ตอนที่ 46 ลงมือช่วย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 46 ลงมือช่วย
ต๭นที่ 46 ลงมือช่วย เสี่ยวจี๋ค่อยๆทรุดกายลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ก่อนจะร้องไห้ออกมา ทว่านางก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาเสียงดังนักเกรงว่าหลิวมี่เหอได้ยินจะย้อนกลับมาหาเรื่องนางอีก สาวใช้รีบเข้ามาพยุงร่างของเสี่ยวจี๋ให้ลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยปลอบโยน “พี่เสี่ยวจี๋ไม่ต้องเสียใจไปหรอก รอพระชายากลับมาก่อนเถิด นางต้องออกหน้าให้ท่านแน่” เสี่ยวจี๋กลั้นน้ำตาก่อนจะส่ายศีรษะ “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ห้ามพวกเจ้าบอกพระชายาเด็ดขาด ยากนักที่ความสัมพันธ์ของพระชายาและท่านอ๋องจะดีเช่นนี้ได้ บัดนี้ท่านอ๋องไม่มีท่าทีรังเกียจรังงอนพระชายาอีกแล้ว ถ้าหากเรื่องของข้าทำให้พระชายาและโหร่วเฟยมีเรื่องกันล่ะก็ท่านอ๋องไม่มีทางที่จะเข้าข้างพระชายาเป็นอันขาด อีกอย่างเรื่องในวันนี้ทางเราเป็นฝ่ายผิดก่อน ท่านอ๋องเคยกล่าวไว้ว่าไม่ให้พระชายาไปที่ใดทั้งสิ้น ให้นางรักษาบาดแผลจนหายดีเสียก่อน หากท่านอ๋องทราบว่าพระชายาดื้อรั้นไม่ฟังที่ท่านอ๋องรับสั่งจะต้องโมโหมากเป็นแน่” เหล่าสาวใช้ต่างกังวล “แต่ว่าต่อให้พวกเราไม่พูด โหร่วเฟยก็ต้องนำเรื่องที่พระชายาแอบหนีออกนอกจวนไปบอกกล่าวให้ท่านอ๋องฟังอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อย่างไรเสียท่านอ๋องก็ทรงรู้อยู่ดี” เมื่อเสี่ยวจี๋ลองนึกดูแล้ว นางก็โศกเศร้ามากกว่าเดิม “อ้า เช่นนั้นทำเช่นไรดี พระชายาและท่านอ๋องเพิ่งจะดีกันไม่กี่วันเท่านั้น ช่างทำให้ผู้อื่นกังวลเสียจริง” ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “หากท่านอ๋องทราบเรื่องที่พระชายาหนีออกนอกจวนจะต้องโมโหมากแน่ และหากว่าพระชายาต้องมีเรื่องกับโหร่วเฟยเพราะเรื่องของข้าจนจวนอานหนิงไม่สงบแล้วล่ะก็ท่านอ๋องยิ่งต้องไม่ยอมเป็นแน่ ดังนั้นเรื่องที่โหร่วเฟยลงโทษข้าในวันนี้อย่าได้ให้พระชายาทรงทราบเป็นดีที่สุด” สาวใช้เหลือบมองใบหน้าของเสียวจี๋ “ต่อให้ไม่พูด เมื่อพระชายาเห็นหน้าท่านเป็นเช่นนี้ก็ทรงถามขึ้นมาอยู่ดี ถึงตอนนั้นย่อมต้องรู้แน่ว่าท่านถูกตบตีไม่ใช่หรือ” เสี่ยวจี๋เอื้อมมือมาแตะใบหน้าของตนเบาๆ น้ำตาก็ค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม นางยิ้มขมขื่น “ข้าก็บอกว่าตัวเองขึ้นผืนแดงเสียก็สิ้นเรื่อง พวกเจ้าก็หาผ้าปิดหน้ามาให้ข้าสักผืนก็แล้วกัน ต้องโกหกพระชายาได้แน่” เหล่าสาวใช้เมื่อเห็นเสี่ยวจี๋เป็นเช่นนี้ก็รู้สึกละอายใจนักที่ไม่สามารถช่วยอะไรนางได้ ทว่ากว่าพระชายาและท่านอ๋องจะดีกันได้ถึงขั้นนี้ช่างยากนัก แม้แต่พวกนางที่วันๆทำความสะอาดยังจับสังเกตได้ ทุกคนในจวนต่างก็ไม่อยากให้ทั้งคู่กลับมาหมางเมินกันดั่งเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ทว่าจะให้พี่เสี่ยวจี๋ถูกลงโทษทั้งๆที่ไม่ได้เป็นความผิดของนางก็รู้สึกไม่ยุติธรรมไปเสียหน่อย จึงทำได้เพียงปลอบโยนนางโดยการช่วยใส่ยาทำแผลให้อย่างดี เพียงเท่านี้ก็ทำให้เสี่ยวจี๋รู้สึกซาบซึ้งมากโขแล้วว เรือนหรูอี้ไม่เคยมีความสามัคคีและเห็นใจกันเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ด้านชูเซี่ยและมามาหลังจากออกจากจวนอ๋องก็ซื้อข้าวของบางอย่างไว้ก่อนจะเดินทางไปบ้านของเสี่ยวฉิง ทว่าความจริงแล้วมามากลับไม่แน่ใจนักว่าบ้านเสี่ยวฉิงอยู่ที่ใดกันแน่ จึงทำเพียงเดินค้นหาไปรอบๆจนเสียเวลาอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามถึงจะทราบที่อยู่ที่แน่ชัดของเสี่ยวฉิง บ้านของเสี่ยวฉิงตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง ที่แห่งนี้เป็นชุมชนเก่าและแอดอัด ตลอดทางที่เดินทางมาชูเซี่ยผ่านบ้านเรือนที่สวยงามมามากมายเมื่อนางมาเห็นหมู่บ้านแห่งนี้ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความสวยงามและความเจริญกลับมีสถานที่ที่น่าสงสารเช่นนี้อยู่ด้วย บ้านของเสี่ยวฉิงถูกสร้างขึ้นจากแผ่นไม้ดูเรียบง่ายและทรุดโทรม เมื่อมาถึงหน้าบ้านของเสี่ยวฉิงชูเซี่ยก็เห็นว่านางเดินออกมาจากบ้านพร้อมถังน้ำพอดี เมื่อเสี่ยวฉิงเงยหน้าขึ้นมามองพบว่าเป็นชูเซี่ยก็รู้สึกรังเกียจนัก ยามนั้นนางถูกขับไล่ออกจากจวนก็เป็นเพราะหลิวหยิงหลงเป็นผู้มีส่วนทำให้นางถูกขับไล่ออกมา ดังนั้นเสี่ยงฉิงจึงทำเพียงยืนนิ่งๆหน้าประตูบ้านของตนไม่ได้โค้งคำนับแต่อย่างใด ยามนี้นางไม่ใช่สาวใช้ในจวนอ๋องอีกแล้ว นางเท้าสะเอวก่อนหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “ห๊า เหตุใดวันนี้จึงมีคุณหนูผู้สูงศักดิ์มายืนที่หน้าบ้านข้าเสียได้” มามาตั้งใจจะเอ่ยปากสั่งสอนนางทว่าชูเซี่ยกลับหยุดนางไว้เสียก่อน ชูเซี่ยเอ่ยกับนางอย่างสุภาพ “เจ้าคงจะเป็นเสี่ยวฉิงใช่หรือไม่ อย่าได้เข้าใจผิดไป พวกเราไม่ได้มาหาเรื่องเจ้าหรอก ข้าเพียงแต่ต้องการพบบิดาของเจ้าก็เท่านั้น ท่านลุงเล่าอยู่ที่ใด” เมื่อเสี่ยวชิงเห็นว่าชูเซี่ยพูดจาดีต่อนางทั้งยังเอ่ยเรียกบิดาของตนว่าลุงก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างดังนั้นจึงไม่ได้แสดงท่าทีเสียมารยาทเช่นเมื่อครู่อีก นางโค้งกายเล็กน้อยให้ชูเซี่ย “หากพระชายาไม่รังเกียจว่าบ้านข้าทรุดโทรมก็เข้ามานั่งเถิด!” ชูเซี่ยและมามาเดินตามเสี่ยวฉิงเข้ามาในบ้าน บ้านของเสี่ยวฉิงทรุดโทรมจริงทว่าก็ไม่ได้เล็กเลยแม้แต่น้อย เป็นบ้านขนาดกลางข้าวของถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย ตรงหลานมีเสื้อผ้าจำนวนมากแขวนอยู่ ดูเป็นเนื้อผ้าราคาแพงไม่ใช่เสื้อผ้าของคนจนอย่างแน่นอน เสี่ยวฉิงเห็นว่าชูเซี่ยมองสำรวจเสื้อผ้าเหล่านั้นอย่างสนอกสนใจก็เอ่ยเสียงราบเรียบ “เสื้อผ้าพวกนี้ ข้ารับของผู้อื่นมาซักทำความสะอาดเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแลกกับเงินอันน้อยนิด” ชูเซี่ยตกตะลึง แม้ว่าเสี่ยวฉิงผู้นี้จะมีข้อบกพร่องอยู่มากมายก็ตาม ทว่าหากพูดตามจริงแล้วบนโลกนี้ก็มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น แม้ว่าเราไม่อยากจะยอมรับมันเราก็ไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็ต้องเอาตัวเองให้รอด ดังนั้นเมื่อนางมาพบเจอเสี่ยวจี๋ในสภาพนี้แม้นางจะละอายใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก ยามที่เดินผ่านลานบ้านไปยังห้องชั้นในก็มีกลิ่นของยาลอยมาพร้อมกับกลิ่นหืนของบางอย่างที่เหม็นเน่าลอยมาตามลม เมื่อมามาได้กลิ่นก็รู้สึกคลื่นไส้ผะอืดผะอมขึ้นมาจนต้องหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหายใจเข้าออก ในเรือนภายในมีห้องสองห้องถูกออกแบบให้หันหน้าเข้าหากัน ห้องโถงมีความกว้างราวๆเจ็ดถึงแปดตารางเมตร มีโต๊ะไม้เก่าๆและเก้าอี้ที่ทำจากไม้ใผ่อยู่สามตัว ตรงข้ามกับประตูทางเข้ามีแท่นบูชาและป้ายวิญญาณบรรพบุรุษตั้งอยู่ กลิ่นของยาผสมกับกลิ่นเหม็นเน่าลอยมาทางห้องฝั่งซ้าย เสี่ยวฉิงดูปกติราวกับว่านางคุ้นชินต่อกลิ่นนี้เสียแล้ว นางคงดมกลิ่นนี้ทุกวันจนไม่รู้สึกว่าเหม็น ชูเซี่ยหันกายกลับไปมองมามาก็รู้สึกสงสารจึงเอ่ยขึ้น “เราออกไปนั่งคุยตรงลานหน้าบ้านกันเถิด” ชูเซี่ยให้มามาวางข้าวของไว้บนโต๊ะไม้ “ข้าได้ยินมาว่ามารดาของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรงจึงซื้อข้าวของมาเยี่ยม เจ้าไม่ต้องเกรงใจไปหรอกนะ” เสี่ยวชิงตกใจมองมาทางชูเซี่ย หากว่ากันตามจริงแล้วแค่พระชายาเช่นนางมาเยือนถึงหน้าเรือนก็ประหลาดใจมากพออยู่แล้ว ยังมีน้ำเสียงอ่อนโยนที่พระชายาเอ่ยต่อนางอีก ไม่เพียงเท่านั้นนางยังมีข้าวของมาเยี่ยมไข้มารดาของตนอีกด้วย การที่นางมาเยือนครั้งนี้ต้องมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอย่างแน่นอน นางแอบคิดในใจว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าพระชายาต้องการให้นางกลับจวนอ๋องเพื่อเปิดโปงความชั่วร้ายของสนมโหร่วเฟย นั่นเป็นความเป็นไปได้มากที่สุด สตรียามที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันไม่ว่าแผนการชั่วร้ายเพียงใดก็สามารถทำออกมาได้ทั้งนั้น เสี่ยวชิงเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “วันนี้พระชายามาเยือนถึงเรือน คงไม่ใช่เพียงแค่มาดูความเป็นอยู่ของข้ากระมัง” แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะบอกตั้งแต่อยู่หน้าเรือนแล้วว่ามาตามหาบิดาของตน แต่พระชายาไม่เคยรู้จักกับบิดาของนางมาก่อนจึงไม่ได้แค่มาหาบิดานางง่ายได้เช่นนี้กระมัง ทั้งนางยังมาด้วยตนเองอีกด้วย นางเป็นสาวใช้ในจวนอ๋องมานานเรื่องราวเช่นนี้นางย่อมดูออก “ข้าก็บอกไปแล้วว่าต้องการพบบิดาของเจ้า” ชูเซี่ยตอบ เสี่ยวฉิงยิ้มเย็น วันนี้พระชายาคงมาขอร้องนางกระมัง ยิ่งนางคิดเช่นนั้นความกล้าก็มีมากขึ้นจึงกระตุกยิ้มอย่างเย้ยหยัน “พระชายามีอะไรให้ข้าช่วยก็พูดออกมาตามตรงเถิด ขอแค่ข้อเสนอท่านดีจะให้ข้าทำอะไรก็ย่อมได้” แต่ไรมานางก็ไม่ใช่ผู้มีคุณธรรมสูงส่งอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ใช่ผู้มีเมตตา นางยังต้องออกเรือนคลอดบุตร เงินทองยังจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ในบางครั้งต่อให้ผิดต่อมโนธรรมนางก็ต้องยอมทำ ชูเซี่ยเป็นคนเรียบง่ายอยู่แล้ว นางตั้งใจจะมาหาบิดาของเสี่ยวฉิงจึงไม่คิดว่าเสี่ยวฉิงจะตีจุดประสงค์การมาของนางเป็นอื่นไปได้ เมื่อได้ยินเสี่ยวฉิงเอ่ยออกมานางก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายมีความคิดเช่นไร นางก็โบกมือปฎิเสธพัลวัน “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาตามหาบิดาของเจ้าจริงๆ ข้ามีของอย่างหนึ่งอยากให้บิดาของเจ้าช่วยทำให้สักหน่อย เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วงค่าจะให้สูงกว่าราคาในตลอดแน่นอน” ดวงตาของเสี่ยวจี๋เบิกกว้าง “พระชายาจะให้บิดาข้าทำสิ่งใดหรือ ถนนเส้นนี้ตลอดทางมีช่างตีเหล็กอยู่รายหลายเหตุใดจึงเจาะจงว่าต้องเป็นบิดาข้า” ชูเซี่ยพูดช้าๆชัดๆ “ของที่ข้าจะให้บิดาเจ้าทำให้ค่อนข้างซับซ้อน ข้าเกรงว่าช่างตีเหล็กภายนอกจะไม่ยอมรับคำขอของข้า” เสี่ยวจี๋เงียบไปสักพักก่อนจะเงยหน้ามองชูเซี่ย ใบหน้าของนางฉายแววเหน็ดเหนื่อยและผมเผ้ายุ่งเหยิง เอ่ยเสียงเบา“ขอเพียงได้เงิน ไม่ว่าซับซ้อนเพียงใดบิดาข้าย่อมสามารถทำออกมาได้” ชูเซี่ยยิ้มอย่างพอใจ “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก บิดาเจ้าเล่า เรียกเขาออกมาคุยกับข้าหน่อยเถิด” “อีกไม่นานพ่อข้าก็กลับมาแล้ว พระชายาโปรดรอสักครู่ ข้านี่ช่างไม่มีมารยาทเสียเลย พวกท่านก็มาตั้งนานแล้ว ข้าต้องรีบไปต้มชามาต้อนรับพวกท่านเสียก่อน” คล้อยหลังเสี่ยวฉิงไปภายในห้องก็มีเสียงดังออกมา เป็นเสียงของหญิงสาวที่เอ่ยออกมาเสียงแหบแห้ง “เสี่ยวฉิง...” หางเสียงของนางถูกลากยาวก่อนจะหลายเป็นเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด ชูเซี่ยนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปตามเสียง ทว่ามามากลับดึงแขนนางไว้เสียก่อน มามาเอ่ยห้ามนางเสียงเบา “ระวังติดโรคนะเพคะพระชายา พวกเรายังไม่ทราบว่าแน่ชัดว่านางเป็นโรคอะไรนะเพคะ” ชูเซี่ยไม่สนใจ “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย” มามาเห็นว่านายหญิงของตนเดินเข้าไปมีหรือนางจะไม่ยอมตามไปด้วย ภายในห้องมืดสลัวเพราะไม่มีหน้าต่าง บนโต๊ะภายในห้องมีตะเกียงวางอยู่แสงไฟเม็ดเท่าเม็ดถั่วจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น บนโต๊ะข้างเตียงสะอาดสะอ้านมีถ้วยยาวางไว้ มีกระโถนวางไว้อยู่ปลายเตียง ภายในห้องมีกลิ่นของปัสสาวะและกลิ่นเหม็นเน่าอบอวลอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกคลื่นไส้ กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากบนเตียง ชูเซี่ยเดินเข้าไปดูก็พบว่าบนเตียงมีหญิงวัยกลางคนท่าทางขี้โรคซีดเซียว ผมเผ้าของนางกระจัดกระจายอยู่บนหมอน แม้จะย่างเข้าช่วงเดือนแปดเดือนเก้าแต่นางก็ยังใช้ผ้าห่มผืนหนา มือของหญิงสาวนางนั้นพยายามพยุงกายลุกขึ้นเพื่อมองดูผู้ที่เข้ามาในห้อง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ขนธที่มามาเองก็ตกใจเช่นกัน หญิงสาวนางนี้ผอมซูบเซียวราวกับภูติผีทีเดียว ชูเซี่ยเอื้อมมือมาจับมือของหญิงสาวบนเตียงไว้ ก่อนจะใช้สองนิ้วจับชีพจรของผู้ป่วย แม้นางจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนแต่ทักษะการจับชีพจรนางก็นับว่าใช้ได้ เมื่อลองจับชีพจรดูนางก็รู้สึกว่าชีพจรของคนตรงหน้าเต้นอ่อนแรง ร่างกายของหญิงวัยกลางคนผู้นี้อ่อนแออย่างมาก หญิงสาวนางนั้นเอ่ยถามขึ้น “ท่านเป็นใคร” ชูเซี่ยเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “ท่านป้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจออกมาหนักๆ “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องตามท่านหมอมาดูอาการข้า ต้องใช้เงินทองมากมายไม่ใช่หรือ ปล่อยให้ข้าตายๆไปก็จบ” ชูเซี่ยเอ่ยเสียงเบา “ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยกันทั้งนั้น ผู้ใดจะอยากตายกันเล่า ท่านป้าบอกข้ามาเถิดว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง” “พวกท่านทำอะไรกัน” เสี่ยวฉิงรีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้อง เมื่อนางเห็นว่าชูเซี่ยจับมือมารดาของนางอยู่ก็ยิ่งร้อนใจถามขึ้น มามาเอ่ยเสียงเรียบ “มารดาของเจ้าเรียกหาเจ้า พระชายาได้ยินจึงเดินเข้ามาดู” เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินที่มามาพูดก็เบิกตากว้าง เอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก “พระ...ชายา พระชายามาหรือ สวรรค์ เสี่ยวฉิง เร็วเข้า รีบเชิญพระชายาไปนั่งข้างนอกก่อน ที่นี่ไม่เรียบร้อย สกปรก...” คงเพราะรีบร้อนพูดมากเกินไปทำให้เสมหะติดคอของนางจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำเพราะหายใจไม่ออก ชูเซี่ยเห็นว่านางหายใจไม่ออกก็รีบร้อนพยุงนางลุกขึ้นมานอนบนตักมือบางก็คอยลูบหลังนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับเสี่ยวฉิง “เจ้าไปเอาน้ำเข้ามา” เสี่ยวฉิงเห็นการกระทำของชูเซี่ยก็ตกใจนิ่งอึ้งไปก่อนจะตั้งสติทำตามที่ชูเซี่ยสั่งรีบวิ่งไปตักน้ำเปล่ามาถ้วยหนึ่ง เสี่ยวฉิงตั้งใจว่าจะพยุงมารดาตนเองมาดื่มน้ำทว่าถ้วยในมือกลับถูกชูเซี่ยหยิบไปถือเองเสียก่อน ชูเซี่ยค่อยๆป้อนน้ำมารดาเสี่ยวฉิงอย่างช้าๆ แม่ของเสี่ยวชิงก็พยายามถอยห่างจากนางด้วยเกรงว่าจะทำให้เสื้อผ้าของชูเซี่ยสกปรก ทว่าชูเซี่ยกลับไม่ยอมปล่อย “ท่านป้า ดื่มน้ำก่อนเถิด!” เมื่อมารดาของเสี่ยวฉิงทนไม่ไหวนางก็พยายามจะยื้อยุดถ้วยน้ำมาถือไว้เองทว่าก็ไม่สามารถสู้แรงชูเซี่ยได้ นางจึงยอมดื่มน้ำจากมือของชูเซี่ยแต่โดยดี 
已经是最新一章了
加载中