ตอนที่ 44 นางที่เปลี่ยนไป
1/
ตอนที่ 44 นางที่เปลี่ยนไป
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 44 นางที่เปลี่ยนไป
ตนที่ 44 นางที่เปลี่ยนไป จูเก๋อหมิงกลับมายังห้องบรรทมของหลี่เฉินเย่น ยามนี้หลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ริมหน้าต่างบนนั้นมีกระถางดอกเบญมาศวางไว้อยู่ หมอหนุ่มมองจากด้านหลังก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าช่างดูอ้างว้างโดดเดี่ยวยิ่งนัก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าชายหนุ่มก็ค่อยๆหันหน้ามามอง เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือจูเก๋อหมิงใบหน้าคมคายก็เปลี่ยนเป็นหมองเศร้า “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “ทำความสะอาดบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ใส่ยาอีกไม่กี่วันก็คงจะเริ่มตกสะเก็ด” จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเบา เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างกายสหาย มองไปที่เขาสักพักก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลี่เฉินเย่นเอ่ยตอบเสียงเรียบ “จะดีหรือไม่ดีชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่หรือ ขนาดเจ้ายังบอกว่าขาทั้งสองของข้าไม่อาจเดินได้อีกตลอดชีวิต เปิ่นหวางก็ไม่อยากคาดหวังอะไรอีกแล้ว ใช้ชีวิตไปวันต่อวันเท่านั้นก็พอ” จูเก๋อหมิงรู้สึกผิดอยู่บ้าง เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “แผ่นดินกว้างใหญ่หมอมากฝีมือก็มีอยู่มาก...” “ใครจะมีฝีมือเท่าเจ้าได้อีกเล่า” หลี่เฉินเย่นยิ้มเย้ยหยัน “ขนาดเจ้ายังไม่อาจรักษาได้ ยังจะมีผู้ใดสามารถรักษาข้าได้อีกเล่า เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำเกลี้ยกล่อมเปิ่นหวางหรอก เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแล้วมีอะไรพูดตรงๆกันจะดีกว่า” จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้หลอกและไม่ได้ปลอบใจเจ้าด้วย เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าจากอ๋องเจิ้นหยวนว่ายามที่พระชายาของเขาต้องพิษมีท่านหมอผู้หนึ่งสามารถใช้วิธีผ่าคลอดเด็กออกมาได้ วิธีการเช่นนี้อันตรายอย่างยิ่งอาจทำให้ทั้งแม่และลูกตกอยู่ในอันตราย หากเป็นดังที่เล่าลือจริงข้าก็รู้สึกด้อยกว่าเขาผู้นั้นอยู่มาก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าให้เจ้ากลับไปรักษาตัวอยู่ในวังและตามหาหมอหลวงผู้นั้นมารักษาจะดีกว่า อย่างน้อยจะได้มีโอกาสมากยิ่งขึ้น” ยามที่อยู่ในวังเขาก็ไปเยี่ยมดูอาการหลี่เฉินเย่นอยู่บ้างแต่หลี่เฉินเย่นก็ไม่ได้บอกเรื่องท่านหมอพวกนี้แก่เขา ยามนี้เมื่อได้ยินสหายของตนไถ่ขึ้นมาก็คงเป็นเพราะได้ยินข่าวลือในวังหลวงมากระมัง เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเพียงรู้ความเพียงด้านเดียวหาได้ฟังทั้งสอง!” “หือ” จูเก๋อหมิงชะงัก “ยังมีอีกด้านที่ข้าไม่ทราบหรือ” หลี่เฉินเย่นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่กลับมีเสียงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของจูเก๋อหมิงเอ่ยขึ้น “หมอผู้นั้นที่ท่านเอ่ยถึงคือพี่สาวของข้าเองเจ้าค่ะ” จูเก๋อหมิงตกใจ “เจ้าหมายถึงพระชายาหรือ” เขาหันกลับมามองหลี่เฉินเย่นในแววตาฉายความไม่เชื่อถืออยู่หลายส่วน หลี่เฉินเย่นพยักหน้าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จูเก๋อหมิงถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เขาหาเสียงตนเองอยู่นานจนในที่สุด “ทว่าข้ารู้มาก่อนว่านางไม่รู้วิชาการแพทย์แม้แต่น้อยไม่ใช่หรือ” หลิวมี่เหออดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากสอดเข้ามา “เรื่องนี้ข้าขอยืนยันเจ้าค่ะว่าท่านพี่ไม่เคยเรียนวิชาการแพทย์มาก่อนเลย แต่เล็กจนโตนางป่วยอยู่บ่อยครั้ง ป่วยจนถึงขั้นที่จวนอุปราชจำเป็นต้องเชิญหมอมากฝีมือผู้หนึ่งว่าไว้ประจำจวนเพื่อคอยดูแลนางแต่เพียงผู้เดียวเลยเจ้าค่ะ เท่าที่ทราบมาท่านพี่ไม่มีทางที่จะเรียนวิชาการแพทย์จากท่านหมอผู้นั้นแน่เพราะท่านหมอผู้นั้นมักจะบังคับให้นางดื่มยาอยู่เสมอนางจึงเกลียดชังท่านหมอผู้นั้นมากยิ่งนัก” นางหยุดพักสักครู่ก่อนจะเอ่ยคาดเดาออกมา “เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอาจเรียนรู้มาจากตำรา ที่จวนอุปราชมีหอสมุดหลังใหญ่ตำรามีอยู่มากมายก่ายกอง หรือท่านหมอผู้นั้นอาจจะมีตำราการรักษาติดตัวมาใช้สำหรับอ้างอิงการรักษา นางอาจจะเคยนำมาศึกษาก็เป็นได้นะเจ้าคะ” จูเก๋อหมิงนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นางจะเคยศึกษาวิชาการแพทย์หรือไม่มีแต่ตัวนางที่รู้ดีที่สุด อีกอย่างการที่นางจะสามารถผ่าตัดทำคลอดได้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าวิชาการแพทย์นางล้ำเลิศยิ่งนัก นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะเรียนรู้ในชั่วข้ามคืนได้ ทั้งยังไม่สามารถศึกษาจากตำรามาแน่” หลี่เฉินเย่นถามขึ้น “การผ่าตัดเช่นนี้ เจ้ามั่นใจในฝีมือตนเองกี่ส่วน” จูเก๋อหมิงหัวเราะออกมาเบาๆใบหน้าหล่อเหลาฉายแววอับอาย “ข้าไม่ขอปิดบัง ข้าไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่ส่วนเดียว” หลี่เฉินเย่นไม่เอ่ยอะไรอีกเลย เขาหมุนแหวนหยกที่อยู่ในนิ้วมือเล่น จูเก๋อหมิงรู้สึกลังเล “พระชายาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมากนัก” แม้รูปโฉมของนางจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทว่าสีหน้าและท่าทีของนางเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนกับนางคนก่อน ไม่เหมือนกันอย่างไรเขาก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้อย่างชัดเจน เขาเพียงแค่รู้สึกได้ว่านางต่างจากคนก่อนหน้านี้แทบจะเป็นคนละคน หลี่เฉินเย่นลอบยิ้มอ่อนโยนแต่เพียงชั่วพริบตาใบหน้าเขาก็กลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองหลิวมี่เหอก่อนเอ่ย “มี่เหอ เจ้าออกไปก่อน เปิ่นหวางมีเรื่องจะปรึกษาจูเก๋อเสียหน่อย” ในใจหลิวมี่เหอรู้สึกวูบโหวงแต่ใบหน้าของนางก็ยังแสร้งยกยิ้มปั้นสีหน้าไร้เดียงสา “มีอะไรปิดบังไม่ให้ข้ารู้หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าไม่ออกไปดีกว่าต้องฟังเสียหน่อยว่าพวกท่านเอ่ยถึงข้าในทางไม่ดีหรือไม่” หลี่เฉินเย่นกดเสียงให้ต่ำลง “เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางเป็นพวกสตรีชอบทำปากยื่นปากยาวที่ชอบพูดจาต่อว่าผู้อื่นลับหลังหรือ” เมื่อหลิวมี่เหอเห็นว่าเขาทำสีหน้าจริงจังไม่มีร่องรอยของการล้อเล่นแม้แต่น้อยนางก็ไม่กล้าดื้อรั้นในใจรู้สึกไม่เต็มใจจะออกจากห้องนี้ไปแม้แต่น้อย นางมองจูเก๋อหมิงอย่างขอความช่วยเหลือหวังว่าเขาจะช่วยนางกล่าวอะไรบ้าง แต่ไหนแต่ไรมาจูเก๋อหมิงก็รักใคร่เอ็นดูนางราวกับน้องสาวคนหนึ่งเขาไม่อาจทนเห็นนางผิดหวังได้จึงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ช่างเถิด ไม่มีเรื่องอะไรที่เราต้องปิดบังนางอยู่แล้วก็ให้นางอยู่เถิด” จูเก๋อหมิงและหลี่เฉินเย่นเป็นสหายรักกัน ขอเพียงแค่จูเก๋อหมิงเอ่ยปากหลี่เฉินเย่นไม่มีทางที่จะปฎิเสธเด็ดขาด ทว่าในวันนี้เขากลับใจแข็งไม่ยอมอ่อนข้อให้ทั้งยังยืนกรานเสียงแข็ง “เปิ่นหวางบอกให้เจ้าออกไป เจ้าก็จงออกไปเสีย” วาจาที่เอ่ยออกมาแข็งกระด้างเหลือเกิน นับตั้งแต่เขาบาดเจ็บชายหนุ่มก็แสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหลิวมี่เหอมาโดยตลอด ภายในใจของหลิวมี่เหอรู้สึกร้อนรนและสับสนมากขึ้น ยามนี้แม้กระทั่งคำขอของจูเก๋อหมิงเขาก็ยังไม่ยอมฟังเสียแล้ว นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เมื่อไม่มีทางใดที่จักขัดคำสั่งของเขาได้นางก็จำใจต้องยอมถอยกายออกไปจากห้องแต่โดยดี จูเก๋อหมิงถอนหายใจออกมา “เจ้าก็รู้ว่านางคิดอย่างไรต่อเจ้า เหตุใดยังปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นเล่า” หลี่เฉินเย่นเงียบไปเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด นับตั้งแต่แต่งนางเข้ามาในจวนอ๋อง นางช่างแตกต่างจากมี่เหอคนก่อนมากยิ่งนัก” จูเก๋อหมิงนิ่งงัน “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ เจ้าพูดเช่นนี้หมายตวามว่าสองพี่น้องคู่นี้ต่างก็เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคนละคนงั้นหรือ ช่วงที่ข้าออกนอกเมืองหลวงในระยะเวลาอันสั้นนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เจ้ารีบเล่ามาให้ข้าฟังเร็วเข้า” หลี่เฉินเย่นเล่าตั้งแต่เรื่องที่หลิวหยิงหลงวางยาปลุกกำหนัดเขา จนถึงตอนที่พระชายาเจิ้นหยวนภูกวางยาพิษจนเขาและนางต้องไปหุบเขาเทียนหลางเพื่อตามหาหย้าหลินเฉ่า เขาเล่าอย่างละเอียดทุกๆเรื่องให้จูเก๋อหมิงฟัง รวมทั้งเรื่องที่หลิวมี่เหอวางแผนกลั่นแกล้งชูเซี่ยด้วยการยั่วยุถากถางนางอีกด้วย มีเรื่องราวมากมายที่ต่อให้เขาไม่เอ่ยออกมาก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทราบ แต่แรกเริ่มดูเหมือนกับว่าชูเซี่ยเป็นคนคอยหาเรื่องหลิวมี่เหอมาโดยตลอด ทว่าเมื่อรองตรวจสอบให้ชัดเจนจึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป้นฝีมือของหลิวมี่เหอทั้งสิ้น เรื่องจริงเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง ทว่าก่อนหน้านี้ที่เขาแสดงความรักต่อหลิวมี่เหอก็เพื่อยั่วยุให้นางโมโหเพียงเท่านั้น ท้ายที่สุดความสัมพันธ์ของเขาและนางที่เต็มไปด้วยความหึงหวงก็จะเริ่มระหองระแหงกันในที่สุดนั่นคือสิ่งที่เขาคิดมาโดยตลอด หลังจากที่จูเก๋อหมิงฟังเรื่องราวทั้งหมดก็นิ่งเงียบขบคิดเรื่องราวอยู่ราวๆครึ่งวัน ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ เมื่อเขาหาเสียงตนเองได้ก็ค่อยๆเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ตอนข้าท่องโลกภายนอกเคยได้ยินว่ามีวิชาเปลี่ยนหน้า” หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะ “ไม่ ก่อนหน้าที่นิสัยนางจะเปลี่ยนนางไม่เคยก้าวขาออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว อีกทั้งวิชาเปลี่ยนหน้าที่ชาวยุทธเล่าลือกันก็ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อนไม่ใช่หรือ” ร่างกายจูเก๋อหมิงสั่นสะท้านเล็กน้อย “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถอธิบายได้อีกแล้วล่ะ แม้จะบอกว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตก็ตาม นิสัยคนเราอาจจะเปลี่ยนได้หากได้รับการกระทบกระเทือนต่อจิตใจ ทว่าวิชาการแพทย์ที่ล้ำเลิศปานนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ในชั่วข้ามคืนได้แน่” มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของหลี่เฉินเย่น ดวงตาเขาส่องประกายวาบ “เจ้าเชื่อเรื่องฟื้นคืนชีพหรือไม่” จูเก๋อหมิงชะงักก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ “พูดตามตรง เรื่องผีสางเทวดาข้าไม่เชื่อเลยสักนิด” “เปิ่นหวางก็ไม่เชื่อเรื่องงมงายเช่นนี้ ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันแปลกประหลาดเกินไป” “ต่อให้เรื่องผีสางเทวดามีอยู่จริง ต่อให้การฟื้นคืนชีพมีอยู่จริงเช่นที่เจ้ากล่าว ทว่าพระชายาของเจ้าก็ต้องเสียชีวิตก่อนไม่ใช่หรือถึงจะฟื้นคืนชีพมาได้อีกครั้ง” จูเก๋อหมิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด หลี่เฉินเย่นรับคำ เขานึกถึงการเปลี่ยนแปลงของนางนับตั้งแต่วางยาปลุกกำหนัดเขา ตัวนางเมื่อก่อนแม้จะพยายามเรียกร้องความสนใจจากเขามากเพียงใดก็ไม่เคยใช้วิธีการที่ชั่วช้าสามานย์เช่นนี้ เมื่อลองตริงดูให้ดีอาจเป็นเพราะนางต้องพบเจอเรื่องอะไรเข้าจึงทำให้นางเปลี่ยนแปลงนิสัยเดิม “วันนี้ตอนท่านไปเยี่ยมดูอาการนางมีอะไรผิดปกติหรือไม่” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม “ยามที่ข้าช่วยนางล้างแผล นางไม่ร้องออกมาแม้แต่น้อย คิ้วของนางไม่ย่นเสียด้วยซ้ำ แม้แต่ข้ายังอดที่จะชื่นชมความอดทนของนางไม่ได้!” “นางไม่กลัวเจ็บแม้แต่น้อย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ยามที่เปิ่นหวางกระโดดลงน้ำไปช่วยนางขึ้นมาชีพจรนางก็ไม่เต้นเสียแล้ว ตอนนั้นเปิ่นหวางคิดว่านางสิ้นใจไปแล้วเสียอีก ยามนั้นต่อให้เปิ่นหวางถ่ายทอดพลังลมปราณให้นางเกือบทั้งหมดนางก็ยังไม่ฟื้นกลับมา แต่ทว่าเมื่อเปิ่นหวางฟื้นขึ้นมากลับพบว่านางยืนจ้องเปิ่นหวางอยู่ ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่นางไม่ร้องออกมาสักแอะ” หลี่เฉินเย่นนึกถึงเรื่องราวครั้งนั้นในใจเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา “ใช่แล้ว องค์ชายน้อยก็ได้นางช่วยชีวิตไว้ใช่หรือไม่ ข้าเคยดูอาการของเขามาก่อน ลำพังข้ายังไม่อาจรักษาเขาได้แต่นางกลับทำได้” “ไม่ผิด เดิมทีอานเหยียนใกล้จะสิ้นใจอยู่แล้ว เหล่าหมอหลวงในวังต่างก็ถอดใจไปกันหมด ด้านเสด็จพ่อก็ทรงเตรียมพระราชพิธีศพไว้แล้ว นึกไม่ถึงว่าทันทีที่นางเดินเข้าไปในห้อง อานเหยียนก็หายดีเสียอย่างนั้น ไม่มีผู้ใดทราบว่านางใช้วิธีการใดรักษาอ่านเหยียน ทว่าที่ข้ามั่นใจอย่างยิ่งคือหมอหลวงที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่านางไม่ได้ใช้ยาในการรักษาแน่นอน” “นั่นมันน่าแปลกยิ่งนัก!” จูเก๋อหมิงถึงกับตื่นตะลึง “หากไม่ใช่ยา เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะใช้เข็ม มีผู้ใดเห็นนางใช้เข็มหรือไม่” “เจ้าหมายถึงการฝังเข็มหรือ” หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะ “ที่ข้าได้ยินมา ยามนั้นในห้องของอานเหยียนมีเพียงแค่หยงเฟยผู้เดียวเท่านั้น แต่ยามที่นางลงมือรักษาอยู่นั้นแม้กระทั่งหยงเฟยก็ไม่ได้รับอนุญาติให้อยู่ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดพบเห็น” จูเก๋อหมิงมีสีหน้าสับสน ยามนั้นไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องนับว่านางเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง หากองค์ชายน้อยเกิดเรื่องขึ้นมานั่นจะกลายเป็นความผิดของนางแต่เพียงผู้เดียว นางกล้าเสี่ยงชีวิตตนเองถึงเพียงนี้ แท้จริงแล้วนางเป็นผู้กล้าหาญมากหรือสิ้นหวังมากกันแน่ “หากเป็นอย่างที่ข้าคิด นางเองก็คงไม่มั่นใจในฝีมือนางเช่นกัน หากไม่จวนตัวจริงๆนางก็คงไม่ตัดสินใจทำมันแน่ๆ นับว่าเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง” “นับตั้งแต่ผ่าท้องทำคลอดจนถึงขึ้นเขาเก็บหญ้าหลินเฉ่า มีสิ่งใดบ้างที่ไม่อันตราย หากพูดถึงเรื่องอันตราย เรื่องที่นางเอ่ยทูลต่อเสด็จพ่อขออภัยโทษให้ยกเลิกโทษประหารก็นับว่าเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือเสด็จพ่อเป็นผู้ที่ตรัสคำใดออกไปย่อมเป็นไปตามนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เจ้ายังจะเรื่องราวของเหลียงยิงได้หรือไม่ ยามนั้นที่ทรงรับสั่งโทษประหารเหลียงยิง ขุนนางนับร้อยต่างอ้อนวอนขอร้องให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย ยอมคุกเขานอกห้องทรงอักษรทั้งคืนแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงพระทัยเสด็จพ่อได้เลยแม้แต่น้อยทั้งยังตรัสจะลดตำแหน่งขุนนางที่มาอ้อนวอนพระองค์อีกด้วย” นางเป็นเพียงแค่สาวน้อยผู้หนึ่งไม่รู้ว่านางกลัวไม่เป็นหรือกล้าหาญมากกันแน่ ทว่าต่อให้นางกล้าหาญเพียงใดก็ไม่ควรออกหน้าช่วยเหลือหมอหลวงผู้นั้นจนตนเองต้องเสี่ยงด้วยไม่ใช่หรือ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือไปมาหาสู่กันมาก่อนเสียด้วย ในหัวของจูเก๋อหมิงผุดคำคำหนึ่งขึ้นมา “พวกเดียวกัน!” “อะไรหรือ” หลี่เฉินเย่นตื่นตะลึง “เหตุใดกล่าวเช่นนี้เล่า” ในใจจูเก๋อหมิงสับสนวุ่นวายไปหมด หากจะกล่าวว่าเป็นพวกเดียวกันก็ไม่ถูกต้องนักหรือแท้จริงแล้วนางเอกก็เป็นหมอเช่นกัน ทว่าหลิวหยิงหลงเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี ออกเรือนก็แต่งเข้าจวนอ๋อง ได้ตำแหน่งเป็นถึงพระชายา ได้รับความรักและเอ็นดูจากฮองเฮา เป็นสตรีสูงศักดิ์เปี่ยมด้วยอำนาจ มีชีวิตเช่นนี้นิสัยเอาแต่ใจของนางย่อมต้องมีมากโขทีเดียว หากนางมี ความสามารถเพียงเล็กน้อยก็คงไม่ลังเลที่จะแสดงออกมาทันที อย่าว่าแต่วิชาการแพทยืเลยหากนางรู้จริงก็คงจะวางตัวสูงส่งเย้ยหยันไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเป็นแน่ อย่างน้อยหลิวหยิงหลงที่เขารู้จักก็เป็นคนเช่นนี้
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 44 นางที่เปลี่ยนไป
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A