไปก่อนเถิดเพื่อปกป้องตัวของท่านเองนะพะย่ะค่ะ”
ชูเซี่ยรู้สึกไม่ดียิ่งนักยามเห็นสีหน้าลำบากใจถึงเพียงนี้ของจงเจิ้ง นางรับรู้ได้เลยว่าเรื่องราวในครั้งนี้คงไม่ราบรื่นอย่างที่นางคิดไว้เสียแล้ว