​ตอนที่ 43 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย   1/    
已经是第一章了
​ตอนที่ 43 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย
ต๭นที่ 43 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย เนื่องจากภายในวังหลวงมีขนบธรรมเนียมและกฎเข้มงวดมากมายทำให้ไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับการรักษาบาดแผล หลี่เฉินเย่นจึงทูลขอฮองเฮาออกจากวังหลวงกลับจวนอ๋องของตน เมื่อฮองเฮาทรงทอดพระเนตรเห็นว่าพระองค์ไม่สามารถห้ามอะไรได้จึงอนุญาตแต่โดยดี เดิมทีฮองเฮาทรงตั้งใจให้หมอหลวงตามทั้งสองกลับจวนไปด้วย ทว่าในจวนอ๋องก็มีหมอมากฝีมือประจำอยู่แล้วทั้งจูเก๋อหมิงก็กลับมาด้วยแล้ว มีเขาอาศัยอยู่ในจวนอ๋องทั้งคนฮองเฮาก็ทรงเบาพระทัยไปได้มากโข หลิวมี่เหอถูกหลี่เฉินเย่นส่งกลับจวนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว แม้นางจะปวดใจมากเพียงใดแต่นางก็ทราบดีว่าระยะนี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นไม่สู้ดีนัก นอกจากความเสียใจแล้วนางยังมีความรู้สึกกังวลใจมากขึ้นอีกด้วย วันนี้มีข่าวจากทางวังหลวงว่าท่านอ๋องและพระชายาจะเสด็จกลับจวนอ๋องนางจึงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตั้งแต่เช้าทั้งยังสั่งให้ข้ารับใช้ในจวนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูจวนอีกด้วย เมื่อเห็นรถม้าของจวนอ๋องวิ่งเหยาะๆมาตามเส้นทางนางก็สั่งการคนอย่างคล่องแคล่วให้คนนำเก้าอี้ที่ทำจากต้นไม้หลี่มาวางเตรียมไว้ เก้าอี้ตัวนี้มีเบาะรองนั่งสีเหลืองทอง พนักพิงสีเดียวกันกับเบาะ มองไกลๆก็สามารถเห็นได้ถึงความหรูหราไม่ธรรมดา ทว่าเก้าอี้ตัวนี้ในสายตาของหลี่เฉินเย่นช่างน่ารำคาญตายิ่งนัก ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง เก้าอี้ตัวนี้ถูกตกแต่งอย่างปรานีตงดงามบ่งบอกถึงความรอบคอบเอาใจใส่อย่างดีของนางราวกับว่านางจะให้เขานั่งเก้าอี้ตลอดไปเช่นนี้ อารมณ์กรุ่นโกรธกระจายไปทั่วใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว หลิวมี่เหอไม่ได้รู้สึกอะไรนึกไปเพียงว่าเขาคงไม่พอใจในตัวชูเซี่ยเท่านั้น นางจึงค่อยๆขยับกายเข้าไปช่วยพยุงร่างของเขานั่งลงเก้าอี้พร้อมเอ่ยเสียงเบา “กลับมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ!” ชูเซี่ยสังเกตเห็นความไม่พอใจที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าคมคายนั่น ในโรงพยาบาลนางพบเจอผู้ป่วยที่ขาพิการเช่นนี้อยู่มาก หัวใจของพวกเขาค่อนข้างจะบอบบางเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆก็สามารถกระทบกระเทือนจิตใจพวกเขาได้ นางรับรู้ได้ว่าเขาคงรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ชูเซี่ยอยากลงพื้นด้วยตนเองแต่หลี่เฉินเย่นกลับขมวดคิ้วให้นางก่อนเอ่ยเสียงดุ “ถ้าขาของเจ้าก้าวลงพื้นเมื่อใดเปิ่นหวางจะตีขาของเจ้าหักไป!” คำพูดเช่นนี้หากอยู่ด้วยกันสองคนนางคงไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อยแต่ทว่าในยามนี้เขาดุนางต่อหน้าผู้คนมากมายนางก็รู้สึกอับอายจนอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงเขากลับไป “สารทฤดูลมพัดแรงยิ่งนัก ท่านอ๋องพูดมากเช่นนี้ระวังกัดลิ้นตัวเองนะเจ้าคะ!” เมื่อเอ่ยจบนางก็ตระหนักได้ว่าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้นางกลับทำให้เขาเสียหน้าเสียได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขากลายเป็นผู้พิการเช่นนี้ การที่นางโต้เถียงเขากลับทำให้ผู้คนพากันเข้าใจผิดคิดว่านางรังเกียจที่ท่านอ๋องเป็นเพียงผู้พิการไปแล้ว เมื่อเขาถูกนางโต้กลับคงรู้สึกลำบากใจมากกระมัง แต่คำพูดของคนเมื่อกล่าวออกไปแล้วก็ยากจะกลืนน้ำลายตัวเองกลับมาได้นางจึงทำได้เพียงยอมขึ้นหลังข้ารับใช้หญิงรูปร่างแข็งแรงนางหนึ่งโดยก้มศีรษะปิดบังความอับอายและละอายใจของตน ความจริงแล้วเสียงที่นางพูดออกไปเบามากมีเพียงหลี่เฉินเย่นและหลิวมี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆนางเท่านั้นที่ได้ยินผู้อื่นไม่มีทางได้ยินไปได้ ความกังวลใจของนางมีความรู้สึกผิดปะปนอยู่ด้วย ยามที่นางอยู่ในห้องบรรทมของตนเองก็ไม่อาจทำใจให้สงบลงได้ นางอยากจะไปขอโทษเขาเหลือเกิน แต่เมื่อนางคิดจะไปเอ่ยขอโทษเขาด้วยตัวนางเองรางวัลพระราชทานจากวังหลวงก็ส่งมาถึงจวนอ๋องเสียก่อน หนึ่งในนั้นมีรางวัลชิ้นใหญ่จากหยงเฟยอยู่ด้วย ในของเหล่านั้นมีกำไลหยกเนื้อดี สร้อยไข่มุกเม็ดงามจากทะเลตะวันออก หยกขาวเนื้อดีที่สลักคำว่าหรูอี้ลงไป ยังมีเครื่องประดับศีรษะรวมถึงปิ่นปักผมอีกสิบกว่าชิ้นทั้งยังมีตัวยาชั้นเลิศที่ถวายให้ชูเซี่ยบำรุงร่างกาย ไทเฮาทรงพระราชทานโสมพันปีให้เช่นกันทรงตรัสว่าต้องการให้นำมาให้ท่านอ๋องและพระชายาบำรุงร่างกาย ฮองเฮาก็ทรงพระราชทานยาสมันไพรล้ำค่ามาให้นางรวมถึงนกแก้วตัวหนึ่ง ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ของพระราชทานจากวังมีมากมายและล้ำค่าถึงเพียงนี้คาดว่าชูเซี่ยคงได้หน้าได้ตาจากเรื่องคราวนี้มากโขเลยทีเดียว แม้ว่าหลิวมี่เหอจะไม่สบอารมณืมากเพียงใดแต่นางก็เก็บมันไว้ในใจเท่านั้นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเอ่ยคำขอบคุณและส่งแขกกลับไปเพียงเท่านั้น เมื่อเหล่าข้ารับใช้ในวังหลวงกลับวังไปนางก็ทรุดกายลงช้าๆอย่างไม่อาจใส่หน้ากากได้อีกต่อไป ชูเซี่ยไม่อาจออกไปไหนได้แต่ภายในใจของนางรู้สึกไม่สงบอย่างยิ่ง นางอยากไปพบหลี่เฉินเย่นอย่างยิ่งเมื่อหวนนึกถึงใบหน้าคมคายที่ฉายชัดถึงความไม่พอใจนางก็อยากจะทำอะไรให้เขาบ้าง อีกทั้งที่เขาต้องกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะนาง เมื่อเริ่มตกเย็นนางก็ได้มีโอกาสพบกับหมอเทวดาจูเก๋อหมิงที่เขาล่ำลือกัน เขาเดินมาเปิดประตูเข้ามาภายในห้องท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่สาดแสงอยู่เบื้องหลัง ชูเซี่ยมองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา ใบหน้าของเขาและแสงแดดที่ส่องอยู่เบื้องหลังดูคล้ายกลับรัศมีเทพอย่างไรอย่างนั้น ชูเซี่ยสามารถนิยามบุรุษผู้นี้ได้สั้นๆก็คือ ‘หนุ่มหน้าหยก!’ แม้จะไม่สามารถเอ่ยได้ว่ารูปงามแต่องคาพยพทั้งห้าของเขาก็เข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ ความสูงประมาณหกฉื่อและเนื่องจากเป็นคนรูปร่างผอมจึงทำให้ส่วนสูงที่สูงอยู่แล้วดูสูงโปร่งยิ่งขึ้นไปอีก เขาสวมเสื้อสีเขียวหยกไว้บนร่างมีถุงผ้าสีไม้ไผ่สีเขียวปักทองห้อยลงมาจากเอว เขาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูสักพักก่อนจะเอ่ยกระซิบให้ผู้ช่วยของเขาที่ถือกระเป๋ายาเข้ามาวางลงและไปเปิดหน้าต่าง จากนั้นก็โค้งคำนับนาง “คาราวะพระชายาพะย่ะค่ะ!” นางก็เอ่ยเสียงสดใสตอบกลับไป “ท่านหมอจูเก๋อหมิง!” เขาแย้มยิ้มเป็นมารยาทก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงราบเรียบ “เชียนให้ข้ามาดูอาการของพระชายา” เขาเอ่ยเรียกหลี่เฉินเย่นว่าเชียนเพียงคำเดียวแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดสนิทสนมของคนทั้งคู่ คงจะเป็นสหายรักกันกระมัง ทว่าเขากลับเอ่ยเรียกนางว่าพระชายาเขาก็คงพอทราบมาบ้างแล้วว่าในใจของหลี่เฉินเย่นไม่ได้ให้ความสำคัญกับนางมากมายนางจึงทำเพียกขานเรียกนางอย่างให้เกียรติเพียงเท่านั้น ชูเซี่ยพยักหน้าก่อนจะยิ้มออกมา “ลำบากท่านหมอแล้ว” จูเก๋อหมิงย่างเท้าเข้ามาหยุดตรงปลายเตียง เสี่ยวจี๋ก็รีบร้อนหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้ให้เขานั่งก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยขอบคุณเบาๆแล้วนั่งลง ยังไม่ทันที่การรักษาจะได้เริ่มต้นก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในห้องก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “พี่จูเก๋อ!” จูหมิงเก๋อไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เขาทำเพียงยิ้มออกมาน้อยๆ “ยามนี้เจ้าเป็นถึงโหร่วเฟยแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังเรียกข้าว่าพี่จูเก๋ออีกเล่า ช่างไม่รู้มารยาทเสียจริง” แม้น้ำเสียงจะแฝงไปด้วยการตำหนิแต่ก็มีความเอาใจใส่ปะปนอยู่ในนั้นด้วยราวกับเอ่ยหยอกล้อกับน้องสาวตัวน้อยของตนเองก็มิปาน ผู้มาใหม่คือโหร่วเฟยหลิวมี่เหอนั่นเอง นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายของจูเก๋อหมิง “ข้าเรียกท่านว่าพี่เช่นนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเรียกเช่นนี้ตลอดไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ ถ้าท่านไม่พอใจอย่างมากก็ไม่ต้องขานรับข้าก็สิ้นเรื่อง” หลิวมี่เหอเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ารักมีชีวิตชีวา จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะยิ้มๆ “เหตุใดไม่อยู่ดูแลเชียนเล่า มาทำอะไรที่นี่กัน” “ข้าเพิ่งไปคุมนางกำนัลในครัวให้ต้มน้ำแกงโสมจึงได้ยินมาว่าท่านกลับมาแล้วจึงเร่งรีบมาพบท่านก่อนเจ้าค่ะ” “อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปดูแลเชียนก่อนเถิดอีกเดี๋ยวข้าเสร็จแล้วจะตามเจ้าไปทีหลังแล้วกัน” จูเก๋อมิงว่าพลางก็พับแขนเสื้อของตนขึ้น “ข้ารอท่านไปพร้อมกันดีกว่าเจ้าค่ะ” เมื่อเอ่ยจบหลิวมี่เหอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ จูเก๋อหมิงไม่ได้เอ่ยอะไรกับนางอีก ใบหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่ของเขากลับกลายเป็นเฉยเมยก่อนจะหันมาทางชูเซี่ยแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “พระชายาโปรดดึงขากางเกงขึ้นด้วย” ชูเซี่ยรับคำก่อนจะดึงกางเกงขึ้นจนบาดแผลที่ขาของนางปรากฎขึ้น เมื่อจูเก๋อหมิงเห็นบากแผลก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ยามที่เขาเดินเข้ามาภายในห้องก็เห็นท่าทางของนางกระปรี้กระเปร่าดีจึงคิดว่านางเป็นเพียงโรคสำออยของเหล่าคุณหนูเท่านั้น นางอาจเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยแล้วไม่มีความอดทนเสียมากกว่า ทว่าเมื่อเขากลับนึกไม่ถึงว่าบาดแผลของนางจะรุนแรงและใหญ่มากถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่ยาเลยหรือ” ชูเซี่ยจึงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้หมอหลวงก็ใส่ยารักษาแผลให้ข้าบ้างแล้วทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อใส่ยาลงไปแล้วแผลกลับยิ่งเน่าเปื่อยเร็วมากขึ้น” หลิวหยิงหลงเองก็เดินมาดูบาดแผลของนางก็เกิดใบหน้าเปลี่ยนสีรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “วันนี้ข้าคงต้องทำความสะอาดหนองพวกนี้เสียก่อนอาจจะรู้สึกเจ็บบ้างพระชายาก็โปรดอดทนหน่อยนะพะย่ะค่ะ” เขาให้เด็กรับใช้นำกระเป๋ายามาวางไว้ข้างกายก่อนจะค่อยๆหยิบกริชเล็กๆออกมาพร้อมทั้งขวดขนาดปานกลางใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เขาเปิดฝาขวดออกจุ่มกริชลงไปในขวดก่อนจะลนด้วยไฟจนกลายเป็นสีแดงฉาน ชูเซี่ยมองการกระทำของเขาอย่างประหลาดใจนัก อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “ในขวดนี้คือน้ำอะไรหรือเจ้าคะ” จูเก๋อหมิงก็เอ่ยตอบเสียงราบเรียบ “ใช้สำหรับการฆ่าเชื้อพะย่ะค่ะ” ดวงตากลมโตของชูเซี่ยสว่างวาบ “ฆ่าเชื้อ ท่านทำเองหรือ” ริมฝีปากของจูเก๋อหมิงกระตุกยิ้มเย็นชาขึ้นมา “พระชายาวางพระทัยเถิด ไม่มีพิษหรอก” ชูเซี่ยคิดว่าเขาคงเข้าใจนางผิดไปจึงรีบร้อนเอ่ย “ข้าไม่ได้...” จูเก๋อหมิงไม่คิดจะฟังคำแก้ตัวของนาง ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมา “พระชายาโปรดหันหน้าไปทางอื่นด้วย อาจจะเจ็บสักหน่อย ข้าก็จะพยายามเบามือก็แล้วกัน” จากนั้นก็สั่งให้เสี่ยวจี๋และมามาช่วยกันจับตัวนางไว้เพื่อเวลาที่นางเจ็บปวดจะได้ไม่ดิ้นไปมา เสี่ยวจี๋กอดร่างของชูเซี่ยไว้แน่น ร่างกายนางสั่นสะท้านไปทั้งร่างแม้แต่นางก็ไม่กล้าหันหน้าไปมองรีบร้อนเอ่ยต่อนายหญิงของตน “พระชายา อย่ามองนะเพคะ ยิ่งมองก็จะยิ่งเจ็บ” ชูเซี่ยไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณบาดแผลแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะร่างกายนี้นางสามารถเดินเหินวิ่งได้อย่างอิสระแล้วล่ะก็นางคงคิดว่าร่างกายนี้คงเป็นแค่ซากศพเป็นแน่ นางฉวยโอกาสนี้ศึกษาวิธีการรักษาจากเขา มือของเขาลงมือได้อย่างชำนาญมองปราดเดียวก็รู้ว่าทักษะดีเลิศ กริชในมือเขาราวกับมีชีวิต เขาค่อยๆบรรจงลงมือใช้กริชขูดเบาๆบริเวญที่เป็นหนองออกช้าๆโดยม้าสีขาวผืนหนึ่งคอยซับแผลอยู่เรื่อยๆ เมื่อเขาเห็นว่าชูเซี่ยไม่เพียงไม่ดิ้นแม้แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บยังไม่มีเล็ดลอดออกมาจากปากนางแม้แต่น้อยเสียด้วยซ้ำไม่ต้องเอ่ยถึงอาการตัวสั่นที่ไม่ปรากฏออกมา ชายหนุ่มเงยหน้ามองนาง ดวงตาทั้งคู่สบประสานกัน หากเขาจำไม่ผิดเมื่อก่อนนางเป็นโรคกลัวเลือดไม่ใช่หรือ ในยามนี้เลือดออกมาก็ไม่ใช่น้อยทั้งยังมีน้ำหนองปนออกมาด้วยนางกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ต่อให้นางไม่กลัวเลือดก็เถอะ แต่บาดแผลขนาดนี้ก็ควรเจ็บมากไม่ใช่หรือ บาดแผลขนาดนี้แม้แต่ผู้ชายร่างยักษ์อกสามศอกก็ยังต้องหลุดเสียงร้องออกมา ทว่านางกลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเลยราวกับว่านี่เป็นขาของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น “ไม่เจ็บเลยหรือ” จูเก๋อหมิงอดไม่ได้ที่จะถามนาง ชูเซี่ยอยากจะตอบเขาไปว่าไม่เจ็บแม้แต่น้อยทว่าบาดแผลก็ใหญ่ถึงเพียงนี้จะให้เอ่ยว่าไม่เจ็บแม้แต่น้อยก็ดูจะไม่สมเหตสมผลเท่าใดนัก นางจึงแสร้งกัดฟันพูดออกมา “ยังพอทนได้!” จูเก๋อหมิงเกิดความรู้สึกชื่นชมหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมา ความเจ็บปวดไม่ใช่น้อยนางกลับอดทนได้ถึงเพียงนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ หลิวมี่เหอขมวดคิ้ว “บาดแผลกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ท่านไม่ดื่มยาเลยหรือไร โดยทั่วไปแล้วหมอหลวงย่อมต้องออก เทียบยาที่มีคุณภาพที่สุดแก่ท่านไม่ใช่หรือ” ในใจนางกลับคิดว่าชูเซี่ยจงใจให้แผลของตนเป็นเช่นนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจต่างหากเล่า นางเพียงใช้ร่างกายของตนเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากผู้อื่นต่างหาก ชูเซี่ยไม่ได้มองดูสีหน้านางจึงนึกไปว่าหลิวมี่เหอเป็นห่วงนางจึงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “ก่อนหน้านี้ข้าคงกินอะไรตามใจปากไปบ้างแผลจึงอักเสบเช่นนี้ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นมาเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” จูเก๋อหมิงได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็เพียงแค่เหลือบตามองนางเพียงชั่วครู่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาขูดแผลให้นางต่อไปจนแผลสะอาดดีแล้วก็ค่อยๆโรยผงยาให้นางอย่างเบามือ จากนั้นจึงเอ่ยกำชับ “หลายวันมานี้พยายามอย่าให้อะไรโดนแผลเด็ดขาด หากบาดแผลไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากท่านก็สามารถลงเดินได้เองเพื่อให้เลือดลมเดินนั่นจะทำให้บาดแผลสมานได้ดียิ่งขึ้น” ชูเซี่ยยิ้มไปจนถึงดวงตา “คำพูดนี้ท่านไปเอ่ยต่อท่านอ๋องด้วยเถิด” แม้แต่ท่านหมอเทวดาจูเก๋อหมิงยังเอ่ยออกมาเช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องนอนอยู่แต่บนเตียงนี่แล้ว อย่างน้อยนางจะได้มีเวลาคิดหาวิธีประดิษฐ์รถเข็นไว้ให้เขานั่งได้สะดวกมากขึ้น จูเก่อหมิงขบกรามเล็กน้อย “เชิญพระชายาพักผ่อนเถิดพะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะมาใส่ยาให้ท่านอีกครั้งในวันพรุ่งนี้” “ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ เสี่ยวจี๋ ส่งท่านหมอเทวดาจูเก๋อกลับ!” เสี่ยวจี๋ยังคงหวาดผวาไม่หายมือเท้าของนางตอนนี้อ่อนเปลี้ยไปหมด เมื่อครู่ที่นางเหลือบไปเห็นท่านหมอจูเก๋อหมิงทำความสะอาดแผลให้ชูเซี่ยเพียงแวบเดียวเท่านั้น นางก็รีบหันหน้าหนีทันทีอดรู้สึกเจ็บแทนชูเซี่ยไม่ได้ นางรับคำสั่งจากพระชายาก่อนจะหันมาเอ่ยต่อจูเก๋อหมิง “ท่านหมอเทวดา เชิญเจ้าค่ะ!” หลิวมี่เหอเดินตามจูเก๋อหมิงไปได้เพียงไม่กี่เก้านางก็หันกายกลับมาเอ่ยวาจาต่อชูเซี่ยสองสามคำ “ถ้าอยากให้ท่านอ๋องสบายใจ พี่สาวก็ควรดูแลตนเองให้ดีๆนะเจ้าคะ” ชูเซี่ยมองสบใบหน้าของอีกฝ่าย ในประโยคแสดงความห่วงใยที่นางเอ่ยมาปนไปด้วยร่องรอยของความโศกเศร้า นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสื่ออะไร “ขอบคุณน้องสาวที่ห่วงใย พี่สาวจะรีบหายโดยเร็วที่สุด” แก่งแย่งงั้นหรือ นางไม่แม้แต่จะคิดแม้ว่าความรู้สึกของนางต่อหลี่เฉินเย่นจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม ทว่านางก็ไม่อาจเรียกมันว่ารักได้ ต่อให้จะมีวันที่นางรักเขาได้จริง นางก็ไม่กล้าเข้าไปทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนได้หรอก 
已经是最新一章了
加载中