ตอนที่ 48 ความรักที่ลึกซึ้ง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 48 ความรักที่ลึกซึ้ง
ต๭นที่ 48 ความรักที่ลึกซึ้ง เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงหน้าจวนอ๋อง จางสิ่งก็อาสานำรถเข็นลงมาให้ก่อนจะเอ่ยถาม “ให้ข้าช่วยส่งเข้าไปหรือไม่” “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าให้บ่าวมาคนเข้าไปเอง ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามากนะ” ว่านอี้กล่าวพลางเอื้อมมือไปจับมือของจางสิ่งไว้ นางรู้สึกขอบคุณเขามากจริงๆ จางสิ่งหลุดยิ้มออกมา “เอาล่ะ ตลอดทางที่เดินทางมานี่เจ้าก็ขอบคุณข้านับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่ใช่หรือ” ชูเซี่ยจ้องมองเขาอย่างชื่นชม “ตราบใดที่เจ้ายังไม่ยอมคิดเงินกับข้า ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เอาเช่นนี้แล้วกันครั้งหน้าข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการตอบแทน ดีหรือไม่” จางสิ่งยังคงยิ้ม “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านเก่าเราหรือไร หากข้าออกไปกับเจ้าสองคน ชาวบ้านต้องครหานินทาพวกเราแน่” ชูเซี่ยก็ยิ้มขำก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหัวเสีย “คนโบราณ ไม่ดีก็ตรงนี้นี่ล่ะ” มามาที่ยืนอยู่ข้างกายชูเซี่ยมาตลอดได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ก็รู้สึกสับสนงงงวย คำหนึ่งก็บ้านเก่า อีกคำก็คนโบราณ นางไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูดได้เลยจริงๆ แต่ทว่าช่วงนี้พระชายาก็มักจะพูดจาแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่บ้าง คำบางคำของแปลกเสียจนนางไม่อาจเข้าใจ ดังนั้นนางจึงไม่คิดเก็บบทสนทนาครานี้ของทั้งคู่มาคิดต่อให้มากความ เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว ชูเซี่ยก็หมุนกายกลับมาจ้องหน้ามามาก่อนอดไม่ได้ที่จะยกสองมือขึ้นไปรวบกอดมามาไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง “มามา ข้าดีใจยิ่งนัก!” มามานิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูสุดหัวใจ “นายหญิงที่โง่งมของข้า มีเรื่องอะไรให้น่ายินดีกันเล่า ก็แค่รถเข็นตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ บางทีท่านอ๋องอาจจะไม่ยอมใช้มันก็ได้นะเพคะ” ชูเซี่ยยิ้มยิงฟัน “ท่านไม่เข้าใจ ที่ข้าดีใจไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของรถเข็นคันนี้ แต่เป็นเพราะเข้าได้เจอคนที่อยากเจอมาตลอดต่างหาก...” ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบดังมาจากทางหน้าประตูจวน “อืม เจอผู้ใดมาหรือถึงมีความสุขปานนี้ บอกให้เปิ่นหวางทราบหน่อยเถิด” ชูเซี่ยตกใจตัวแข็งทื่อ สวรรค์ นางประมาทเกินไปแล้ว นางลืมเสียสนิทว่าควรจะให้รถม้าไปส่งยังประตูหลังจวนอ๋องถึงจะถูก ชูเซี่ยค่อยๆหันกายกลับไปช้าๆ ใบหน้าของนางฉีกยิ้มประจบหลี่เฉินเย่นที่ยามนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตูจวนอย่างเต็มที่ ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นยังคงราบเรียบไม่ได้แสดงท่าทีอันใดออกมา ดวงตาเย็นเยียบจ้องมองนางนิ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “พระชายายังออกมาได้ ไฉนเปิ่นหวางจะออกมาบ้างไม่ได้เล่า” ชูเซี่ยฟังจากน้ำเสียงก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาโกรธนาง นางมองไปยังจูเก๋อหมิงที่ยืนอยู่เบื้องหลังของซ งอวิ่นเชียนก็รีบเอ่ยแก้ตัว “ท่านหมอเทวดาจูเก๋ออนุญาติให้ข้าเดินได้เพื่อที่แผลจะได้สมานตัวได้เร็ว ข้าเพียงแค่ทำตามแนะนำของท่านหมอก็เท่านั้น” จูเก๋อหมิงรีบเอ่ยค้าน “ข้าน้อยบอกให้พระชายาเดินไปมาได้ในจวน ไม่ได้บอกให้พระชายาไปเดินเล่นถึงนอกจวนเสียหน่อย” ชูเซี่ยก็ทำทีเป็นโง่งม “อ้า ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านก็ไม่บอกกับข้าให้ชัดเจน ท่านให้ข้าเดินไปไหนมาไหนได้ข้าก็นึกว่านั่นรวมถึงการออกไปเดินเล่นนอกจวนได้ด้วย” หลี่เฉินเย่นชะงักก่อนจะเอ่ยสั่งบ่าวรับใช้เสียงเย็น “พาข้ากลับเรือน” บ่าวรับใช้ก็ช่วยกันแบกเก้าอี้หลี่เฉินเย่นกลับเรือน ชูเซี่ยจึงรีบร้อนวิ่งตามไปทันทีก่อนจะหันหลังกลับมาเอ่ยกับมามา “มามา สั่งคนให้ยกของไปที่เรือนท่านอ๋อง” กล่าวจบก็รีบร้อนวิ่งตามหลังหลี่เฉินเย่นไปติดๆ เมื่อกลับมาถึงเรือนส่วนตัวหลี่เฉินเย่นก็มองค้อนนาง “เจ้าตามมาทำไมกัน เปิ่นหวางเห็นหน้าเจ้าก็รู้สึกรำคาญแล้ว” ชูเซี่ยเดินไปนั่งตรงหน้าเขาก่อนเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ขออภัย ข้าไม่ควรหนีออกไปนอกจวนเยี่ยงนี้” เดิมหลี่เฉินเย่นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งที่นางทำเช่นนี้ แต่ทว่าเมื่อนางรู้สำนักและยอมขอโทษเขาแต่โดยดีอารมณ์ที่คุกกรุ่นก็ค่อยๆคลายตัวลงอย่างช้าๆ แต่เขาก็ยังคงแสร้งปั้นสีหน้าต่อไป “เจ้าไม่ได้ทำอันใดผิดต่อเปิ่นหวางเสียหน่อย ร่างกายก้เป็นของเจ้า เจ้าตายไปก็หาเกี่ยวข้องอันใดกับเปิ่นหวางไม่” บ่าวรับใช้แบกเก้ามาถึงห้องบรรทม เห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งคู่อึมครึมจึงไม่กล้ารั้งรออยู่นานรีบร้อนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วทั้งยังปิดประตูเสียดิบดี ภายในห้องยามนี้เหลือเพียงชูเซี่ยและหลี่เฉินเย่นเท่านั้น ชูเซี่ยได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยก็รู้ว่าเขายังคงโมโหนางอยู่ จึงเอ่ยเสียงออดอ้อน “อย่าโกรธข้าอีกเลย ข้าไม่ใช่หนีออกจากจวนเพื่อไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย ข้าเพียงอยากทำรถเข็นให้ท่านต่างหากเล่า มันเหมาะกับการเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนในจวนแห่งนี้ได้ดีเลยทีเดียว ท่านดูสิ ข้านำรถเข็นกลับมาให้ท่านด้วยนะเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นเบือนสายตาไปมองรถเข็นอย่างพิจารณา อย่างไรเสียผู้ชายก็มักจะสนใจสิ่งแปลกใหม่รอบกายอยู่แล้ว ยามนี้ชายหนุ่มลืมอาการขุ่นมัวไปเสียสิ้นก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างสนอกสนใจ “รถเข็นหรือ ใช้การอย่างไร” ชูเซี่ยยิ้มอย่างพอใจ นางลุกขึ้นเดินไปนั่งที่รถเข็นก่อนจะวางขาไว้ที่วางเท้าจากนั้นก็หมุนล้อที่อยู่ด้านข้างทำให้รถเข็นเคลื่อนไหวไปหน้าหลัง เพราะล้อถูกทำมาอย่างดีทำให้การเคลื่อนที่เป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด นางนึกได้ว่าบิดาของเสี่ยวฉิงได้กล่าวไว้ว่ารถเข็นคันนี้สามารถตั้งยืนได้นางจึงเอื้อมมือคลำด้านข้างรถเข็นไปมาจนเจอเข้ากับแท่งเหล็กที่มีแบ่งออกเป็นแผงเล็กๆ นางลองโยกมันขึ้นมาอย่างเบามือรถเข็นก็ค่อยๆตั้งตรงขึ้นทว่าก้ไม่สามารถตั้งตรงขึ้นได้สูงนัก นางอยากโยกให้มันสูงขึ้นอีกนิดก็ไม่สามารถทำได้แล้ว ชูเซี่ยลุกขึ้นจากเก้าอี้สำรวจแผงและคันโยกด้านข้างก่อนจะพบว่าขดลวดเหล็กทำได้ไม่ดีนัก การออกแบบรถเข็นคันนี้ยังไม่สมบูรณ์ดี ต่อให้มันตั้งตรงได้สุดก็ไม่ได้รับประกันว่าจะไม่ทำให้ผู้นั่งมันหงายหลัง รถเข็นคันนี้ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก นางจึงส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่ได้ ข้ายังต้องปรับปรุงมันอีกหน่อยจึงจะใช้ได้” หลี่เฉินเย่นเห็นว่ารถเข็นคันนี้ทำงานของมันได้ดีก็รู้สึกชื่นชอบอย่างยิ่ง “พยุงเปิ่นหวางไปนั่งหน่อย เปิ่นหวางอยากลองบ้าง” ชูเซี่ยส่ายหน้า “อย่าเพิ่งเลยเจ้าค่ะ ให้ข้าปรับปรุงมันอีกสักหน่อยก่อน” “ไม่จำเป็น เปิ่นหวางอยากลองนั่งดู” หลี่เฉินเย่นเห็นว่ารถเข็นคันนี้สามารถเคลื่อนไหวเองได้โดยที่เขาไม่จำเป้นต้องให้บ่าวรับใช้มาคอยช่วยเหลืออีกต่อไปก็ยินดีเสียจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาที่ไหนจะยอมรออีกเล่า ชูเซี่ยยอมจำนนแต่โดยดี นางใช้สองมือของตนค่อยๆพยุงร่างของเขาขึ้น เดิมทีตัวนางก็ไม่ได้เตี้ยแต่ทว่าเมื่อเทียบกับร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาแล้วนางก็ดูตัวเล็กบอบบางไปถนัดตา นางใช้มือโอบรอบเอวไว้และใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการพยุงเขาไปนั่งที่รถเข็น เขานั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีชูเซี่ยคอยสอนวิธีการบังคับรถเข็น เริ่มแรกเขาก็เคลื่อนไหวมันอย่างเก้ๆกังๆทว่าเพียงไม่นานเขาก็สามารถเคลื่อนมันไปได้รอบห้องอย่างคล่องแคล่ว ชูเซี่ยลอบมองใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของเขาก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก นางจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้มองจ้องเขานิ่งๆ เมื่อหลี่เฉินเย่นหันมาพบกับสายตาของชูเซี่ยที่มองหยุดที่เขาด้วยแววตาอ่อนโยนใจก็กระตุกวูบ กระแสความอบอุ่นวิ่งไหลผ่านเข้าสู่หัวใจของเขาจนอัดแน่นเต็มหัวใจ เขากวักมือเรียกนาง “มานี่!” ชูเซี่ยเชื่อฟังคำสั่งของเขา นางเดินมายังข้างกายของของเขาทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถามเขาก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือนางก่อนจะออกแรงดึกเพียงเล็กน้อยร่างทั้งร่างของนางก็เกยอยู่บนตักของเขาเสียแล้ว ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย พยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ติดที่มือทั้งสองข้างของเขารวบเอวนางไว้แน่น เขากดเสียงต่ำลง “อย่าขยับกายส่งเดช!” ชูเซี่ยเงยหน้ามองเขาทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้ชิดจนแทบจะใช้ลมหายใจร่วมกันได้ ริมฝีปากของเขาเกือบจะสัมผัสโดนจมูกรั้นของนาง ชูเซี่ยพยายามจะกระถดกายออกเพื่อให้เว้นระยะทางระหว่างทั้งคู่บ้าง นางมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแทบจะละลายไปกับสายตาร้อนแรงที่เขามองตรงมาที่นาง หัวใจของนางเต้นแรงและเร็วเสียจนแทบจะโผบินออกมาจากอก “ท่าน...เอ่อ เดี๋ยวจะมีผู้อื่นเข้ามาเห็นเข้านะเจ้าคะ” ชูเซี่ยเสมองไปทางอื่นไม่กล้าสบสายตาเร่าร้อนแฝงความปรารถนาของเขาที่มองมา หากนางยังมองเขาต่อไปนางต้องห้ามใจไม่ได้ที่จะจุมพิตเขาอย่างแน่นอน ทว่านางกลับไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำอันใดออกมาอีกเพราะเสียงของนางกลับถูกริมผีปากของเขาประทับลงมาปิดกั้นเสียงของนางเสียก่อน จุมพิตของเขาให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลและน่าหลงไหลก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนเมื่อเขาค่อยๆแทรกลิ้นร้อนๆเข้ามาในปากของนางก่อนที่ลิ้นของทั้งคู่จะกระหวัดเกี่ยวพันกันอย่างเร่าร้อน สัมผัสแนบชิดของทั้งคู่ยังดำเนินต่อไปพร้อมกับที่ฝ่ามือหนาซุกซนของเขาเริ่มขยับมาลูบไล้อยู่ที่แผ่นหลังบอบบางของนาง ยามนี้ทรวงอกของนางและเขาแนบชิดกันจนแทบไม่มีที่ว่างระหว่างพวกเขาอีก บานหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้อยู่ทำให้แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่องผ่านเข้ามากระทบร่างของทั้งคู่ทำให้เป็นภาพที่ดูสวยงามและอ่อนหวาน ฝ่ามืออีกข้างของเขาค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆจนสำผัสเข้ากับทรวงอกของนางแผ่วเบา เขาค่อยๆกอบกุมอย่างอ่อนโยนทว่าเร่าร้อน ใบหน้าของชูเซี่ยเขินอายจนแทบระเบิดออกมาขณะที่หัวของนางรู้สึกขาวโพลนไปหมด ใบหูน้อยๆของเขาได้ยินเพียงเสียงหบกระชั้นของเขาเท่านั้น หญิงสาวรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อนางรับรู้สึกความตื่นตัวของชายหนุ่มที่นางนั่งทับร่างของเขาอยู่ ความเปลี่ยนแปลงของเขายิ่งทำให้นางประหม่าและสับสนไปหมด นางทำได้เพียงยอมคล้อยตามการชักจูงของเขาอย่างไร้การต่อต้านเพียงเท่านั้น แต่ทว่าเขาก็ไม่ไดชักนำนางไปที่ใดทั้งสิ้น ชายหนุ่มเพียงแค่ยอมปล่อยมือของตนออกและเพ่งมองใบหน้าขึ้นสีของชูเซี่ยอยู่เช่นนั้น “เด็กโง่ เจ้าตัวสั่น กลัวเปิ่นหวางหรือ” ชูเซี่ยไม่ทราบว่าตัวเองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวจริงอย่างที่เขากล่าวหาหรือไม่ นางเพียงแค่นางสั่นสะท้านเล็กน้อยทว่านั่นก็ไม่ได้มาจากความหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางยิ้มจืดเจื่อน “ข้าไม่ได้กลัว ข้าเพียง...” เพียงแต่อะไรนางก็ไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นปฏิกิริยาตอบรับของหญิงสาวทั่วไปกระมัง “บอกเปิ่นหวางได้หรือไม่ ว่าเจ้าชื่ออะไรกันแน่” จู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น ทว่าใบหน้ากลับฉายแววอ่อนโยนเช่นเดิม ชูเซี่ยตะลึงงัน ในหัวของนางส่งเสียงกรีดร้อง นางรีบริ้นดิ้นรนจนหลุดจากการกอบกุมของเขามาได้ก่อนจะก้มหน้ามองมือของตนเองเฉไฉ “ท่านอ๋อง พูดเล่นอะไรกันเจ้าคะ ข้าก็คืออยางลั่วยีอย่างไรเล่า” หลี่เฉินเย่นมองนางนิ่งๆก่อนลอบยิ้ม “เปิ่นหวางนึกว่าเจ้าเจอเรื่องเมื่อครู่ทำให้สติเลื่อนลอยไปเสียแล้ว เกรงว่าแม้แต่ชื่อแซ่ของตนเองก็ลืมไปแล้วเสียอีก ฮ่าฮ่า เปิ่นหวางหยอกเจ้าเล่นหรอกนะ แม่นางน้อยที่โง่งม!” ชูเซี่ยมองใบหน้าเขาอย่างกระวนกระวาย นางไม่แน่ใจว่าคำพูดที่เขาเอ่ยออกมานั้นหยอกนางเล่นหรือพูดจริงกันแน่ แต่ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือพูดเล่นนั่นก็ทำให้นางรู้สึกราวกับมีชะงักติดหลังอยู่ดี ภาพปีศาจที่ถูกตรึงไว้ที่เสาไม้พร้อมถูกไฟจุดเผาให้ตายทั้งเป็นลอยขึ้นมาในหัวของนางทันที และปีศาจตนนางก็เป็นนางอย่างไม่ต้องสงสัย นางยิ้มขืน “ท่านอ๋องอย่าหยอกข้าเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ทำเอาข้าใจหายนึกว่าท่านความจำเสื่อมเสียแล้ว ข้าเกือบจะไปเรียกหมอหลวงมาแล้วรู้ตัวหรือไม่เจ้าคะ” “ได้ เปิ่นหวางจะไม่แกล้งเจ้าอีกแล้ว ดูเถิดตกใจเสียจนใบหน้าซีดเผือดไปหมดแล้ว” ชายหนุ่มเงียบไปก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมาอีกครั้ง “เปิ่นหวางขอคืนคำที่พูดเมื่อครู่ทั้งหมดรวมถึงที่ว่าเจ้าเป็นแม่นางน้อยที่โง่งมนั่นด้วย เปิ่นหวางลืมไปเสียสนิทว่าเจ้าไม่ใช่แม่นางน้อยอีกแล้ว” เมื่อกล่าวจบ หลี่เฉินเย่นก็จงใจใช้สายตาเร่าร้อนแฝงไปด้วยเสน่ห์มองร่างกายนางอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมกับยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดสะอ้านนั่น ชูเซี่ยหวนคิดถึงความแนบชิดของนางและเขาเมื่อครู่ใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงจนแทบกระดอนออกมา นางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “หากท่านพูดจาไร้สาระอีกข้าจะไม่มาเยี่ยมท่านอีกแล้วนะเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นเลื่อนรถเข็นมาใกล้นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ยามนี้ต่อให้เจ้าไม่มาเยี่ยมเปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็ไปหาเจ้าเองได้แล้ว” ชูเซี่ยมองค้อนเขาอย่างหมั่นไส้ “ข้าจะลงกลอนประตูไม่ให้ท่านเข้า” หลี่เฉินเย่นขยับรถเข็นมาหยุดอยู่ตรงหน้านางก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือของนางไว้ ฉุดให้นางนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยจริงจัง “เอาเถิด ไม่แกล้งเจ้าแล้ว อย่างไรเสียเปิ่นหวางก็ต้องกล่าวขอบคุณเจ้า” ชูเซี่ยแสร้งเบิกตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านก็ขอบคุณผู้อื่นเป็นด้วยหรือ เห็นทีพระอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตกแน่นอนกระมัง” หลี่เฉินเย่นจ้องมองนางอย่างอ่อนโยน “เปิ่นหวางหาใช่พวกทิฎฐิสูงเสียหน่อย จริงสิ เจ้ายังจำยามที่พวกเราอยู่บนหุบเขาเทียนหลางได้หรือไม่ ที่เจ้าเล่าเรื่องผีให้เปิ่นหวางฟัง เปินหวางเกิดลืมไปเสียแล้วว่าหญิงสาวผู้นั้นมีนามว่าอะไร เจ้าจำได้หรือไม่” ชูเซี่ยมองเขาอย่างไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไรกันแน่ หลี่เฉินเย่นนั่งหลังตรงเอียงคอมองนาง “เจ้าก็จำไม่ได้หรือ ที่แท้เรื่องทั้งหมดเจ้าก็แต่งขึ้นใช่หรือไม่ ยังกล้าพูดอีกว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัว หลอกลวง!” ชูเซี่ยเลียนแบบท่าทางของเขานางนั่งหลังตรงก่อนเอียงคอมองเขาเช่นกัน “ผู้ใดว่าข้าจำไม่ได้กัน หญิงสาวผู้นั้นมีนามว่าชูเซี่ย” แม้ว่าในใจนางจะรู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกไปก็เถิด แต่นางก็ยอมบอกเขาแต่โดยดี “ชูเซี่ย ชูเซี่ย...” เขาพึมพัมท่องชื่อนางแผ่วเบาทั้งยังสายตาคมกล้านั่นจ้องมองนาง หัวใจของนางรู้สึกอุ่นวาบ ที่แท้ชื่อของนางที่ออกมาจากปากของเขาช่างน่าฟังถึงเพียงนี้เชียว หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจ “จากนี้ไปเปิ่นหวางเรียกเจ้าว่าชูเซี่ยดีหรือไม่” หัวใจของชูเซี่ยกระตุกวูบ “ไฉนจึงเรียกข้าว่าชูเซี่ยกัน” เขาต้องจับพิรุธอะไรได้แน่ เขาขยับกายเข้าใกล้นางก่อนจะประทับริมฝีปากลงมา “เพราะเจ้าคือโรคระบาดของข้าอย่างไรเล่า!” “หา” นางมองเขาอย่างตะลึง “ข้าคือชูเซี่ยของท่านงั้นหรือ” “ใช่แล้ว เป็นโรคระบาด เป็นภัยพิบัติของข้า” เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ชูเซี่ยถลึงตามองเขา ก่อนกัดฟันพูด “ท่านต่างหากที่เป็นภัยพิบัติ ท่านเป็นภัยพิบัติของข้า!”
已经是最新一章了
加载中