ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต
ต๭นที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต หลี่เฉินเย่นชำเลืองมองมาที่นาง “จริงหรือ งั้นเจ้าเข้ามาดมใกล้ๆอีกครั้งเถิด!” เอ่ยพลางก็ดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดของตน ใบหน้านางแดงระเรื่อไปทั้งหน้า มือบางทั้งสองข้างยกขึ้นมาดันหน้าอกของชายหนุ่มไว้ เอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านเบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ หากผู้อื่นได้ยินจะเข้าหน้าเขาไม่ติด!” หลี่เฉินเย่นชะงักกึก “เสด็จพี่และใต้เท้าหยางต่างก็อยู่ที่โถงรับรองแขก พวกข้ารับใช้ที่ไหนจะกล้ามาแอบฟังพวกเรากัน” ยามนี้พลังปราณของเขาฟื้นคืนมาเกือบสมบูรณ์แล้ว เมื่อครู่บทสนทนาระหว่างชูเซี่ยและเจิ้นยวนอ๋องที่หน้าเรือนของตนเขาล้วนได้ยินทั้งสิ้น ชูเซี่ยใช้มือข้างหนึ่งของตนดันหน้าอกของเขาไว้ส่วนอีกข้างยังคงคอยเช็ดใบหน้าให้เขาอย่างเบามือ “เอาเถิด พวกเราก็รีบออกไปกันดีหรือไม่ อย่าปล่อยให้ผู้อื่นรอนานนัก” “เปิ่นหวางยามนี้เป็นเพียงผู้พิการผู้หนึ่ง หากพวกเขารอได้ก็ให้พวกเขารอ หากรอไม่ได้ก็จัดการปัญหากันเอาเองเถิด” หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงราบเรียบ ดวงตาของชูเซี่ยแดงก่ำ นางเงยหน้ามองเขา “ข้าไม่ชอบที่ท่านพูดถึงตนเองราวกับว่าตนเองไร้ค่าเช่นนี้” เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางชายหนุ่มก็ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง เขาแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญขึ้นมา “พอแล้ว เลิกพูดจาเยิ่นเย้อน่ารำคาญยิ่งนัก!” “ให้ข้าเงียบปากย่อมได้” ชูเซี่ยเอ่ยกระเง้ากระงอด “ใครให้ท่านเอ่ยคำที่ข้าไม่อยากฟังกันเล่า หากท่านไม่พูดข้าก็คงไม่พูดจาเยิ่นเย้อให้ท่านรำคาญใจหรอก” หลี่เฉินเย่นไม่ได้เงยหน้ามองนาง เขารับรู้ว่านางโกรธเขาทว่าในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกหวานล้ำ ที่นางเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ในใจของเขาทราบดีว่าเพราะนางเป็นห่วงเขา ชายหนุ่มไม่เข้าใจนักทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาปฏบัติต่อนางอย่างใจร้ายใจดำมาโดยตลอดทว่าบัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับจางหายไปไม่เหลือ เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทว่าภายในใจของชายหนุ่มไม่อาจยินดีได้อย่างเต็มที่นัก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่วันลังเลที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมาครอบครอง ทว่าในยามนี้เขากลายเป็นผู้พิการไปแล้วจะมีคุณสมบัติอันใดไปรั้งนางไว้ข้างกายได้อีกเล่า จริงอยู่ที่ยามนี้นางดำรงตำแหน่งเป็นพระชายาของเขา ทว่าเขารู้สึกได้ว่ายามที่พวกเขาทั้งสองไปหุบเขาเทียนหลางด้วยกันหัวใจของนางไร้ความรู้สึกต่อเขาเสียแล้วไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันธ์ต่อเขาอีกต่อไปแล้ว ยามนี้ที่นางทำดีต่อเขาก็เป็นเพราะเขาช่วยชีวิตนางจนตนเองได้รับบาดเจ็บ ในใจจึงบังเกิดความรู้สึกผิดดังนั้นจึงบังคับให้ตนเองแสดงออกมาราวกับยังรักเขาอยู่เช่นนี้ ยามที่ข้ารับใช้ในวังหลวงช่วยกันแบกชายหนุ่มไปยังโถงรับรองแขก ในตาคมกล้าของชายหนุ่มจับจ้องมาที่ชูเซี่ยด้วยสายตาที่อบอุ่นและมีความสุขตลอดเวลาทว่าใจใจกลับรู้สึกหนักอึ้งและปวดใจ แม้หลี่เฉินเย่นจะดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมโยธาทว่าเขาก็เพิ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ในเวลาไม่นานนักดังนั้นจึงมีบางอย่างติดขัดอยู่บ้าง จึงกลับกลายเป็นว่าชูเซี่ยนางปรึกษาหารือกับใต้เท้าหยางเป็นส่วนมากโดยมีหลี่เฉินเย่นคอยเสนอความคิดเห็นบ้างในบางโอกาสแต่ก็มีประโยชน์มากทีเดียว ชูเซี่ยไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องทางน้ำนัก ทว่าเมื่อยามที่นางอยู่ในยุคเดิมนางชอบคลุกคลีอยู่กับหนังสือมากที่สุด เนื้อหาในหนังสือหลายเล่มที่นางอ่านมักจะมีความรู้และแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ความเข้าใจต่อการจัดการน้ำและการก่อตั้งฝายชะลอน้ำจนถึงการสร้างเขื่อนนางก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การผสมผสานความรู้และความเข้าใจที่นางเคยเห็นในตำราหนังสือพวกนั้นยิ่งทำให้นางสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ชูเซี่ยเสนอความคิดเห็นและวิธีที่น่าสนใจอยู่หลายจุด ซึ่งหลี่เฉินเย่นก็สนใจและยินดีจะทำตามคำแนะนำของนางอย่างไม่เกี่ยงงอน คำแนะนำเหล่านั้นจุดประกายให้แก่ใต้เท้าหยางอย่างยิ่ง เขาเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “เรียนท่านอ๋อง คืนนี้หม่อมฉันจะเร่งเขียนฎีกาเสนอต่อฝ่าบาทในเช้าวันรุ่ง ให้ฝ่าบาททรงพิจารณาต่อไปพะย่ะค่ะ” หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ได้ เจ้ากลับไปเขียนให้เสร็จเช้าวันรุ่งขึ้นส่งมันมาให้เปิ่นหวางดูเสียก่อน หากมีจุดใดไม่ถูกต้องเปิ่นหวางจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง” ใต้เท้าหยางเดินออกไปด้วยใจที่เปี่ยมสุข อ๋องเจิ้นหยวนที่นิ่งเงียบไม่แสดงความคิดเห็นอยู่นานเมื่อสังเกตเห็นว่าน้องชายของตนบัดนี้อารมณ์ดีขึ้นมากกว่าวันวานมากนักก็รู้สึกราวกับยกหินออกจากอกได้เสียที ยามที่ชูเซี่ยเดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนรับรองชายหนุ่มก็แอบกระซิบถามนางเสียงเบา “ท่านหมอซั่งกวนผู้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเจ้าหรือ” ชูเซี่ยตื่นตะลึง “มีความสัมพันธ์เช่นไรต่อข้าหรือเจ้าคะ ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน” อ๋องเจิ้นหยวนประหลาดใจนัก “หากไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเหตุใดเจ้าจึงลงทุนลงแรงช่วยเหลือเขาถึงเพียงนี้กัน” “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคนทั้งคนจะรู้จักกันหรือไม่สำคัญหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยยิ้มๆ “เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านทราบข้าทราบ ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบ ทุกคนต่างก็ล้วนทราบดี ขอแค่มีใครสักคนกล้าเอ่ยขึ้นมาก่อนเท่านั้น มิฉะนั้นหากเขาถูกเพชรฆาตลงดาบไปแล้วล่ะก็นั่นเท่ากับว่าเราสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปหนึ่งชีวิตเลยนะเจ้าคะ” ชีวิตคนในสายตาของชูเซี่ยเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ยามที่นางทำงานอยู่โรงพยาบาลมีหลายครั้งหลายคราที่เหล่าแพทย์และพยาบาลต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจในการยื้อชีวิตของผู้ป่วยเพียงผู้เดียว ไม่ใช่เพียงแต่ยุดศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดของนางทว่าทั้งใต้หล้านี้ยังไม่สิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของคนอีกเล่า อ๋องเจิ้นหยวนรู้สึกชื่นชมและนับถือหญิงสาวตรงหน้าจากใจจริง “รู้สึกหวาดระแวงสงสัยในตัวของลั่วยี เปิ่นหวางรู้สึกละอายใจยิ่งนัก” ชูเซี่ยแย้มยิ้มออกมา “ท่านอ๋องเจ้าคะ พวกเราเป็นคนก็ต้องดำรงชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นคน ชีวิตทั้งชีวิตสัตว์เดรัจฉานยังเห็นคุณค่าของมันเลยแล้วคนเช่นเราเราเล่าจะไม่เห็นค่าของชีวิตได้หรือ” เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อยจากนั้นก็เดินกลับไป หลี่เฉินเย่นยังคงอยู่ศึกษาแผนที่ภูมิศาสตร์อยู่ภายในห้องหลังจากได้รับฟังของเสนอแนะจากชูเซี่ย การถ่ายเทน้ำมากมายจากฝั่งทางตอนใต้เข้าสู่ทางตอนเหนือไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แม้จะเป็นโครงการที่ต้องใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์มากเพียงใดแต่หากลงมือทำได้สำเร็จแล้วล่ะก็จะสามารถแก้ไขปัญหาในอนาคตได้อย่างแน่นอน ชูเซี่ยเองก็ไม่ได้รบกวนเขาแต่อย่างใดนางเพียงยกตำราการฝังเข็มทองของนางออกมาอ่านบ้างเพียงเท่านั้น มีผู้มาแจ้งข่าวจางอารามชูหยางว่าในระยะนี้อาการขององค์ชายน้อยดีขึ้นมากแล้ว หลังจากที่ทำตามคำแนะนำของนางว่าให้ ตากแดดทุกวัน ทั้งยังดื่มเทียบยาที่จัดให้ทำให้ยามนี้อาการตัวเหลืองลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านไปอีกสองวันกลับมีผู้มาแจ้งข่าวอีกครั้งว่าอาการขององค์ชายน้อยกลับมาอาเจียนนมและร้องไห้เสียงดังอีกครั้ง แต่ยามนี้กลับมีอาการไข้ขึ้นเพิ่มมา ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลดทำให้เกิดอาการชักตามมาอีกด้วย ชูเซี่ยไปดูอาการด้วยตนเองก็ไม่กล้าใช้วิธีฝังเข็ม ไม่กล้าจะผ่าตัดให้องค์ชายน้อย นางรู้สึกอับจนปัญญาขึ้นมาแล้วจริงๆ พระชายาเจิ้นหยวนก็ทราบถึงอาการของอานเหยียนแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจอย่างแสนสาหัสเอาแต่ร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของอานเหยียนไม่ยอมขยับกายไปที่ใดทั้งสิ้น พระชายาเจิ้นหยวนขอร้องชูเซี่ยนางนำความหวังทั้งหมดโยนไปให้ชูเซี่ยแบกไว้ ยามนี้ชูเซี่ยไม่ได้วู่วามดั่งเช่นครั้งก่อน ครั้งก่อนนั้นนางทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ยาสลบก็ไม่มี อุปกรณ์ผ่าตัดที่ผ่านการฆ่าเชื้อนางก็ไม่มี สิ่งที่สมควรมีล้วนไม่มีนางยังดื้อรั้นผ่าตัดทำคลอดให้แก่พระชายาเจิ้นหยวน หากว่าครั้งนั้นแผลเกิดการติดเชื้อขึ้นมาพระชายาคงไม่รอดมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้เป็นแน่ ครั้งนั้นนางรู้อยู่แก่ใจว่ายากแต่ด้วยความที่นางทระนงตนรวมถึงการผ่าตัดคลอดเป็นเรื่องพื้นฐานการผ่าตัดที่หมอทุกคนต้องเคยเรียนรู้มาก่อนอยู่แล้วแม้ว่าจะมีอุปสรรคด้านความล้าหลังทางการแพทย์กั้นไว้อยู่แต่นางก็สามารถทำมันได้อย่างไม่มีปัญหาใดตามมา แต่ทว่าสถานการณ์ของอานเหยียนนั้นไม่เหมือนกัน ข้อแรกนางมั่นใจนักว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อานเหยียนเป็นโรคตัวเหลือง ข้อสองฝีมือการฝังเข็มของนางไม่ได้ดีเลิศอะไร หรือกล่าวให้ถูกคือนางไม่ได้มีพื้นฐานการฝังเข็มมาก่อนเลยด้วยซ้ำ นางไม่ได้มั่นใจอะไรเลย ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำมั่นสัญญาแก่ตัวพระชายาเจิ้นหยวนเสียด้วยซ้ำ จูเก๋อหมิงก็มาดูอาการขององค์ชายน้อยครั้งหนึ่ง จูเก๋อหมิงเป็นถึงหมอเทวดา เขาเอ่ยเพียงแค่คำเดียวก็ทำลายความหวังทั้งหมดของพระชายาและอ๋องเจิ้นหยวนไปจนหมดสิ้น “เป็นโรคตัวเหลืองแต่กำเนิดไม่อาจรักษาได้” หยงเฟยโศกเศร้ามากเกินไปจึงขาดความยั้งคิดนางโทษความผิดทั้งบนไปที่ตัวชูเซี่ยกล่าวว่าหลายวันมานี้ชูเซี่ยเอาแต่ดูแลเอาใจใส่หลี่เฉินเย่นไม่ยอมมาดูแลอาการของอานเหยียนแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าวว่าเมื่อวันก่อนนางยังกล่าวต่อหน้าองค์ไทเฮาว่ามีวิธีรักษาทำให้ทุกคนเกิดความหวังลมๆแล้งๆ นางกล่าวคำผรุสวาทชูเซี่ยต่อหน้าพระพักต์ฮองเฮา ร้อนถึงพระองค์ต้องเร่งตามหมอหลวงมาอีกครั้ง ท้ายที่สุดเรื่องก็ถึงหูฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงกล่าวตำหนิหยงเฟยลงมานางจึงยอมหยุดในที่สุด หลี่เฉินเย่นได้ยินเรื่องราวที่หยงเฟยด่าชูเซี่ยเสียๆหายๆจากเสี่ยวจี๋ก็รู้สึกโมโหอย่างยิ่ง ชายหนุ่มต้องการจะไปกล่าวตำหนิหยงเฟยแต่ถูกฮองเฮาหยุดไว้ พระองค์ทรงย้ำเตือนให้หลี่เฉินเย่นนึกถึงว่าการกระทำเช่นนี้อาจจะทำให้ผิดในกับอ๋องเจิ้นหยวนและทำลายความสัมพันธ์พี่น้องของเขาได้ อีกทั้งหยงเฟยเป็นพระสนมในองค์ฮ่องเต้ หากเขาอยู่ต่อหน้าหยงเฟยยังสมควรเรียกนางว่าแม่เสียด้วยซ้ำหากว่าวันนี้เพื่อชูเซี่ยแล้วเขากลับตั้งตนเป็นศัตรูต่อหยงเฟยแล้วล่ะก็แม้ว่าฮ่องเต้ไม่กล่าวตำหนิอะไรแต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้สึกลำบากใจ หลี่เฉินเย่นรับฟังในสิ่งที่ฮงเฮาเอ่ยมาก็รู้สึกอึดอัดใจและเห็นใจในตัวชูเซี่ยยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อยามที่ชูเซี่ยมาเยี่ยมเยียนเขา เขาก็มักจะพานางไปชมนกชมไม้ พูดคุยเรื่องราวที่พวกเขาเคยเผชิญยามอยู่บนเขาเทียนหลางให้นางได้รับรู้ว่าขนาดอันตรายมากมายบนเขาเทียนหลางนางยังรอดมาได้ประสาอะไรกับการแค่ถูกคนด่าเพียงไม่กี่คำ ชูเซี่ยรับรู้ในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อถึงนาง แท้จริงแล้วนางไม่ได้รู้สึกไม่ดีต่อถ้อยคำผรุสวาทของหยงเฟยแม้แต่น้อย นางถูกด่าจนชินเสียแล้ว การเป็นหมอมักจะถูกญาติของผู้ป่วยด่าจนเกือบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วเมื่อยามที่ผู้ป่วยเสียชีวิต นางจึงไม่ได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาคิดมากมากแต่น้อย ที่นางคิดมากคือการที่นางต้องทนดูอานเหยียนจากไปโดยไม่สามารถทำสิ่งใดได้ต่างหาก ข้อเสียของการแพทย์แบบตะวันตกคือกว่าจะวินิจฉัยโรคต่างๆได้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเข้าช่วย หากเพิ่งพาความสามารถจริงๆโดยไม่มีเครื่องมือมาช่วยย่อมไม่สามารถทำได้โดยง่าย ยามที่นางทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลนอกจากรักษาอาการบาดเจ็บและไข้หวัดเล็กๆน้อยๆแล้วก็ล้วนต้องดูภาพถ่ายเอกซเรย์และผลตรวจเลือดจึงจะบอกโรคได้ บางครานางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่หมอแต่เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านข้อมูลเท่านั้น เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงค่ำในวันนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบพระอาทิตย์ยามอัสดงถูกปกคลุมไปด้วยสีเทาหม่น เมื่อเข้าสู่หยามโหย่วฝนก็เริ่มตกลงมาประปรายหลังจากผ่านช่วงมื้อค่ำไปฝนก็ยิ่งตกลงมาห่าใหญ่และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามปกติสารทฤดูมักจะมีฟ้าร้องน้อยมากจนแทบไม่มีทว่าในค่ำคืนนี้กลับมีทั้งเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าฝนตกหนักราวกับอยู่ในช่วงฤดูร้อนเลยทีเดียว ในอารามชูหยาง ความเศร้าโศกเสียใจกำลังปกคลุมไปทั่วพื้นที่ องค์ชายอานเหยียนสลบไสลไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อวาน ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลดเหล่าหมอหลวงต่างพากันอับจนหนทางไม่มีปัญญาช่วยเหลือได้แต่มองดูว่าชะตาชีวิตองค์ชายอานเหยียนว่าจะอยู่จะตายก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของตัวองค์ชายเองเท่านั้น อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาเศร้าระทมอย่างยิ่งในอ้อมกอดของพวกเขาตระกองกอดอานเหยียนไว้แน่น หลังจากที่ได้ยินว่าอานเหยียนสลบไสลไม่ได้สติไปนางก็ไม่สนใจสุขภาพร่างกายของนางแม้แต่น้อย นางวิ่งออกไปในอุทธยานท่ามกลางสายฝนและต้นไม้ใบหญ้าที่กรรโชกแรงร่ำไห้อธิษฐานในสายฝนขอให้สวรรค์โปรดเมตตาต่อนาง เมื่อไม่อาจห้ามนางได้อ๋องเจิ้นหยวนก็ทำได้เพียงรวบนางไว้ในอ้อมกอดใช้ร่างกายของตนกำบังลมและฝนให้นางเท่านั้น สองสามีภรรยาโอบกอดกันอย่างสิ้นไร้หนทางเป็นภาพที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้พบเห็นพาให้พวกเขาร่ำไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้ หลังจากหยงเฟยสงบสติอารมณ์ลงได้ก็สั่งให้นางกำนัลและข้าหลวงทั้งหลายถอยกายออกไปเหลือเพียงนางคอยอยู่ดูแลข้างกายองค์ชายน้อยเพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้ไทเฮาและฮองเฮามาเยี่ยมเยียนอาการของอานเหยียนแล้วครั้งหนึ่งเมื่อทั้งสองทราบว่าอานเหยียนหมดหนทางรักษาแล้ว ไทเฮาก็ทรงทุกข์ระทมอย่างหนักจนหัวใจกำเริบถูกส่งส่งตัวกลับตำหนักโซ่วอานทันที ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงอยู่ปลอบใจพระมารดากลัวว่าพระองค์จะเป็นอะไรไปด้วยอีกคนหนึ่ง หลงเฟยและหมอหลวงหลานเดินกลับออกมาจากอารามชูหยางสีหน้าของทั้งคู่เคร่งขรึม ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากองค์ชายอานเหยียนตายไปจริงๆก็ถึงเวลาตายของพวกเขา หากไม่ต้องโทษจำคุกก็คงต้องโทษประหาร นี่เป็นเรื่องจริงแท้ของเหล่าราชนิกุล ในวังหลวงราชนิกุลทุกคนล้วนมีชีวิตที่สูงค่ากว่าคนทั่วไป ไม่ว่าผู้ใดสิ้นวาสนาก็สามารถสังหารผู้ใดก็ได้ตามไปด้วย หากครั้งนี้พระราชนัดดาเกิดมีอันเป็นไปไปจริงๆฮ่องเต้ทรงกริ้วขึ้นมาจะทรงรับสั่งประหารพวกเขาก็ไม่แน่ หลังจากที่ทั้งสองเห็นอาการของพระราชนัดดาในคืนนี้แล้วก็กล่าวคำลาต่อครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ราวกับยอมจำนนต่อชีวิตของตนต่อจากนี้แล้ว “น้องหลง...” หมอหลวงหลานรูสึกจิตใจไม่สงบ ดวงตาของเขามีประกายอยากมีชีวิตฉายชัดในดวงตา เขากระหายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หมอหลวงหลานเอ่ยเรียกหลงเฟยครั้งหนึ่งก่อนจะไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อไปอีก หลงเฟยรับรู้ถึงความกลัวที่ฉายชัดอยู่แววตาของหมอหลวงหลาน แล้วเขาไม่กลัวหรือไร ในใจของเขารู้สึกสับสนวุ่นวายก่อนถอนหายใจออกมา “ข้าไม่น่าหลงไว้ใจพระชายาหนิงอานเลย!” เขานำความหวังทั้งหมดมอบให้แก่ชูเซี่ย คิดเสมอมาว่าชูเซี่ยจะต้องมีปัญญาหาทางรักษาองค์ชายน้อยได้แน่ ความจริงแล้วหากชูเซี่ยไม่ได้ให้ความหวังแก่ฮ่องเต้และหยงเฟยว่าพระราชนัดดาสามารถรักษาให้หายได้หยงเฟยก็คงไม่เกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้หรอก ในวันที่พระชายาเจิ้นหยวนให้กำเนิดโอรสออกมานั้นหมอหลวงหลานเองก็อยู่ที่นั่น เขาประจักษ์ถึงฝีมือทางการแพทย์ของชูเซี่ย ยามนี้ได้ยินหลงเฟยเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกไม่ใคร่จะเห็นด้วยนัก ทำเพียงแค่ช่วยชูเซี่ยแก้ต่างสองสามคำเท่านั้น “การเป็นหมอนั้น ล้วนตั้งใจทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่และดีที่สุดเสมอ แต่ก็จงอย่าลืมว่าการเกิดเป็นคนนั้นเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติไม่ว่าผู้ใดก็ยากที่จะหลบพ้น!” 
已经是最新一章了
加载中