ตอนที่ 47 เจอเพื่อนเก่าที่บ้านอื่น
1/
ตอนที่ 47 เจอเพื่อนเก่าที่บ้านอื่น
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 47 เจอเพื่อนเก่าที่บ้านอื่น
ตนที่ 47 เจอเพื่อนเก่าที่บ้านอื่น ดังนั้นเสี่ยวฉิงจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าพระชายาแต่โดยดี พวกนางสองแม่ลูกก้มลงคุกเข่าต่อหน้าชูเซี่ยเพื่อขออภัยโทษ เสี่ยวชิงเอ่ยคำสารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง “ครานั้นเป็นหม่อมฉันเองเพคะที่ใส่ร้ายพระชายาแต่ทั้งหมดนั้นเป็นโหร่วเฟยเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าขัดนางจึงได้แต่ยอมก้มหน้าก้มตาทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมเช่นนั้น หม่อมฉันทำเรื่องผิดต่อพระชายามากมายนัก ขอพระชายาทรงลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ” ชูเซี่ยพยุงนางขึ้นมา “เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปแล้ว ข้าไม่ถือโทษโกรธแล้วล่ะ” เมื่อเสี่ยวฉิงเห็นว่านางจิตใจกว้างขวางในใจก็ยิ่งเกิดความรู้สึกผิด ความมีน้ำใจและใจกว้างของพระชายาเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดพาความหอมหวานเข้าสู่ใจของนาง ยามนี้นางยอมรับและเปิดใจให้พระชายาอย่างไม่มีข้อแม้ใดใด ชูเซี่ยถามไถ่ถึงอาการป่วยของมารดาเสี่ยวฉิง เสี่ยวฉิงจึงค่อยๆเอ่ยออกมาอย่างเศร้าสร้อย “อาการป่วยของท่านแม่เป็นมานานมากแล้ว นับตั้งแต่พี่ชายของข้าถูกคนกระทืบตาย นางก็มักจะสติล่องลอยและดูเศร้าสร้อยอยู่ตลอดเวลา มีอยู่วันหนึ่งนางเห็นหมวกฟางที่พี่ชายข้ามักจะใส่ออกไปทุ่งนาเป็นประจำก็เกิดคลั่งเสียสติขึ้นมาวิ่งเตลิดออกไปเพื่อไปดูหลุบศพพี่ชายของข้า แต่ระหว่างทางเกิดโดนวัวชนเข้าทำให้นางล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนขาซ้ายเป็นแผลใหญ่และเลือดไหลนองราวกับสายน้ำ ข้าเคยเชิญท่านหมอมาดูอาการ ทว่าบาดแผลบางครั้งก็ดีขึ้นแต่บางครั้งกลับแย่ลง ยามที่รักษาจำเป็นต้องใช้ยาแรง ท่านหมอเคยมาดูอาการแล้วแต่ก็วินิจฉัยอาการไม่ได้ มารดาข้ามีอาการหายใจลำบากอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางมักจะเจ็บช่องอกอยู่เสมอ บางครั้งหากอาการกำเริบขึ้นมาก็เกือบตายได้เลยเพคะ ค่ายาที่ใช้รักษาก็แพงแสนแพง จะให้ได้ผลดีที่สุดก็เห็นจะเป็นโสม หากอาการกำเริบขึ้นมาก็จำเป็นต้องอมแผ่นโสมไว้ใต้ลิ้นจึงจะผ่านมันไปได้” นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองมาทางชูเซี่ย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “โหร่วเฟยเองก็ทราบเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงมักจะใช้โสมมาติดสินบนหม่อมฉันให้ยอมทำตามที่นางสั่งเพคะ” หลังประโยคสุดท้ายนางที่นางกล่าวออก นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปอีกเลย เสี่ยวฉิงได้แต่ก้มหัวลงด้วยความอัปยศอดสู่ ยามนี้ชูเซี่ยเข้าใจถึงความยากลำบากของเสี่ยวฉิงแล้ว นางถอนหายใจออกมา “ลำบากเจ้าแล้ว!” เด็กสาวกตัญญูผู้หนึ่ง นิสัยก็ไม่ได้เลวร้าย แต่บางครั้งชีวิตของนางก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก นางหันหลังไปกล่าวกับมามา “ข้าออกจากวังมาครั้งนี้ มีของพระราชทานเป็นโสมพันปีเส้นหนึ่ง พรุ่งนี้เจ้าส่งมาที่นี่ แต่แผลที่ขาอักเสบจนกลายเป็นหนองแล้วหรือยัง” เสี่ยวฉิงพยักหน้าขึ้นลง “ยามนี้แผลเน่าเป็นหนองทั้งหมดเพคะ” ชูเซี่ยเอื้อมมือไปเลิกผ้าห่มเพื่อจะดูแผลทว่ากลับถูกมือของเสี่ยวฉิงหยุดไว้ก่อน “พระชายาอย่าดูเลยเพคะ เดี๋ยวพระองค์จะหวาดกลัวได้” ชูเซี่ยยิ้มขำ “มีอะไรน่าหวาดกลัวกัน” นางเคยเห็นมาเยอะแล้ว จำได้ว่าในสมัยก่อนที่นางประจำอยู่ห้องฉุกเฉินไม่ว่าบาดแผลจะร้ายแรงหรือน่าหวาดกลัวเพียงใดนางก็เคยเห็นมาหมดแล้ว บาดแผลเพียงเท่านี้ไม่ทำให้นางหวาดกลัวอย่างแน่นอน นอกจากเสี่ยวฉิงจะพยายามห้ามนางแล้ว มารดาของเสี่ยวฉิงหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมให้พระชายาดูบาดแผลของตนด้วยเกรงว่านางจะหวาดผวาเอาได้ ชูเซี่ยไม่กล้าฝืนใจผู้อาวุโสกว่าตนจึงได้แต่ยอมจำนน “พรุ่งนี้ข้าจะให้หมอหลวงมาดูอาการมารดาของเจ้าก็แล้วกัน” เสี่ยวชิงมองอย่างตกตะลึง ประโยคนี้ชูเซี่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังเลย ทว่าสำหรับเสี่ยวฉิงแล้วเสียงนี้ราวกับเสียงของสวรรค์ที่ลงมาโปรดนาง เสี่ยวฉิงคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะร้องไห้โฮออกมา “ชีวิตของหม่อมฉันต่อจากนี้จะเป็นของพะชายาแต่เพียงผู้เดียว พระชายามีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้ต่อให้บุกน้ำลุยไฟหม่อมฉันก็ยินดี” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคุกเข่าอยู่เช่นนั้นไม่ยอมขยับชูเซี่ยก็รู้สึกหมดหนทาง นางไม่มีเวลามาเล่นอะไรไร้สาระพวกนี้อีกแล้ว หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าทำเช่นนี้เพราะหวังผลจากเจ้า นั่นก็คือข้ามีเรื่องให้บิดาของเจ้าช่วยเหลือ” เสี่ยวฉิงปาดน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ยอย่างซาบซึ้ง อย่าว่าแต่เชิญหมอหลวงมารักษามารดาของนางเลย ลำพังแค่โสมหมื่นปีที่พระชายามอบให้นางก็เพียงพอที่จะให้บิดานางรับใช้พระชายาถึงสิบชาติแล้ว เสี่ยวชิงทราบดีว่าพระชายาเอ่ยออกมาเช่นนี้ก็เพียงเพื่อให้นางรู้สึกสบายใจ ไม่นานนักบิดาของเสี่ยวชิงก็กลับมา เมื่อเขาทราบเรื่องราวทั้งหมดจากบุตรสาวก็รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของพระชายายิ่งนัก ชายหนุ่มก้มลงมองกระดาษที่ชูเซี่ยให้เขาดูสักครู่ก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ของสิ่งนี้ ใช่รถเข็นหรือไม่” ชูเซี่ยชะงัก “ท่านรู้จักหรือ” บิดาของเสี่ยวฉิงเอ่ยตอบ “ข้าน้อยเคยเห็นมันมาก่อน เมื่อก่อนมีคุณชายท่านหนึ่งเคยมาหาข้า เขาร่างแบบรถเข็นมาให้ร้านของพวกข้าดูเช่นกันให้พวกข้าช่วยตีเหล็กออกมาให้มีรูปร่างเช่นนี้ รถเข็นที่เขาสั่งให้พวกข้าทำมีรูปลักษณ์ประหลาดนัก สามารถยืดหดได้ นึกไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะออกแบบเช่นนี้ออกมาได้” รถเข็นปรับยืน สวรรค์ ชูเซี่ยตกตะลึงยิ่งนัก หรือว่าในสมัยนี้ก็มีผู้คิดค้นเก้าอี้ปรับยืนได้แล้วหรือนี่ เท่าที่นางทราบมา ในยุคของนาง ต่างประเทศเพิ่งจะมีการคิดค้นรถเข็นนี้ขึ้นมา รถเข็นชนิดนี้สามารถปรับให้ตั้งตรงเพื่อให้ผู้ที่นั่งมันสามารถยืนขึ้นได้ แต่เพราะต้นทุนค่อนข้างแพงจึงไม่ได้รับความนิยมมากนัก “คุณชายท่านนั้นอยู่ที่ใดกัน ท่านลุงพาข้าไปพบเขาได้หรือไม่” ชูเซี่ยรู้สึกตื่นเต้น ยามนี้ใจใจของนางเกิดความหวังขึ้นมา นางรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก บางทีในครั้งนี้นางอาจไม่เพียงแค่ค้นพบรถเข็นปรับยืนเพียงอย่างเดียวแต่นางอาจพบคนที่หลงยุคแบบนางก็เป็นได้ “ขอรับ ขอรับ รถเข็นคันนั้นยังอยู่ที่ร้านของข้าน้อย เถ้าแก่ร้านลุงทุนทำล้อเหล็กและราวเหล็กด้วยตนเองเลยทีเดียว คุณชายท่านนั้นกล่าวว่าเย็นนี้จะมารับของไป หากรีบไปตั้งแต่ตอนนี้อาจจะทันได้พบขอรับ” บิดาของเสี่ยวฉิงลุกขึ้นทันทีก่อนจะมอบหมายให้เสี่ยวฉิงดูแลบ้านให้ดี จากนั้นก็นำทางชูเซี่ยและมามาออกจากบ้านไป เมื่อกลับมาถึงร้าน บิดาของเสี่ยวฉิงก็เอ่ยถามเถ้าแก่ร้าน “เถ้าแก่ คุณชายเฉินมารับรถเข็นไปหรือยังขอรับ” เถ้าแก่ร้านลอบมองประเมินเสื้อผ้าและการแต่งกายของชูเซี่ย เมื่อมองพิจารณารูปโฉมของนางกับการแต่งกายแบบคุณหนูผู้ดีก็ไม่กล้าเสียมารยาท “เพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่ ท่านหญิงผู้นี้ก็มาเพื่อทำรถเข็นเช่นกันหรือ” บิดาของเสี่ยวฉิงเอ่ยตอบแทน “ใช่แล้ว ฮูหยินท่านนี้ต้องการทำรถเข็นแบบเดียวกัน ไม่พูดต่อแล้ว พวกเรายังต้องรีบตามคุณชายเฉินเสียก่อน” เมื่อกล่าวจบเขาก็รีบวิ่งนำชูเซี่ยและมามาออกไปข้างนอก ตลอดระยะทางที่วิ่ง บิดาของเสี่ยวฉิงเห็นว่าชูเซี่ยสามารถวิ่งตามเขาได้อย่างสบายๆทั้งยังไม่ได้ลดฝีเท้าลงก็รู้สึกมึนงงว่าพระชายาเอาเรี่ยวแรงเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ครั้นเมื่อจะเอ่ยปากถามขึ้น ทันใดนั้นเขาก้เห็นว่ามีรถม้าวิ่งเหยาะๆไปทางหัวมุมตะวันตก บิดาของเสี่ยวชิงรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง เขารีบเร่งฝีเท้าขึ้น “คุณชายเฉิน โปรดรอสักเดี๋ยว” รถม้าค่อยๆหยุดลง บิดาของเสี่ยวชิงรีบร้อนวิ่งเข้าไป ผู้ที่นั่งอยู่บนรถม้าค่อยๆเลิกผ้าม่านขึ้นเอ่ยถาม “ท่านลุงช่างตีเหล็กมีอะไรกับข้าหรือ” ชูเซี่ยตามมาทันในทีสุด ชายหนุ่มตรงหน้านางสวมใส่เสื้อผ้าสีเขียว หน้าตาสดใส ทรงผมตัดสั้น แม้ว่าทรงผมจะสั้นแต่ก็ยังคงผูกผ้าคาดหัวสีดำไว้สองสามเส้น ดูๆไปเขาก็มีท่าทางหยิ่งทระนงอยู่บ้าง ชายหนุ่มมีสร้อยเงินเป็นจี้รูปกระสุนห้องอยู่ที่หน้าอก เครื่องประดับเช่นนี้ ลูกกระสุน เขาจะใช่คนยุคปัจจุบันเหมือนนางหรือไม่นะ ชูเซี่ยมองบุรุษผมสั้นตรงหน้า ดวงตาของนางแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว นางมองชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยกระซิบเสียงเบา “คุณชายท่านนี้ ท่านสามารถให้เบอร์มือถือข้าไว้ติดต่อกันได้หรือไม่” ชายหนุ่มตรงหน้าชะงักกึก จ้องมองนางเขม็ง ถนนทางตะวันตกเงียบสงบไร้ผู้คน เพราะแถวนี้เป็นย่านอยู่อาศัยของผู้คน ดังนั้นนอกจากเจ้าของบ้านเดินทางกลับบ้านแล้วก็ไม่มีผู้คนเดินทางสัญจรแถวนี้แน่ ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้า “เมื่อก่อนนามว่าจางสิ่ง ตอนนี้มีนามว่าจูฟางเอวี๋ยน !” ชูเซี่ยจับมือเขากลับ “เมื่อก่อนนามว่าชูเซี่ย ตอนนี้มีนามว่าหลิวหยิงหลง!” มือของทั้งคู่ประสานกันแน่น ดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยตกกระทบศรีษะของคนทั้งสอง บ่งบอกว่ายามเย็นใกล้เข้ามาแล้วแสงแดดอ่อนๆที่ส่องมายิ่งพาให้หัวใจของทั้งคู่หนักอึ้ง กาลเวลานับพันปีกลับชักนำคนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนให้คุ้นเคยกันราวกับเป็นสหายสนิทกันมาก่อน ในสายตาของคนภายนอก ทั้งคู่ใกล้ชิดกันราวกับโอบกอดกันอยู่ ร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งความสุขและความเศร้าออกมา มันเป็นความขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัด แต่หากมองดูให้ดีกลับเห็นว่าทั้งคู่ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก เป็นมามาที่ทนเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้จึงจับพวกเขาทั้งสองแยกออกจากกัน มามายืนขวางหน้าชายหนุ่มพร้อมเท้าสะเอวจ้องมองจางสิ่งด้วยความโมโห “บังอาจ เจ้ากล้าล่วงเกินพระชายาของพวกข้าหรือ” บิดาของเสี่ยวฉิงตื่นตระหนกมองดูฉากตรงหน้าอย่างนึกไม่ถึง จางสิ่งเพียงยิ้มออกมาพลางจ้องมองหน้าชูเซี่ย “ยินดีด้วยที่เจ้าได้เป็นถึงพระชายา” “อ่า อย่าพูดจาไร้สาระอยู่เลย รถเข็นของเจ้า ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่” ชูเซี่ยเข้าจุดประสงค์หลักที่นางมาทันที หากจะสานสัมพันธ์มิตรภาพต่อที่แห่งนี้ก็ไม่เหมาะยิ่งนัก เอาไว้นางค่อยนัดเจอกันใหม่วันหลังก็ย่อมได้ ยามนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ไม่รู้ว่าที่จวนอ๋องจะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ ท่านอ๋องจะส่งคนมาดูนางหรือไม่นะ ถ้าหากมีคนมาดูนางจริงพวกสาวใช้จะรับมือได้หรือไม่นางก็ไม่มั่นใจนัก จางสิ่งเลิกผ้าม่ายรถม้าขึ้น “เจ้าสนใจหรือ หรือว่าที่บ้านเจ้ามีผู้พิการอยู่ล่ะ” “ท่านอ๋องจวนข้า เพราะช่วยชีวิตข้าทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาต เดิมทีข้าก็วาดภาพรถเข็นไว้เช่นกัน ข้าออกมาตามหาพ่อของเสี่ยวฉิงทว่าเมื่อเขาเห็นรูปวาดของข้ากลับบอกว่าเคยเห็นมันมาก่อน ข้าดีใจยิ่งนัก” ชูเซี่ยพูดจาเร็วอย่างยิ่ง ยามนี้นางรู้สึกดีใจมากเหลือเกิน ราวกับได้เจอสหายเก่าก็ไม่ปาน แม้จะเรียกว่าสหายเก่าก้ไม่ถูกต้องนักเพระพวกเขาก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่ว่าเมื่อทั้งสองมาเจอคนที่เคยหายใจในยุคเดียวกันก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง “เพียงเพื่อช่วยเจ้างั้นหรือ ช่างเป็นชายหนุ่มที่ยึดมั่นในรักและคุณธรรมอะไรเช่นนี้ เป็นบุรุษที่น่าชื่นชมเสียจริง” จางสิ่งเมื่อได้ยินก็รู้สึกชื่นชมชายหนุ่มผู้นั้นยิ่งนัก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้านำรถเข็นนี่กลับไปก่อน ข้ากลับเรือนค่อยสั่งทำใหม่ อีกอย่างข้าไม่ได้รีบใช้เท่าใดนัก ข้าเพียงแต่ทำสำรองไว้ก็เท่านั้น” เมื่อเขากล่าวจบ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสลดใจ “สำรองหรือ เหตุใดจึงต้องทำรถเข็นสำรองกัน บ้านเจ้ามีผู้ป่วยหรือ” ชูเซี่ยถามอย่างแปลกใจ ยิ่งนางเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามอีกหลายคำ จางสิ่งเอ่ยตอบ “พ่อบุญธรรมของข้ามีโรคประจำตัว อีกไม่นานก้เป็นอำพาตแล้ว ทว่าช่วงนี้เขาก็ยังคงเดินไปไหนมาไหนได้อยู่ ทว่าท่านหมอได้กล่าวไว้ว่าอีกไม่นานขาทั้งสองข้างคงหมดแรงเดินเหินเสียแล้ว” ชูเซี่ยเป็นห่วงยิ่งนัก “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ เป็นโรคอะไรกันแน่” “ข้าไม่ขอปิดบัง ที่จริงแล้วพ่อบุญธรรมของข้าก็คืออดีตแม่ทัพ เจ้ารู้จักนามจูเชียนชิวหรือไม่” จางสิ่งถาม ชูเซี่ยส่ายศีรษะ “ขออภัย ข้าไม่รู้จัก” ทว่ามามาที่ยืนอยู่ข้างนางกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ที่คุณชายจางกล่าวมาหรือว่าจะเป็นอดีตแม่ทัพจางใช่หรือไม่ เขาป่วยหรือ” ชูเซี่ยถามมามาอย่างสงสัย “มามารู้จักแม่ทัพจางด้วยหรือ” มามายิ้มออกมาพลางเอ่ย “แม่ทัพจางงั้นหรือเพคะ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเขาหรอกเพคะ แม่ทัพจางเคยเป็นพระอาจารย์ของท่านอ๋องมาก่อน หลายปีก่อนท่านอ๋องทั้งสองก็เรียนรู้วิชาขี่ม้ายิงธนูจากท่านแม่ทัพผู้นี้นี่ล่ะเจ้าค่ะ แม่ทัพจางมีวรยุทธสูงส่ง เคยทำงานให้ราชสำนักทว่าตอนนี้ออกจากตำแหน่งไปเสียแล้ว แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย แม่ทัพและเหล่าทหารกล้าที่มีชื่อเสียงในยามนี้ก็ล้วนแต่เคยเป็นศิษย์ของแม่ทัพจางผู้นี้มาก่อนทั้งสิ้น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังให้เกียรติเขาอยู่หลายส่วนเลยนะเพคะ” ชูเซี่ยรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นอาการป่วยของเขาเหตุใดจึงไม่เชิญหมอหลวงมารักษาเล่า” จางสิ่งถอนหายใจออกมาหนักๆ “พ่อบุญธรรมข้าเป็นคนแข็งแกร่ง เป็นวีรบุรุษในสมัยนั้น จะให้เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเขาป่วยงั้นหรือ ในสายตาคนนอกเขาเป็นคนที่เข้มแข็งและแข็งแกร่งอยู่เสมอ ทุกครั้งยามเข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็มักจะวางท่าให้ดูองอาจอยู่เสมอ มีหรือจะยอมเสียหน้ากันเล่า จริงๆแล้วจะกล่าวว่าเขาป่วยเป็นโรคก้ไม่ถูกนัก แต่ทว่าเมื่อยามที่เขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบเมื่อครั้งยังหนุ่มนั้นได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอยู่หลายครั้งทำให้บัดนี้บาดแผลเหล่านั้นฝังรากลึกอยู่ในร่างกายของเขา ยามนี้เมื่อแก่ชราลงจึงเกิดกำเริบขึ้นมา รถเข็นนี้เจ้าก็เอาไปเถิด ข้ากลับไปค่อยสั่งทำขึ้นมาใหม่” ชูเซี่ยรู้สึกสลดใจคงเป็นอย่างที่เขากล่าวว่า หญิงงามย่อมมีวันโรยรา วีรบุรุษก็ย่อมมีวันแก่เฒ่า นางขอบคุณจางสิ่งจากใจจริง “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอบคุณเจ้ามาก วันหน้าข้าจะต้องมาหาเจ้าแน่ มีอีกหลายเรื่องไว้เราค่อยคุยกัน” จางสิ่งรับคำ “ได้ ข้าจะคอยเจ้า!” จางสิ่งให้พวกนางทั้งสองคนขึ้นรถม้าคันเดียวกับเขาก่อนจะมาส่งถึงหน้าจวนอ๋อง ชูเซี่ยที่วันนี้ได้พบทั้งเพื่อนร่วมชะตาทั้งยังได้รถเข็นในใจก็มีความสุขยิ่งนัก คิดเพียงแค่เมื่อกลับไปนางจะค่อยๆสอนหลี่เฉินเย่นใช้รถเข็นคันนี้อย่างไรดี โดยหารู้ไม่ว่ายามนี้ในจวนอ๋องเริ่มมีพายุก่อตัวขึ้นแล้ว
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 47 เจอเพื่อนเก่าที่บ้านอื่น
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A