ตอนที่ 53 นางที่ไม่รักชีวิต   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 53 นางที่ไม่รักชีวิต
ต๭นที่ 53 นางที่ไม่รักชีวิต นับวันบาดแผลที่ขาของชูเซี่ยดูจะยิ่งย่ำแย่ลงทุกที หลายวันมานี้นางไม่สามารถลงจากเตียงได้อีกแล้ว เสี่ยวจี๋เงก็เป็นห่วงนายหญิงของตนเสียจนไม่เป็นอันทำอะไร ครั้นนางจะไปตามท่านหมอเทวดาจู่เก๋อมา ชูเซี่ยที่ริมฝีปากซีดขาวก็ส่ายศีรษะห้ามนางอย่างอ่อนแรง “ไม่ต้องหรอก หากจะให้หายก็ง่ายนิดเดียวเท่านั้น” นางเคยลองฝังเข็มกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดแล้ว แต่เป็นเพราะนางมีบาดแผลอยู่ดังนั้นยามที่นางฝังเข็มกระตุ้นมันจึงทำให้บาดแผลมีเลือดไหลออกมาอยู่เสมอ บาดแผลจึงไม่แห้งตกสะเก็ดเสียที นั่นคือเหตุผลที่แผลของนางไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใดก็ยังรักษาไม่หาย ในยามนี้เหลือเพียงแค่ต้องฝังเข็มลงไปอีกแค่จุดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือนางจะต้องฝังเข็มตรงบริเวณหัวเข่าของตนเองทั้งยังอยู่ใกล้บาดแผลของนาง นางเพิ่งจะใช้เข็มทองฝังปิดผนึกทางเดินของเลือดเอาไว้ และเมื่อนางทำการฝังเข็มจุดสุดท้ายแล้วก็จะเป็นการปล่อยให้เลือดในกายไหลเวียนลงมาหล่อเลี้ยงบริเวณขาทันที ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนางมั่นใจถึงแปดส่วนว่าจะต้องสามารถรักษาขาของซ่งอวิ่นเยนได้อย่างแน่นอน ทว่าการที่นางฝังเข็มลงไปจะทำให้บาดแผลของตนเองเปิดกว้างและเลือดไหลทะลักออกมามากขึ้น บาดแผลที่ถูกฝังเข็มเพื่อปล่อยให้เลือดบริเวณอื่นไหลลงมาบริเวณขามีแต่จะยิ่งทำให้แผลของนางฉีกขาดมากเข้าไปอีก มันเป็นการทำให้ร่างกายนี้ของนางเสียเลือดมากจนเกินไป นางไม่อยากจะลงมือฝังเข็มนี้ลงไป ทุกคนต่างก็รู้จักรักชีวิตของตนเอง ประสาอะไรกับนางที่เคยเสียชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวานนางได้ยินมาว่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหลายวันมานี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นจึงได้ย่ำแย่ยิ่งนัก เขาถึงขั้นทำลายรถเข็นที่นางเพียรพยายามหากลับมาให้เขา นางได้ฟังข่าวนี้ก็ยิ่งร้อนใจหนักขึ้น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขาไม่ดีอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ทำเช่นนี้ ในการฝังเข็มทุกครั้งนางมักจะให้เสี่ยวจี๋และมามาออกไปจากห้องอยู่เสมอ ดังนั้นเสี่ยวจี๋และมามาจึงไม่เคยรับรู้ว่าแท้จริงแล้วแผลของนางเป็นเช่นไรบ้าง แต่ในยามนี้พวกนางต่างก็รับรู้ได้ว่านายหญิงของตนอาการไม่สู้ดีเอาเสียเลย ร่างกายของพระชายามีไข้ขึ้นสูง เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้พวกนางไปเชิญท่านหมอเทวดาจูเก๋อมาได้อย่างไรเล่า ดังนั้นแล้วถึงแม้ว่าชูเซี่ยจะไม่ยินยอมให้พวกนางไปเชิญท่านหมอมา แต่เสี่ยวจี๋ก็ยังเลือกที่จะแอบขัดคำสั่งไปพบท่านหมอเทวดาจูเก๋อเข้าจนได้ เสี่ยวจี๋ได้ยินว่าท่านหมอเทวดาในยามนี้อยู่ด้วยกันกับท่านอ่องนางก็รีบร้อนวิ่งออกไปหาพวกเขาทั้งคู่ทันที หลายวันมานี้หลี่เฉินเย่นไม่มีรถเข็นไว้เดินทางไปไหนมาไหนอีกแล้ว ทั้งชายหนุ่มยังไม่ยินยอมให้พวกบ่าวรับใช้คอย โยกย้ายเก้าอี้ให้เหมือนเก่าจึงไม่ได้ออกไปไหนอีก จิตใจของท่านอ๋องยามนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ในเรือนของเขาต่างก็หวาดผวากันไปหมด โชคยังดีที่มีจูเก๋อหมิงคอยอยู่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด คอยแก้เบื่อและพูดคุยเรื่องตลกกับท่านอ๋อง ทำให้พอจะคลายอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเขาไปได้ไม่มากก็น้อย ความจริงแล้วในระยะนี้โรงหมอของจูเก๋อหมิงเองก็วุ่นวายอยู่มาก เพราะช่วงนี้เป็นช่วงสารทฤดูล่วงเขาเหมันต์ฤดูแล้วทำให้โรงหมอแต่ละวันต่างก็วุ่นวายกันไปหมด ทำให้ท่านหมอหนุ่มยังต้องไปเชิญท่านหมอท่านอื่นๆจากที่อื่นมาร่วมกับเขาในช่วงนี้มากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเรื่องวุ่นวายอยู่ทุกวัน จูเก๋อหมิงสบโอกาสที่วันนี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นดูผ่อนคลายขึ้น จึงเอ่ยชักชวน “วันนี้อากาศดีออกปานนี้ เจ้าก็ไปโรง หมดกับข้าดูหน่อยดีหรือไม่เล่า ว่าก็ว่าเถิด ตั้งแต่ข้าเปิดโรงหมอมาเจ้าก็ยังไม่เคยไปดูเลยไม่ใช่หรือ” ภายในโรงหมอมีผู้ป่วยที่มีสภาพอนาถและน่ารันทดกว่าเขามากมาย บางทีสายรักของเขาเห็นเข้าอาจจะรู้สึกว่าตนเองโชคดีกว่าผู้คนอีกมากมายก็เป็นได้ หลี่เฉินเย่นเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จูเก๋อหมิงเองก็เป็นผู้มีวิชาการแพทย์เลิศล้ำ ทว่าเขาคิดจริงๆน่ะหรือว่าหากผู้ที่โชคร้ายไปเห็นผู้ที่โชคร้ายกว่าจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้ มีอีกหลายคนนักที่ยามเห็นคนที่มีสภาพอนาถกว่าตนก็มักจะคิดถึงตนเองที่ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกันรังแต่จะเพิ่มความทุกข์ก็เท่านั้น แต่หลายวันมานี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นทั้งหดหู่และย่ำแย่ เขาทราบดีว่าตนเองทำให้จูเก๋อหมิงเป็นห่วงมากเพียงใด เพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายเขาจึงเลือกที่จะตอบตกลงออกไป ชายหนุ่มทั้งสองออกจากจวนไปได้ไม่นาน เสี่ยวจี๋ก็เพิ่งจะเดินมาถึงก็ทราบว่าท่านอ๋องเพิ่งจะออกจากจวนไปนางจึงจำใจต้องหันหลังกลับ เมื่อเสี่ยวจี๋ไม่อาจไปเชิญท่านหมอเทวดามาได้นางจะเลือกที่จะไปเชิญหมอหลวงที่พำนักอยู่ในจวนอ๋องมาแทน ทว่าในทันทีที่ชูเซี่ยเห็นหมอหลวงมีหรือนางจะยินยอมให้อีกฝ่ายดูบาดแผลของนางโดยดี หมอหลวงเป็นคนของวังหลวง หากเขาทราบว่าบาดแผลของนางในยามนี้ย่ำแย่ขนาดหนักจะต้องเข้าวังไปกราบทูลเบื้องบนแน่ ถึงตอนนั้นเรื่องคงวุ่นวายน่าดู มามาร้อนใจจนไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีก “เหตุใดจึงไม่ยอมให้หมอหลวงดูอาการเล่าเจ้าคะ กระโปรงของท่านเลอะเลือดเต็มไปหมด แสดงว่าบาดแผลจะต้องเปิดอีกเป็นแน่” หมอหลวงได้ยินเช่นั้นก็ตกใจ ตามที่เขาได้ยินมา บาดแผลของพระชายาดีขึ้นมากแล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งหลายวันมานี้ก้ได้รับการรักษาจากท่านหมอเทวดามาตลอด แผลที่ขาของนางควรที่จะหายแล้วจึงจะถูก ไฉนบาดแผลจึงยังมีเลือดไหลออกมาอีกเล่า หมอหลวงจึงรีบร้อนกล่าวขึ้น “พระชายา หากบาดแผลของท่านยังมีเลือดไหลอยู่เช่นนี้อาจจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดีได้โปรดให้หระหม่อมดูแผลของท่านหน่อยเถิด” ชูเซี่ยโบกมือปฎิเสธพัลวัน “บาดแผลไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอก ข้าเพียงแต่รู้สึกเป็นไข้หวัดเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ออกเทียบยาลดไข้และแก้อักเสบให้ข้าเท่านั้นก็พอ” “เป็นไข้งั้นหรือ บาดแผลที่อักเสบมักจะทำให้ร่างกายเป็นไข้สูงได้นะพะย่ะค่ะ คงปล่อยไว้ไม่ได้ ได้โปรดยอมให้กระหม่อมได้รักษาแผลให้ท่านด้วยเถิด” หมอหลวงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะคุกเข่าอ้อนวอนลงกับพื้น ฮ่องเต้ทรงให้เขาออกจากวังมาประจำจวนอ๋องแห่งนี้ก็เพื่อคอยดูแลท่านอ๋องและพระชายาให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเขาก็คงไม่อาจรักษาศีรษะของตนเองไว้บนบ่าได้อีกต่อไป ชูเซี่ยยังคงค้านหัวชนฝา “ข้าสั่งให้ท่านออกเทียบยาลดไข้ให้ข้าก็พอแล้วไม่ใช่หรือ รีบไปเสีย อย่าให้ข้าต้องโมโห” ยามนี้นางจำเป้นต้องสวมหน้ากากพระชายาเพื่อจะให้หมอหลวงยอมล่าถอยออกไป ในเวลาเช่นนี้ต่อให้นางไม่อยากใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นก้ไม่มีทางเลือกแล้ว หมอหลวงมีหรือจะยอมล่าถอยแต่โดยดี เขาเห็นว่ารอมฝีปากแดงของพระชายาแห้งผาก ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะพิษไข้เริ่มเล่นงาน ดูท่าแล้วบาดแผลจะต้องอักเสบขั้นรุนแรงจึงจะมีอาการเช่นนี้ออกมา แต่ทว่าหากเขาไม่ได้ตรวจชีพจรและตรวจดูบาดแผลของนางแล้วออกเทียบยาสุ่มสี่สุ่มห้า หากเกิดอะไรกับพระชายาขึ้นมาเขาต้องรู้สึกเป็นตราบาปไปตลอดเป็นแน่ แต่กระนั้นหมอหลวงก็ยอมล่าถอยออกไปในที่สุด แต่นั่นก็เพื่อที่จะไปตามหลี่เฉินเย่นมาช่วยออกหน้า ทว่าท่านอ๋อง กลับไปอยู่ในจวน เขาจึงต้องหันหน้าไปพึ่งพาหลิวมี่เหอแทน หลิวมี่เหอที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็ยิ้มเย็น สั่งการให้คนออกไปจับตัวสาวใช้ในเรือนหรูอี้มาสอบปากคำ นางเคยบอกกับหลี่เฉินเย่นแล้วว่าชูเซี่ยตั้งใจทำให้บาดแผลของตนเองย่ำแย่ แต่นางก็เห็นว่าหลี่เฉินเย่นเมินเฉยนางจึงคิดว่าเขาไม่เชื่อมั่นใจคำพูดของนาง แต่ทว่าในยามนี้หมอหลวงเป็นผู้มารายงานเสียเองนางจึงสบโอกาสทำเรื่องนี้ให้มันใหญ่โตขึ้นเสียเลย เพื่อกระชากหน้ากากของนางให้ผู้อื่นได้รับรู้กันถ้วนทั่ว ชูเซี่ยถูกพิษไข้เล่นงานทำให้นางรู้สึกอ่อนเปรี้ยเพลียแรงไปหมด แต่กระนั้นนางก็ยังฝืนตนเองไล่เสี่ยวจี๋และมามาออกไปจากห้องเพื่อจะลงมือฝังเข็มจุดสุดท้าย ยามนี้นางฝังไปได้สิบเจ็ดจุดแล้วเหลือเพียงจุดสุดท้ายเท่านั้น ก่อนหน้านี้นางอาจไม่กล้าลงมือแต่ทว่าในตอนนี้นางกลับเลือกที่จะฝังเข็มลงไปทั้งๆที่รู้ว่าผลที่ตามมาไม่ใช่เรื่องดี ในที่สุดเข็มสุดท้ายก็ถูกฝังลงไป ทันใดนั้นเลือดในร่างกายก็เริ่มไหลลงมาบริเวณขาของนางราวกับสายน้ำที่ไหลทะลักราวกับเขื่อนที่ถูกพังทลาย และไหลออกมาเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หากว่าร่างกายของนางไม่มีบาดแผลแล้วล่ะก็เลือดทั้งหมดก็คงยังไหลเวียนไปตามหลอดเลือดหลักในร่างกายไม่เป็น อันตราย อย่างมาที่สุดก็แค่ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจผิดปกติก็เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นอาการที่จะหายได้เป็นปกติในระยาเวลาสั้นๆ ทว่าในยามนี้ขาของนางมีแผลทำให้เลือดไหลทะลักออกมาทางบาดแผลนางจึงต้องรีบกดบาดแผลไว้เพื่อห้ามเลือด เป็นอย่างที่นางคิดจริงๆว่าการทำเช่นนี้จะทหให้เลือดไหลทะลักออกมามากเกินจนทำให้บาดแผลฉีก หรือจะบอกว่ายามนี้บาดแผลของนางมีเลือดสาดออกมาก็ไม่นับว่าเกินจริงเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่นางรู้จักเตรียมตัว ก่อนหน้านี้นางได้เตรียมผ้าเอาไว้กดห้ามเลือดเอาไว้แล้ว จากนั้นก็ร้องเรียกเสี่ยวจี๋และมามา เพื่อให้พวกนางเข้ามาช่วยนางใส่แผล ทว่านางหารู้ไม่ว่าเรือนหรูอี้ในยามนี้ไม่มีใครอยู่เลยสักคนรวมไปถึงเสี่ยวจี๋และมามาเพราะทั้งหมดถูกหลิวมี่เหอสั่งจับไปคุมขังในคุกมืดหมดแล้ว นางหอบหายใจออกมาอย่างลำบาก ดวงตาก็เริ่มมืดบอดจนมองไม่เห็นอะไรอีก นางรู้สึกราวกับว่าร่างกายเบาหวิวราวกับนุ่นที่ร่องรอยอยู่กลางอากาศ จากนั่นก็ตกลงสู่สายน้ำเย็นที่เย็นเยียบไปทั้งร่างไม่อาจขึ้นมาเหนือน้ำได้ ในขณะนั้นเองที่ข้างหูของนางได้ยินเสียงทุ้มตำของใครบางคนที่เอ่ยขึ้นพร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ชูเซี่ย การที่เจ้าทำเช่นนี้เป็นการไม่รู้จักรักชีวิตของตนเองเอาเสียเลย ทว่าแต่แรกเริ่มวิญญาณของเจ้ากับร่างนี้ก็ไม่อาจเข้ากันได้แต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นบาดแผลที่ขาจึงไม่อาจรักษาหายเสียที แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลยแม้แต่น้อยหากเจ้าจะรักษาแผลย่อมไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเจ้าหรอกนะ แต่ครั้งนี้เจ้ากลับรนหาทีฝังเข็มจนทำให้ร่างกายของตนเองย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ข้าเคยช่วยเหลือเจ้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเองเสียแล้วล่ะ ยามนี้ข้าจะมอบยาวิเศษให้เจ้าเม็ดหนึ่งแต่นั่นก็สามารถยื้อชีวิตของเจ้าได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ชะตากรรมของเจ้าคงมีเพียงชายหนุ่มในชะตาลิขิตที่จะช่วยต่อชีวิตให้เจ้าต่อไปได้ หากเจ้าหาเขาไม่พบก็เท่ากับว่าการที่ข้าต่อชีวิตให้เจ้าครั้งนี้ล้วนสูญเปล่า ถึงตอนนั้นก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของเจ้าเถิด!” ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ “ใครคือชายหนุ่มในชะตาลิขิตของข้ากัน” เสียงนั้นหายไปแล้วเหลือไว้เพียงเสียงหึ่งๆที่ดังอยู่ในหูเท่านั้น ชูเซี่ยเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง นางพยามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของนางเปิดเปลือกตาขึ้น แต่ทว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ลืมตาไม่ขึ้นเสียที ในที่สุดความมืดก็เข้าครอบงำนางอย่างสมบูรณ์ หญิงสาวสิ้นสติไม่รับรู้อะไรอีกเลย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดนางก็ค่อยๆฟื้นขึ้นมาแต่ทั่วทั้งลำคอของนางแสบร้อนไปหมด ทั้งแห้งและเจ็บ บาดแผลที่ขาที่นางฝังเข็มไว้ก็เจ็บปวดไปหมด ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรงราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของนางด้วยซ้ำ ทันใดนั้นก็มีเสียงอ่อนโยนของบุรุษดังขึ้นข้างหู “ดีขึ้นหรือไม่” เป็นเสียงของจูเก๋อหมิง แต่ลำคอของนางแห้งและแสบร้อนไปหมดจึงไม่อาจเอื้อนเอยอะไรออกมาได้ทำได้เพียงเฝ้ามองจูเก๋อหมิงนิ่งๆ ดวงตาของจูเก๋อหมิงที่มองมายังนางทั้งวิตกกังวลและเป็นห่วง สายตาเช่นนี้ทำให้นางมีรู้สึกอ่อนโยนและเกิดความอ่อนไหวในหัวใจของตน และคิดถึงคนผู้นั้นขึ้นมา จูเก๋อหมิงถอนหายใจออกมาหนักๆ “เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้” ชูเซี่ยยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่เป็นไร!” ข้ารับใช้ข้างกายของจูเก๋อหมิงเข้ามาพยุงร่างของร่างให้นั่งก่อนค่อยๆป้อนยาให้นางทีละน้อย หญิงสาวรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาเพราะความขมของยาที่นางดื่ม นางทราบดีว่าหากต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนางก็จำเป็นต้องดื่มยาถ้วยนี้ให้หมด ดังนั้นต่อให้นางจะไม่ชอบเพียงใดก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนดื่มต่อไปจนหมด นางรู้สึกคลื่นไส้ในกระเพาะอาหาร หญิงสาวค่อยๆหลับตาลงช้าๆและหายใจลึกๆ เกรงว่าหากไม่ระวังนางคงเผลออาเจียนยาออกมาจนหมด หลักจากผ่านไปสักพักอาการของนางก็เริ่มดีขึ้นจึงได้เอ่ยถามจูเก๋อหมิง “พวกบ่าวรับใช้ของข้าเล่า” ไฉนนางจึงไม่เหนเสี่ยวจี๋และมามาเลย รวมถึงพวกบ่าวรับใช้ในเรือนอีกด้วย จูเก๋อหมิงเอ่ยตอบเสียงเรียบ “เป็นเพราะความดื้อรั้นเอาแต่ใจของพระชายาทำให้พวกนางต่างต้องได้รับโทษกันทั้งสิ้น ยามนี้พวกนั้นทั้งหมดถูกสั่งขังในคุกมืดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ชูเซี่ยตำใจอย่างยิ่ง ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเอง มือบางรีบร้อนเอื้อมไปดึงแขนเสื้อของจูเก๋อหมิง “นี่มันเกี่ยวอะไรกับพวกเขากัน ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้นะ” นางรู้ดีว่าคุกมืดของจวนอ๋องเป็นเช่นไร คนที่เข้าไปในนั้นไม่ตายก็กลับออกมาเยี่ยงคนพิการ จูเก๋อหมิงมองมาที่นาง “พระชายารักและตามใจพวกนางจนเสียคนแต่เหตุใดจึงไม่รู้จักรักตนเองบ้างเล่า ครั้งนี้เชียนโกรธเกรี้ยวอย่างมากถึงขั้นออกคำสั่งไม่ให้ใครขอร้องแทนพวกนางเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคนเหล่านั้นจะต้องถูกขังอยู่ในคุกมืดตลอดชีวิต” ทันใดนั้นชูเซี่ยก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา ลำคอของนางรู้สึกหวานล้ำจากนั้นหญิงสาวก็กระอัดเลือดออกมาคำโตทั้งยังรดใส่ร่างของจูเก๋อหมิงอีกด้วย จูเก๋อหมิงรีบร้อนเข้ามาพยุงร่างของนางก่อนจะสั่งให้คนนำผ้ามาเช็ดเลือดที่นางกระอักออกมาจนสะอาด จากนั้นเขาก็ให้นางกินยาไปเม็ดหนึ่ง ใบหน้าที่อ่อนโยนอยู่เสมอของจูเก๋อหมิงฉายแววโกรธออกมาอย่างรุนแรง “หากเจ้ารักและหวังดีต่อพวกนางจริงก็ไม่สมควรทำเช่นนั้น” ชูเซี่ยเอ่ยปากพูดอย่างอ่อนแรง “ข้าทำเช่นนี้เกี่ยวอะไรกับตามใจพวกนางจนเสียคนกันเล่า ท่านไปเรียกหลี่เฉินเย่นมาพบข้าเดี๋ยวนี้นะ!” บ่าวรับใช้ข้างกายของจูเก๋อหมิงจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่อาจทนต่อไหว “ท่านอ๋องกล่าวไว้ว่าจากนี้ไปไม่อยากพบเจอหน้าของ สตรีที่ใช้มารยาสาไถยทำร้ายตนเองเพื่อเรียกร้องความสนใจเช่นท่านอีกต่อไป” ชูเซี่ยตะลึงงัน “ผู้ใดเรียกร้องความสนใจ ข้าหรือ ข้าเนี่ยนะที่ทำร้ายร่างกายตนเอง พวกเจ้าคิดว่าข้าทำร้ายร่างกายตนเองเพื่อเรียกร้องความสนใจและความสงสารจากท่านอ๋องงั้นหรือ” เสียงของชูเซี่ยที่เปล่งออกมาทั้งอ่อนแรงและเศร้าหมอง นางเอ่ยคำถามที่นางสงสัยออกมาแต่กลับเบาบางเสียจนพวกเขาแทบไม่ได้ยิน ทำให้ในสายตาพวกเขาราวกับนางกำลังหาข้อแก้ตัวให้ตนเองแต่มันช่างฟังดูไร้น้ำหนักเกินกว่าจะให้พวกเขาเชื่อเสียมากกว่า 
已经是最新一章了
加载中