ตอนที่ 54 ปลอบใจ
1/
ตอนที่ 54 ปลอบใจ
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 54 ปลอบใจ
ตนที่ 54 ปลอบใจ จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านทำอะไรย่อมต้องรู้อยุ่แก่ใจไม่ใช่หรือ ในยามนี้หมอหลวงเข้าวังไปกราบทูลต่อฮ่องเต้แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานก็คงต้องเสด็จมากันแน่” ชูเซี่ยรู้สึกระโหยโรยแรง “ที่แท้เขาก็มองว่าข้าเป็นคนเช่นนี้เองสินะ” ทั้งๆที่นางและเขาต่างก็เคยผ่านประสบการณ์เฉียด ตายมาด้วยกันแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังมองว่าเธอเป็นคนเช่นนี้งั้นหรือ จริงอยู่ที่นางอาจเคยตายมาแล้วจริงๆ แต่นางก็ไม่เคยลืมว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นใครและควรดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ในความโกรธที่อัดแน่นเต็มหัวใจทำให้นางหลุดคำพูดบางอย่างออกมาโดยที่ไม่ทันคิด “เข้ากล้ามองว่าข้าชูเซี่ยคนนี้เป็นคนเช่นนั้นหรือ!” โดยไม่ทันคิดนางก็เผลอตนบอกความจริงออกไปว่าตนเองเป็นใครออกไปเสียแล้ว นางหลับตาอย่างข่มอารมณ์ก่อนเอ่ยอีกครั้ง “พวกท่านออกไปให้หมด ข้าอยากอยู่คนเดียว” เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความบาดหมางของนางและหลี่เฉินเย่นเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับผู้อื่นไม่ อีกทั้งจูเก๋อหมิงก็เคยช่วยชีวิตนางไว้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของนาง ต่อให้นางไม่รู้สึกซาบซึ้งก็ไม่สมควรใส่อารมณ์กับเขาเช่นนี้ จูเก๋อหมิงขมวดคิ้วมองนางอย่างพิจารณาเงียบๆ เมื่อเห็นนางหลับตานิ่งๆอย่างต้องการระงับอารมณ์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ออกมาอีก สุดท้ายหมอหนุ่มก็หันกายเดินออกไปจากห้องพร้อมบ่าวรับใช้ประจำตัว หลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ภายในห้องหนังสือ ในมือของเขามีภาพวาดอยู่ใบหนึ่ง เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา มองเห็นวัวและแกะ ครั้งหนึ่งนางเคยยิ้มแย้มบอกกับเขาว่าจะไปเที่ยวทุ่งหญ้าเพื่อไล่ตามหนุ่มน้อยเลี้ยงแกะ ทัศนคติของนางบ่งบอกถึงความใจกว้างและเปิดเผยมาตลอด ในเวลาสั้นๆจะกลายเป็นหญิงสาวที่ใช้มารยาและงี่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจำได้ว่าหลิวมี่เหอส่งคนไปตามเขาที่โรงหมอเพื่อให้เขาและจูเก๋อหมิงรีบกลับมาโดยเร็ว เมื่อเห็นนางนอนหมดสติอยู่บนเตียงทั้งยังมีเลือดไหลออกมามากมาย ลมหายใจของแผ่วเบาจนน่าใจหายราวกับตายไปแล้วก็ไม่ปาน ยามนั้นความกลัวเกาะกินหัวใจของเขาจนปวดร้าวไปหมด เขากลัวเหลือเกินว่านางจะตายไปแล้วจริงๆ ความกลัวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเพียงแค่เขานึกถึงก็ทำให้หัวใจเต้นแรงและเหงื่อไหล่ซึมออกมาตามฝ่ามือและทั้งร่างกาย จูเก๋อหมิงกล่าวว่าโชคดีที่นางรู้จักใช้ผ้าห้ามเลือดของตนเองไว้ ไม่เช่นนั้นนางก็คงเสียเลือดจนตายแน่แท้ เขาใช้วิธีสกัดจุดห้ามเลือดของนางไว้จึงช่วยชีวิตนางกลับมาได้ แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นกลับรู้สึกผิดหวังในตัวนางอย่างยิ่งจนในยามนี้ไม่อยากจะเห็นหน้าของนางอีก แม้กระทั่งคนของเรือนหรูอี้เขาก็ยังใจร้ายสั่งจำคุกมืดจนหมด เมื่อจูเก๋อหมิงมาถึงหอตำรา เขาค่อยๆปิดตำราในมือลง อาจจะเป็นเพราะเคร่งเครียดกับเรื่องบัญชีในกองทัพมาก จนเกินไปทำให้ยามนี้ใบหน้าคมซีดขาวไร้สีเลือด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองจูเก๋อหมิง “นางตายหรือยัง” จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะอย่างระอา “เหตุใดจึงต้องเอ่ยวาจาร้ายกาจเช่นนั้นด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็มีใจให้นางไม่ใช่หรือ” “เดิมทีอาจมี แต่ยามนี้ไม่มีอีกแล้ว” หลี่เฉินเย่นตอบเสียงเรียบ ในสายตาของเขาท่านอ๋องยิ่งผิดหวังมากก็ยิ่งดูจะแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น จูเก๋อหมิงลอบถอนหายใจออกมา “เดิมอาการของนางคงที่แล้วแต่ทว่าเมื่อนางรู้ว่าเหล่าข้ารับใช้ในเรือนของนางถูกคุมขังในคุกมืดก็กระกระอักเลือดออกมา หากเจ้าไม่อยากให้นางตายเข้าจริงๆก็รีบปล่อยพวกเขาออกมาเสีย ในความเห็นของข้าหากนางสามารถลงจากเตียงเองได้ก็คงบุกไปที่คุกมืดด้วยตัวเองแล้วล่ะ อีกอย่างหนึ่งคือนางไม่ใช่หลิวหยิงหลงจริงๆ” หลี่เฉินเย่นชะงัก ก่อนจะมองไปที่สหารักเอ่ยเสียงแหบแห้ง “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้” จูเก๋อหมิงเล่าถึงยามที่นางเผลอตัวหลุดชื่อของตนเองออกมา “ยามที่คนเราตกใจมักจะเผลอหลุดพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจ ออกมาเสมอ แท้จริงแล้วนางชื่อชูเซี่ยจริงๆ” “ชูเซี่ย ชูเซี่ย ที่แท้นางก็เป็นโรคระบาดจริงด้วย!” หลี่เฉินเย่นถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ ในใจรู้สึกหนักอึ้ง หากจะกลับชาติมาเกิดได้นั้นย่อมต้องหมายความว่าร่างเดิมของนางต้องตายไปแล้วจึงจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ หากนางไม่ใช่หลิวหยิงหลง แสดงว่าหลิวหยิงหลงตัวจริงก็คงตายไปแล้ว แต่นางตายได้อย่างไร ตายเพราะอะไร เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจไม่ใช่น้อย เพราะเมื่อก่อนหลังจากที่นางแต่งเข้ามาในจวนอ๋องด้วยนิสัยของนางทำให้เขาไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจนางแม้แต่น้อยเพราะนางเป็นคนทำร้ายฉ่ายเวินจนกลายเป็นแบบนั้น “หากเป็นเช่นนั้นจริง ในยามนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดี นางมีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ” จูเก๋อหมิงรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก หลี่เฉินเย่นนึกถึงเรื่องราวภายในถ้ำที่นางเล่าเรื่องผีให้เขาฟัง โดยตัวละครหลักในเรื่องมีชื่อว่าชูเซี่ย บางทีเรื่องที่นางเล่ามาอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ป็นได้ ชายหนุ่มจึงตัดใจเล่าเรื่องผีเรื่องนั้นให้จูเก๋อหมิงฟัง “เจ้าหมายความว่าหญิงสาวในเรื่องเล่านั่นก็คือชูเซี่ยคนนี้งั้นหรือ แล้วที่นางเอ่ยถึงห้องดับจิตนั่น ว่ากันตามตรงแล้วข้าไม่เคยได้ยินเรื่องห้องนี้ในแคว้นเรามาก่อนด้วยซ้ำ อีกทั้งแคว้นเราและแค้วนใกล้เคียงก็ไม่มีโรงหมอใหญ่โตอย่างที่นางเล่ามาอีกด้วย รวมถึงเรื่องหมอผู้หญิง หมอหญิงในแคว้นเราก็มีอยู่บ้างแต่ที่ได้รับการยอมรับแทบจะไม่มี” “ความหมายของเจ้าคือนางไม่ใช่พวกต่างแดนงั้นหรือ” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นฉายแววตื่นตระหนก “กลัวแต่ว่านางจะมาจากแค้วนของศัตรูเสียมากกว่า บางทีพวกเขาอาจใช้วิชามนต์ดำใส่พระชายาจากนั้นก็สวมวิญญาณเข้าร่างของนางเพียงเพราะต้องการมาล้วงความลับของแคว้นเราก็เป็นได้ แต่ทว่าข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าถ้ามีแผนการเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องใช้สตรีด้วยเล่า สู้ใช้มนต์ดำสลับร่างกับผู้มีอำนาจไปเลยโดยตรงเลยไม่ดีกว่างั้นหรือ” หลี่เฉินเย่นนึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งเสด็จพ่อเคยให้นางเป็นตัวแทนแคว้นมาก่อนก็ส่ายศีรษะปฎิเสธ “ไม่หรอก บางครั้งการใช้สตรีก็ง่ายต่อการจัดการหลายๆเรื่อง เพราะไม่มีผู้ใดเกิดความหวาดระแวงในตัวนางอยู่แล้ว” จูเก๋อหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ปักใจเชื่ออยู่หลายส่วน สีหน้าของท่านหมอหนุ่มหนักอึ้ง ทว่าเมื่อลองตรองดูให้ดีแล้วก็กล่าว ขึ้นมา “หานางมาจากแคว้นศัตรูจริงเหตุใดจึงต้องทำร้ายร่างกายตนเองด้วยเล่า นี่มันไม่สมเหตุสมผล นางควรจะวางตัวและพยายามผูกสัมพันธ์กับคนในวางสิจึงจะถูก” เมื่อหลี่เฉินเย่นลองไต่ตรองดูก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงการคาดเดาแต่ในใจของเขาก็ก็โกรธชูเซี่ยอยู่มาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกมีความหวาดระแวงในตัวหญิงสาวมากกว่าเดิมหลายส่วน เมื่อทั้งคู่ปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจที่จะปล่อยพวกเสี่ยวจี๋ออกมาให้กลับไปอยู่ข้างกายชูเซี่ยเช่นเดิม ชูเซี่ยไม่มีวันนึกถึงว่าหลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงจะคิดว่าตนเองเป็นศัตรูจากต่างแคว้นที่ใช้มนต์ดำเข้าสิงร่างของพระ ชายาหนิงอาน เมื่อนางเห็นว่าพวกเสี่ยวจี๋กลับมาก็ดีใจยิ่งนัก โทสะก่อนหน้าก็จางหายไปแบไม่เหลือ ทว่าเมื่อเห็นว่าใบหน้าของมามามีรอยแผลอยู่ นางอายุมากแล้วยังโดนทำโทษเพียงนี้ทำให้ชูเซี่ยรู้สึกสงสารจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคืองอยู่บ้าง มามาเห็นว่าบาดแผลและร่างกายของชูเซี่ยย่ำแย่มากก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่ชูเซี่ยได้กินยาที่หมอเทวดาต้มแล้ว ชูเซี่ยทราบดีว่าอีกฝ่ายมีเรื่องมากมายจะสนทนากับนาง นางทราบดีว่ามามามีคำถามมากมายที่อยากจะถามนางแต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพราะหญิงสาววัยกลางคนผู้นี้เป็นห่วงละรักนาง ชูเซี่ยจึงยอมพูดคุยกับนางอยู่หลายคำ ยามพลบค่ำวังหลวงก็ส่งคนมาจริงๆ ทว่าหาใช่พวกข้าหลวงไม่แต่ทั้งสองเป็นถึงฮองเฮาและหลงเฟย ชูเซี่ยจับจ้องมาที่พระพักต์ของฮองเฮาที่มีใบหน้าเหมือนแม่ของนางไม่มีผิดก็ทำให้ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วยออกมา ความอยุติธรรมที่นางได้รับมาตลอดก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ “หม่อมฉันถวายบังคมฮองเฮาและหรงเฟยเพคะ!” ฮองเฮาทอดพระเนตรมายังนางก่อนจะถอนปัสสาสะออกมา “หมอหลวงกล่าวว่าเจ้าทำร้ายร่างกายของตนเอง เด็กน้อย เหตุใดเจ้าจึงโง่งมเช่นนี้” เนื่องจากชูเซี่ยเคยช่วยเหลือองค์ชายน้อยมาก่อนทำให้หรงเฟยรู้สึกซาบซึ้งในตัวนางไม่น้อย ยามนี้เมื่อทราบเรื่องหรงเฟยจึงขอติดตามฮองเฮามาด้วยเพื่อมาดูอาการนางโดยเฉพาะ แต่เมื่อพระนางทอดพระเนตรเห็นว่าชูเซี่ยโกธแค้นสองคนนั้นมากทั้งยังแฝงไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ เมื่อฮองเฮาตรัสจบหรงเฟยจึงตรีสเสริมขึ้นมา “บุรุษสามารถแต่งภรรยยาเข้าเรือนของตนได้มากมายนี่เป็นขนบธรรมเนียมที่มีมาแต่ช้านาน หากเจ้าเก็บมันมาใส่ใจก็ดีแต่จะทำให้ปวดหัวเสียเปล่าๆ การทำร้ายร่างกายตนเองเช่นนี้มีแต่จะทำให้คนที่รักและห่วงใยเจ้าเจ็บปวดก็เท่านั้น เจ้าเป็นเด็กใจกว้างไฉนจึงทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้” ชูเซี่ยรู้สึกว่าตนเองได้รับความอยุติธรรมก็อับจนคำพูด น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มช้าๆ ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ขารวมกับความเจ็บใจทำให้นางอยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง นางพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่อาจจะห้ามน้ำตาที่ไหลรินลงมาเป็นสายได้เลย จึงได้แต่ร้องไห้เงียบๆฟังคำพูดปลอบโยนของฮองเฮาและหวังเฟยอย่างแค้นเคืองใจ ฮองเฮาทรงดึงมือของนางไว้ “เด็กน้อย เปิ่นกงรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดและรู้เรื่องราวดี อย่าให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นอีกรู้หรือไม่ รีบๆหายขึ้นมาแล้วก็ยิ้มแย้มใช้ชีวิตอย่างมีความสุขให้เปิ่นกงเห็นเข้าใจหรือไม่” “เห็นหม่อมฉันยิ้มแล้ว พระองค์จะทรงดีพระทัยจริงๆหรือเพคะ” ชูเซี่ยมองพระพักต์ของฮองเฮาก่อนเอ่ยถามช้าๆ ทำให้ ฮองเฮาทรงรับรู้ได้ว่าเรื่องการแก่งแย่งครั้งนี้ทำให้เด็กน้อยคนนี้ไม่สบายใจจริงๆ “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” ฮองเฮาทรงเอื้อมพระหัตถ์มาทาบหน้าผากนางแผ่วเบาก่อนขมวดพระขนง “ไข้ของเจ้ายังไม่ลด เหตุใดดื่มยาเข้าไปแล้วจึงยังไม่ดีขึ้นอีกเล่า หากภายในสามวันเจ้ายังไม่ดีขึ้นเปิ่นกงจะสั่งประหารพวกมันให้หมด” ครั้งหนึ่งชูเซี่ยเยช่วยเหล่าหมอหลวงร้องขอชีวิตไว้ ฮองเฮาทรงทราบดีว่านางเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม ดังนั้นที่ตรัสออกมาเช่นนี้ก็เพื่อให้นางเลิกทำร้ายตนเองและรีบหายดีในเร็ววัน มิฉะนั้นหากอาการของนางย่ำแย่ลงไปอีกจะทำให้หมอหลวงที่อาศัยอยู่ประจำจวนอ๋องไม่อาจหลีกหนีโทษประหารไปได้ เมื่อชูเซี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็ร้อนใจยิ่งนัก “เสด็จแม่ได้โปรดอย่าลงโทษพวกเขาเลยนะเพคะ พวกเขาพยายามอย่างสุด ความสามารถแล้ว หม่อมฉันจะต้องดีขึ้นในเร็ววันแน่นอนเพคะ” หรงเฟยทรงตรัสอย่างเป็นห่วง “เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดกล้ากราบทูลต่อไทเฮา แต่เสด็จพ่อของเจ้าทราบเรื่องแล้วล่ะทั้งยังคิดว่าเจ้าช่างเอาแต่ใจไม่รู้จักวางตัวเกินไปแล้ว หากไม่ได้ฮองเฮาทรงเอ่ยห้ามไว้เกรงว่าคงสั่งลงโทษเจ้าแล้วล่ะ” “ใช่แล้วล่ะ ฝั่งบิดามารดาเจ้าทางเราเองก็จำเป็นต้องปิดบังพวกเขาเช่นกัน บิดาของเจ้ารักละเอ็นดูเจ้ามากยิ่งกว่าผู้ใด หากเขารู้ว่าเจ้าเป็นเช่นนี้จะต้องทำให้อาการป่วยของเขากำเริบขึ้นมาอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงยากที่จะรักษาแล้ว”ฮองเฮาทรงถอนปัสสาสะอย่างอ่อนพระทัย เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ชูเซี่ยเองก็ไม่เคยพบเจอบิดามารดาของหลิวหยิงหลงมาก่อน นางไม่เคยกลับไปบ้านเดิมของเจ้าข้างร่างมาก่อน อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนนางเลยด้วย เมื่อได้ยินฮองเฮาตรัสออกมาว่าบิดาของตนป่วย นางก็รู้สึกกังวลขึ้นมา อยากทราบว่าเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่ “หม่อมฉันไม่เคยกลับบ้านนานแล้ว รอให้หม่อมฉันหายดีก่อนจะกลับไปเยี่ยมเยียนพวกเขาดูสักครั้ง” ฮองเฮาได้ยินที่ชูเซี่ยกล่าวมาก็เลิกพระขนงขึ้น “เจ้ารู้จักคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว ความจริงแล้วคนเป็นพ่อลูกกันจะไปมีความแค้นข้ามคืนต่อกันได้อย่างไรเล่า เรื่องพวกนั้นเจ้าก็อย่าได้นำมันมาใส่ใจอีกเลยนะ มี่เหอนางตั้งมั่นจะออกเรือนให้แก่เชียนอยู่แล้ว อีกทั้งเชียนเองก็มีใจให้นาง แล้วพ่อของเจ้าจะทำเช่นไรได้ในเมื่อลูกสาวทั้งสองต่างก็เป็นเลือดเนื้อของเขาทั้งสิ้น!” เมื่อได้ยินที่ฮองเฮาตรัสมา ชูเซี่ยก็พอจะคาดเดาได้ว่ายามนั้นที่หลิวมี่เหอแต่งให้กับหลี่เฉินเย่นคงทำให้หลิวหยิงหลงรู้สึกเคียดแค้นบิดามารดาของตนเองอยู่มาก อีกทั้งอาจจะทะเลาะกันใหญ่โตเลยก็เป็นได้ ฮองเฮาทรงตรัสเตือนสตินางอีกหลายคำจากนั้นก็ถวายของบำรุงและสมุนไพรให้นางอีกหลายอย่าง เมื่อทุกอย่าง เรียบร้อยดีแล้วพระองค์และหรงเฟยก็เสด็จกลับวังหลวงไป หลังจากฮองเฮาเสด็จกลับไป เจิ้นหยวนอ๋องและพระชายาก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนนางทั้งคู่ เจิ้นหยวนเฟยจับมือชูเซี่ยไว้แน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เรื่องพวกนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาด ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้นแน่ ที่เจ้าทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอะไรแน่จริงหรือไม่” ชูเซี่ยรู้สึกซาบซึ้งประทับใจ นางนึกไม่ถึงจริงๆว่าคนที่เข้าใจนางมากที่สุดแท้จริงแล้วจะเป็นพระชายาเจิ้นหยวน แต่ยามนี้อยู่ต่อหน้าเจิ้นหยวนอ๋องนางจึงไม่อยากอธิบายอะไรให้มากความนัก หญิงสาวจึงทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ “ขอบคุณท่านมากที่เชื่อใจข้า!” “หากเกิดอะไรขึ้นอย่าได้เก็บมันไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวนะ เจ้าสามารถเล่าให้ข้าฟังได้ ต่อให้ข้าไม่อาจช่วยเหลืออะไรเจ้าได้ แต่ไม่แน่ว่าหากได้ระบายออกมาก็อาจทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจขึ้นบ้างก็ได้” “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ จริงๆนะ ข้าสบายดีมาก!” เดิมทีนางก็รู้สึกเย็นลงบ้างแล้ว แต่เนื่องด้วยคำพูดจากเจิ้นหยวนอ๋องทำให้นางอดที่จะเศร้าโศกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นจากนั้นมันก็ค่อยๆจางหายไป เจิ้นหยวนอ๋องเป็นบุรุษที่เงียบขรึมจึงไม่รู้จักวิธีการปลอบใจผู้อื่นเท่าใดนัก แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมาทั้งหนักแน่นและ มั่นคง “หากเจ้ารู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรมก็สามารถมาบอกเปิ่นหวางได้ ต่อให้เปิ่นหวางต้องแรกด้วยชีวิตเปิ่นหวางก็จะทวงความยุติธรรมให้เจ้าจงได้” ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจจนไม่อาจเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้ การปลอบใจของบุรุษบางครั้งก็ไม่อาจเข้าใจถึงจิตใจล้ำลึกของสตรี แต่ก็พอที่จะทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาได้บ้าง
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 54 ปลอบใจ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A