ตอนที่ 45 เล่นงานใคร ย่อมมีเหตุผล   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 45 เล่นงานใคร ย่อมมีเหตุผล
ต๭นที่ 45 เล่นงานใคร ย่อมมีเหตุผล ชายหนุ่มสองคนพูดคุยเรื่องราวของชูเซี่ยอยู่ภายในห้องนานกว่าครึ่งวัน ชูเซี่ยสั่งการให้คนเตรียมพู่กันและหมึกให้นาง หญิงสาวพยายามนึกถึงรูปแบบของรถเข็นผู้ป่วยให้ชัดเจนที่สุด ผู้ที่ทำงานโรงพยาบาลทุกวันอย่างนางรถเข็นเป็นสิ่งที่เห็นได้ทุกวัน ใช้เวลากว่าครึ่งวันในการวาดรูปนางก็วาดออกมาได้สมบูรณ์แบบ หากแต่อยู่บนกระดาษอย่างเดียวก็คงไม่อาจใช้งานได้ นางจำเป็นต้องตามหาช่างฝีมือดีเพื่อทำให้มันออกมาใช้งานได้จริงๆเสียก่อน นางเรียกมามา “ในเมืองหลวงมีช่างตีเหล็กฝีมือดีบ้างหรือไม่” มามาส่ายศีรษะเบาๆ “เรื่องนี้หม่อมฉันก็ไม่แน่นักเพคะ ทว่าหม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าบิดาของเสี่ยวฉิงเป็นช่างตีเหล็กเพคะ ฝีมือเป็นเช่นไรหม่อมฉันก็ไม่มั่นใจ พระชายาต้องการช่างตีเหล็กไว้ทำสิ่งใดหรือเพคะ” “เสี่ยวฉิง” ยามนี้ความทรงจำของชูเซี่ยดีนัก เพียงไม่นานนางก็นึกถึงใบหน้าของเสี่ยวฉิงที่เคยถูกนางตบหน้าได้ทันที ต่อมาสาวใช้นางนี้ก็ถูกหลิวมี่เหอขับไล่ออกจากจวนอ๋อง “สาวใช้ที่ถูกเช่อเฟยขับไล่ออกจากจวนเพคะ” เสี่ยวจี๋เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าไม่ได้กล่าวว่านางไม่มีเงินรักษาอาการป่วยของแม่หรือ บิดาของนางเป็นช่างตีเหล็กย่อมหาเงินได้ไม่น้อยไม่ใช่หรือ” ช่างตีเหล็กในสมัยนางเป็นอาชีพที่ทำรายได้ได้ดีทีเดียว มามายิ้มขบขัน “พระชายาที่แสนโง่งมของหม่อมฉัน เป็นเพียงช่างตีเหล็กธรรมดาจะไปหาเงินทองจากที่ใดเล่าเพคะ อย่งมากเดือนหนึ่งก็มีเงินเพียงสองตำลึงเท่านั้น ท่านก็รู้ว่าค่ารักษาท่านหมอไม่ใช่เงินน้อยๆ หากในครอบครัวยากจนมีผู้ป่วยก็เท่ากับนอนรอความตายนั่นล่ะเพคะ” “อย่างนี้นี่เอง!” ชูเซี่ยครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเรียกเสี่ยวจี๋ให้เข้ามาใกล้ “เสี่ยวจี๋ เจ้าไปนอนบนเตียง” เสี่ยวจี๋งุนงง “พระชายาต้องการทำอันใดเพคะ” ชูเซี่ยยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงกันทุกซี่ “ข้ากับมามาจะออกไปหาเสี่ยวฉิง ส่วนเจ้าก็นอนอยู่บนเตียงเผื่อท่านอ๋องส่งคนมาตรวจดูจะได้ไม่ถูกสงสัย” เสี่ยวจี๋และมามาหัวใจหล่นวูบ “ออกจวนไปหานางทำไมกัน หากท่านอ๋องทราบเรื่องเข้าเกรงใจว่าเกิดเรื่องใหญ่นะเพคะ” “ดังนั้นข้าจึงต้องให้เสี่ยวจี๋นอนอยู่บนเตียงแทนข้าอย่างไรเล่า วางใจเถิดพวกเข้าจะรีบไปรีบกลับก่อนฟ้ามืดอย่างแน่นอน” ชูเซี่ยว่าพลางกระโดดลงจากเตียง ทำให้มามาตกลงใจรีบวิ่งมาพยุงนางไว้ “พระชายาของหม่อมฉัน เจ็บตรงไหนหรือไม่ ระวังหน่อยเถิด” “ไม่เจ็บแม้แต่น้อย อย่าพูดมากอยู่เลย ข้าต้องรีบไปตามหาบิดาของเสี่ยวฉิง เสี่ยวจี๋เจ้าไปหยิบเสื้อผ้าของเจ้ามาให้ข้าสักชุดเถิด ข้าจะเร่งเปลี่ยนแล้วรีบไป” ชูเซี่ยให้มามาออกไปสั่งการแก่สาวใช้ที่ทำความสะอาดเรือนอยู่ด้านนอกเพื่อไม่ให้พวกนางสงสัย เสี่ยวจี๋ยังต้องการเอ่ยอีกหลายคำ ทว่าชูเซี่ยกลับถอดชุดกระโปรงของนางออกเสียแล้วรอเพียงนางนำเสื้อผ้ามาให้ เสี่ยวจี๋จึงรีบเร่งนำเสื้อผ้าของนางมาให้ชูเซี่ยสวมใส่ แต่ไรมาชูเซี่ยก็เป็นคนแน่วแน่ เมื่อนางคิดจะทำนางก็จะลงมือทำมันทันที ล่าช้าเพียงครู่เดียวก็ไม่ได้ เมื่อนางสวมใส่เสื้อผ้าของเสี่ยวจี๋เรียบร้อยดีแล้วนางก็ลากมามาออกจากจวนทันที แต่ทว่านางจะหลบซ่อนสายตาจากผู้คนได้อย่างไร ด้วยร่างกายของนางสูงโปร่งกว่าเสี่ยวจี๋ค่อนข้างมากทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่พอดีตัวทั้งยังดูแปลกประหลาด จากที่นางพยายามจะปกปิดกลับทำให้มันกลายเป็นที่ดึกดูดสายตาผู้คนเสียมากกว่า ในขณะที่นางเดินผ่านลานกว้างไปหน้าประตูจวนก็ถูกชุนหนิงสาวใช้ข้างกายของหลิวมี่เหอพบเข้าเสียก่อน ชุนหนิงเห็นว่าการแต่งกายของนางดูผิดปกติอย่างยิ่งจึงรีบร้อนวิ่งกลับไปบอกเรื่องนี้ให้แก่หลิวมี่เหอได้รับรู้ หลังจากที่หลิวมี่เหอไดฟังเรื่องราวจากชุนหนิงก็รีบเร่งสั่งการให้คนไปสืบเรื่องราว นางบาดเจ็บถึงเพียงนั้นยังจะมีเรี่ยวแรงที่ไหนหนีออกจากจวนได้เล่า หรือว่าเป็นเพราะนางเสแสร้งแกล้งทำ ทว่าบาดแผลของชูเซี่ยนางได้เห็นด้วยตาตนเองมาแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม้แต่บาดแผลนั่นนางก็แสร้งทำมันขึ้นมา คงเพราะเป็นเช่นนั้นยามที่พี่จูเก๋อทำความสะอาดแผลให้นางจึงไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย เสี่ยวจี๋นอนตัวสั่นอยู่บนเตียง นางหาได้เป็นห่วงหลิวมี่เหอไม่ เพราะว่ายามนี้หลิวมี่เหอไม่กล้ามาก่อกวนพระชายาของตนมาสักพักแล้ว แม้ว่านางจะเคยกล่าวว่าจะมาเยี่ยมเยียนก็เถิด ทว่าก็ไม่มีทางที่นางจะมาหรอก สตรีเช่นนั้นไม่วางยาพิษก็นับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว ดังนั้นสิ่งที่นางหวาดกลัวที่สุดเห็นจะเป็นทางท่านอ๋อง นางเกรงว่าท่านอ๋องจะส่งคนมาตรวจสอบทั้งยังกลัวว่าสาวใช้ข้างนอกจะจับพิรุธได้ ยามนี้อารมณ์ของท่านอ๋องไม่สู้ดีนักหากเขารู้ว่าพระชายาไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตนทั้งยังแอบหนีออกจากจวนจะต้องโมโหมากแน่แท้ ขณะที่นางกำลังกังวลคิดไปต่างๆนาๆก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากลานหน้าห้องบรรทมตามด้วยเสียงสาวใช้ที่แสดงความเคารพต่อผู้มาใหม่ “ถวายบังคมพระสนมโหร่วเฟย!” ร่างกายของเสี่ยวจี๋ชาวาบไปทั้งร่าง นางรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะของตนก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสั่นเทา โหร่วเฟยมาที่นี้ได้อย่างไรกัน นางเพิ่งจะมากับท่านหมอจูเก๋อหมิงไม่ใช่หรือ น้ำเสียงของนางไม่ใคร่จะดีนัก นางคงไม่ได้จงใจจะมาหาเรื่องพระชายากระมัง “พระชายาเล่า” หลิวมี่เหอเอ่ยออกมาเสียงเรียบแต่กลับมีการใช้อำนาจข่มอยู่ในน้ำเสียงนั่นด้วย เสียงของสาวใช้เอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกัก “ทูลโหร่วเฟย พระชายากำลังบรรทมอยู่เพคะ รับสั่งว่าห้ามผู้ใดรบกวน” โหร่วเฟยออกคำสั่งเสียงเย็น “เปิดประตู!” เหล่าสาวใช้รีบคุกเข่าลงกับพื้น “โหร่วเฟยเพคะ แต่พระชายาไม่ให้ผู้ใดรบกวนนะเพคะ” “พวกเจ้ากล้าขัดขวางโหร่วเฟยหรือ ท่านอ๋องเป็นผู้รับสั่งให้โหร่วยเฟยมากล่าวคำทักทายแก่พระชายาเอง ท่านอ๋องเป็นผู้รับสั่ง เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ทำความสะอาดกลับกล้ามาขวางทางโหร่วเฟยงั้นหรือ ไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่” ผู้พูดหาใช่ใคร นางก็คือชุนหนิงสาวใช้หัวสูงข้างกายโหร่วเฟยนั่นเอง หัวใจของเสี่ยวจี๋ร่วงลงไปถึงตาตุ่มแล้ว หากเป็นรับสั่งจากท่านอ๋องจริงต่อให้พระชายาอยู่ที่นี่ก็คงไม่อาจห้ามได้ ประตูเรือนถูกเปิดออกตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนเดินเข้ามา เสี่ยวจี๋ยึดผ้าห่มไว้แน่นก่อนร่างกายนางจะสั่นเทามากกว่าเดิม ความร้ายกาจของโหร่วยเฟยนางรู้ดีตั้งแต่ยามที่อยู่จวนอุปราชแล้ว ภายนอกดูเป็นคนเรียบง่ายเข้าอกเข้าใจผู้อื่นทว่าภายในกลับร้ายกาจดั่งอสรพิษ นางสามารถคิดค้นวิธีการทรมานผู้คนได้มากกว่าพันวิธีเชียวล่ะ “พี่สาว!” เสียงของโหร่วเฟยดังขึ้นเหนือศีรษะของนาง ในน้ำเสียงที่เรียกกึ่งขบขันกึ่งเยาะเย้ยราวกับว่ารู้ว่าผู้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่ใช่พี่สาวของนางเป็นแน่ เสี่ยวจี๋กัดฟันแน่นไม่กล้าส่งเสียงออกไป นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับล่างกายของนางด้วยซ้ำ เสี่ยวจี๋แกล้งทำเป็นหลับเพราะนึกว่าเดี๋ยวนางคงจากไปเอง ชุนหนิงนางเห็นกับตาตนเองว่าชูเซี่ยแอบปลอมตัวเป็นสาวใช้หนีออกจากจวนไปแล้วมีหรือจะติดกับของเสี่ยวจี๋ แม้ว่านางจะไม่มั่นใจว่าผู้ที่นอนอยู่บนเตียงคือใครทว่านางมั่นใจถึงสิบส่วนว่าต้องไม่ใช่ชูเซี่ยอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอันใดทั้งสิ้น นางตัดสินใจกระชากผ้าห่มออกทันที เสี่ยวจี๋ตกใจลุกขึ้นมาก่อนจะรีบร้อนก้มลงไปคุกเข่าอยู่ข้างเตียงทันที “ถวายบังคมโหร่วเฟยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว!” หลิวมี่เหอส่งเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง “เจ้ากล้านัก นี่คือเตียงบรรทมของพระชายา เจ้าเป็นเพียงสาวใช้กลับกล้าปีนขึ้นไปนอน ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เด็กๆ จับสาวใช้ไม่ประมาณตนผู้นี้ไปเข้าคุกมืด!” เสี่ยวจี๋ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ คุกมืดประจำจวนแห่งนี้มีไว้สำหรับลงโทษนักโทษที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเท่านั้น ผู้ที่เข้าไปไม่ตายก็พิการ คนอย่างเสี่ยวจี๋แค่คุกเข่านานสักหน่อยก็ไม่มีแรงลุกขึ้นมาแล้วประสาอะไรกับให้นางเข้าไปอยู่ในคุกมืด นางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่เกินสองวันแน่ เสี่ยวจี๋กลัวจนใบหน้าซีดเผือด นางรีบโขกศีรษะตนเองกลับพื้นเพื่ออ้อนวอน “โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้ว” หลิวมี่เหอยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อหยุดคนที่กำลังจะมาลากเสี่ยวจี๋ออกไป ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “พระชายาไปที่ใด หากเจ้าตอบข้ามาตามตรงข้าก็จะละเว้นเจ้า หากเจ้ายังดื้อรั้นปากแข็งก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” เสี่ยวจี๋รู้ว่าหลิวมี่เหอรังเกียจเสี่ยวฉิงอย่างมากจึงไม่กล้ากล่าวออกไปว่าชูเซี่ยไปที่ใด นางจึงร้องไห้สั่นศีรษะ “หม่อฉันไม่กล้า พระชายากล่าวเพียงว่าจะออกไปข้างนอก แต่จะไปที่ใดหม่อมฉันไม่ทราบจริงๆเพคะ” “ไม่ทราบงั้นหรือ” หลิวมี่เหอเลิกคิ้ว “ช่างเป็นสาวใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเสียเหลือเกิน ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะขึ้นตรงกับผู้ใด แต่นี่คือจวนอ๋องหากข้านำเรื่องนี้ไปทูลแก่ท่านอ๋อง ดูเอาเถิดว่าท่านอ๋องจะจัดการกับเจ้าและนายของเจ้าเช่นไร” เสี่ยวจี๋ถูกคำพูดของนางทำให้ตื่นตระหนกจนใบหน้าไร้สีเลือด นางรีบเอ่ยขอร้อง “โหร่วเฟยได้โปรดอย่าทูลเรื่องนี้แก่ท่านอ๋องเลยนะเพคะ พระชายานาง...” “นางทำไมหรือ” ชุนหนิงก้มตัวลงมาใบหน้าฉายแววดุดันก่อนจะเหยียบต้นขาของเสี่ยวจี๋อย่างแรง เสี่ยวจี๋เจ็บจนต้องกัดฟันตนเอง “ยังไม่รีบพูดอีก” ชุนหนิงกดเสียงให้ต่ำลงก่อนจะใช้เท้าอีกข้างของนางเตะไปตรงท้องน้อยของเสี่ยวจี๋อย่างแรงหนึ่งครั้ง เสี่ยวจี๋เจ็บแต่ก็กัดฟันไม่กล้าร้องออกมาแม้แต่คำเดียว ในหัวของนางความเจ็บและความรู้ผิดชอบชั่วดีตีกันวุ่นวายไปหมด จนในที่สุดนางก็เผลอหลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว “พระชายาไปหาเสี่ยวฉิงเพคะ” หลิวมี่เหอกัดฟัน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเหี้ยม “จะไปหานางสารเลวผู้นั้นทำไมกัน” นางรู้สึกแค้นใจนัก ยามที่อยู่ในวังชูเซี่ยพูดเสียดิบดีว่าจะใจกว้างไม่คิดแก่งแย่งท่านอ๋องกับนาง ทว่ายามนี้เมื่อออกจากวังมาแล้วบาดแผลยังไม่ทันรักษาหายก็รีบร้อนไปตามหัวตัวเสี่ยวฉิงตั้งใจจะเปิดโปงสิ่งที่นางเคยทำเสียนี่ ช่างเป็นสุนัขลอบกัดเสียจริง เสี่ยวจี๋ส่ายหน้าอย่างแรง “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” สีหน้าของหลิวมี่เหอเปลี่ยนไป นางหัวกลับไปสั่งบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง “ตบปากของนาง!” บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งก้าวมาข้างหน้า “ให้กระหม่อมตบปากนางกี่ครั้งดีพะย่ะค่ะ” หลิวมี่เหอยิ้มเย็นชา “ตบจนกว่านางจะยอมพูดความจริงออกมา!” เสี่ยวจี๋ถูกสาวใช้สองนางกดร่างคุกเข่าลงกับพื้น บ่าวรับใช้ผู้รับคำสั่งก้าวมาข้างหน้าก่อนจะสะบัดมือตบหน้านางซ้ายขวาอย่างแรง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบยามบ่ายของจวนอ๋อง มีเสียงนกร้องแว่วอยู่บนท้องฟ้ากลับมีเสียงร้องขอความเมตตาอย่างแผ่วเบาลอยมาตามสายลม ยามนี้จากห้องบรรมทมอันแสนอบอุ่นกลับกลายเป็นห้องลงทัณฑ์อันแสนโหดร้ายไปเสียแล้ว เสี่ยวจี๋ถูกตบไปสิบกว่าครั้งจนเลือดกลบไปทั้งปากและจมูก ใบหน้าบวมเป่งและผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด ยามนี้นางชาหนึบไปทั้งหน้ามึนงงไปหมด เสี่ยวจี๋แต่เล็กจนโตไม่เคยถูกลงโทษรุนแรงเช่นนี้มาก่อนมาวันนี้กลับถูกลงโทษอย่างหนักเช่นนี้ ทว่าแม้นางอยากจะร้องไห้ออกมามากเพียงใดก็ไม่อาจร้องออกมาได้ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสารปนอนาถใจเหลือเกิน บ่าวรับใช้ผู้นั้นรู้สึกสงสารนางขึ้นมาจึงหยุดมือลงหลังจากตีไปเพียงสิบกว่าครั้ง บ่าวผู้นั้นหันกายกลับไปถามนายของตน “โหร่วเฟยพะย่ะค่ะ กระหม่อมยังต้องตีนางอีกหรือไม่” ชุนหนิงที่อยู่ข้างกายมาโดยตลอดผลักร่างของบ่าวรับใช้ผู้นั้นออก ก่อนดุ “พระสนมไม่ได้บอกให้เจ้าหยุดเจ้าจะถามทำไมให้มากความกัน มือไม้อ่อนปานนี้ไม่ได้กินข้าวมาหรือไร” กล่าวจบนางก็หยิบไม้บรรทัดไม้บนโต๊ะเข้ามาตบหน้าของเสี่ยวจี๋ต่อทันที เดิมทีไม้บรรทัดไม้นี้มามาไว้ใช้ในการตัดเย็บเสื้อผ้า ไม้บรรทัดนี่หนากว่าไม้บรรทัดทั่วไปอยู่เล็กน้อยเมื่อเสี่ยวจี๋ถูกตีต่อไป ยามนี้ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยเลือดช้ำกระจายไปทั่วหน้า ตีไปเพียงไม่กี่ครั้งใบหน้าของเสี่ยวจี๋ก็ปูดบวมไปหมดราวกับหัวหมูอย่างไรอย่างนั้น เหล่าสาวใช้ประจำเรือนเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ไม่อาจทนต่อไปได้ รีบร้อนกันเข้ามาขอร้องแทนเสี่ยวจี๋ เมื่อหลิวมี่เหอเห็นว่าเสี่ยวจี๋ถูกตีจนใบหน้ากลายเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกราวกับระบายความอัดอั้นไปได้ไม่น้อย “วันนี้ที่ข้าตบตีเจ้า หนึ่ง เป็นเพราะเจ้าไม่เจียมตัวปีนขึ้นไปนอนบนเตียงของพระชายา นั่นเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจยิ่งนัก สอง พระชายาบาดเจ็บอยู่เจ้ายังปล่อยให้นางหนีออกไปนอกจวน หากเกินเรื่องอันใดขึ้นกับนางเจ้าจะรับผิดชอบไหวงั้นหรือ ดังนั้นการลงโทษครั้งนี้ข้าลงโทษแทนนายของเจ้าที่อ่อนแอเกินกว่าจะเข้มงวดกับเจ้า เจ้าพอใจหรือไม่ หากไม่พอใจก็ไปพบท่านอ๋องด้วยกันกับข้า แต่ท่านอ๋องจะลงโทษเจ้าเช่นไรข้าก็ไม่กล้ารับประกันหรอกนะ” ในใจของเสี่ยวจี๋รู้สึกโศกเศร้ามาก ทว่าแม้แต่ร้องไห้นางยังไม่กล้าร้องออกมา จึงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี “ไม่กล้า โหร่วเฟยช่างปรานีต่อหม่อมฉันยิ่งนัก หม่อมฉันมีหรือจะไม่พอใจ” หลิวมี่เหอพยักหน้าอย่างพอใจ “พอใจก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็รู้จักสงบปากสงบคำอย่าได้โพนทะนาไปทั่วเล่า หากเรื่องนี้หลุดไปถึงหูท่านอ๋อง รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวจี๋ก้มตัวลงก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแหบแห้ง “หม่อมฉันรับทราบ เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นผู้กระทำผิด พระสนมลงโทษหม่อมฉันเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง พระสนมลงโทษหม่อมฉันตามกฎของจวนอ๋องไปเรื่องที่เหมาะสมแล้วเพคะ วันหน้าหม่อมฉันไม่กล้าแล้ว หม่อมฉันจะไม่ให้เรื่องนี้หลุดไปถึงหูท่านอ๋องอย่างแน่นอนเพคะ” ชุนหนิงยิ้มเยาะออกมาก่อนจะเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ในใจรู้จักคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว พระสนมไม่สั่งให้จับเจ้าเข้าคุกมืดก็เป็นพระคุณหนักหนาแล้ว เจ้าต้องระลึกถึงพระคุณนี้ไว้ให้ดีเชียวเข้าใจหรือไม่” กล่าวจบก็ค่อยเดินไปพยุงร่างของหลิวมี่เหอก่อนจะเอ่ยเสียงประจบ “พระสนมเพคะ พวกเรากลับกันเถิด ท่านอ๋องทรงรอให้ท่านกลับไปหาอยู่นะเพคะ” หลิวมี่เหอรับคำก่อนจะเดินออกไปอย่างเย็นชา 
已经是最新一章了
加载中