ตอนที่ 56 นางตายแล้ว
1/
ตอนที่ 56 นางตายแล้ว
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 56 นางตายแล้ว
ตนที่ 56 นางตายแล้ว หลี่เฉินเย่นก้มลงมองขาของตนเองอย่างประหลาดใจก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความปิติยินดี เขาลุกขึ้นมาได้แล้ว เขายืนขึ้นได้แล้ว แต่เพียงไม่นานเขาก็ค่อยๆเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง เพราะบนพื้นมีกระเป๋าผ้าบรรจุเข็มอยู่ห่อหนึ่งอีกทั้งขาทั้งสองข้างของเขาก็มีเข็มทองเปร่งประกายแวววาวฝังคาอยู่บนนั้น เขาเกือบจะส่งเสียงคำรามออกมา ชายหนุ่มรีบร้อนวิ่งไปพยุงร่างบอบบางของนางมาโอบกอดไว้ ใบหน้าของนางอาบไปด้วยเลือดเนื่องด้วยเมื่อครู่ศีรษะของนางกระแทกเข้ากับผนังอย่างรุนแรงกระทบกับแผลเดิมบนหน้าผากก่อนหน้าทำให้ยามนี้มีเลือดไหลอาบจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าเดิมของนาง ลมหายใจของหญิงสาวรวยรินราวกับจะหมดไปได้ทุกเมื่อ ความหวาดกลัวแพร่กระจายไปยังหัวใจของเขาครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ทีละน้อย เขาเกลียดตนเองจนอยากจะปลิดชีพตนเองเสียตอนนี้ “เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร เปิ่นหวางจะรีบเรียกจูเก๋อมาที่นี่ เจ้าต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” เขาโอบกอดร่างของนางไว้แน่นก่อนจะตะโกนเรียกคนข้างนอกเสียงดัง “ใครก็ได้! มีใครอยู่ไหม!” ประตูถูกเปิดออกทันที มีคนหลายคนเข้ามาภายในห้อง เสี่ยวจี๋และมามาก็เข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อทั้งหมดเห็นสภาพห้องก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที ทุกคนต่างตกใจจนร่างกายเย็นเฉียบคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ในความวุ่นวายนั้นไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนไปเชิญจูเก๋อหมิงและหมอหลวงเข้ามา และก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำความสะอาดหน้าให้แก่ชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นรู้เพียงแค่ภายในห้องมีคนมากมายเหลือเกิน หูของเขาได้ยินเสียงอื้ออึงเต็มไปหมด ชายหนุ่มเพียง ต้องการโอบอุ้มนางไว้เช่นนี้ไม่ยอมปล่อยมือไปไหน จูเก๋อหมิงตรวจดูชีพจรของนาง ใบหน้าตื่นตระหนกของหลี่เฉินเย่นเลื่อนสายตามามองที่เขานิ่งๆก่อนเอ่ยขึ้น “ให้นางกินยาของเจ้า หรือฝังเข็มก็ได้ มีเข็ม...” เขากวาดตามองห่อผ้าที่บรรจุเข็มที่เคยอยู่บนพื้นห้อง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันหายไปที่ใดเสียแล้ว ชายหนุ่มรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ห่อผ้าเล่า ห่อผ้าที่ใส่เข็มอยู่ที่ใดแล้ว รีบหาดูเร็วเข้า!” ดวงตาของจูเก๋อหมิงหม่นหมองมองดูสหายรักของตนอย่างเจ็บปวด “เชียน นางไม่ไหวแล้ว เจ้าปล่อยนางไปเถิด” “พูดจาเหลวไหล!” หลี่เฉินเย่นกอดชูเซี่ยไว้แน่นพลางส่งเสียงคำรามใส่จูเก๋อหมิง “เจ้าเป็นหมอเทวดาไม่ใช่หรือ นางยังหายใจอยู่แท้ๆเจ้ากลับบอกว่านางไม่ไหวแล้ว เจ้า เข้ามาตรวจดูเดี๋ยวนี้!” ท่านอ๋องหันไปเรียกหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างหลังจูเก๋อหมิงมาแทน หมอหลวงเข้ามาตรวจชีพจรให้พระชายาอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนดวงตาของเขาจะมืดมนลง ท้ายที่สุดการวินิจฉัยก็เป็น เช่นเดียวกันกับที่จูเก๋อหมิงกล่าวมา “ไสหัวไป...” ชายหนุ่มคำราม “เสี่ยวซานจื่อ รีบเข้าวังไปตามหมอหลวงมาให้หมด!” จูเก๋อหมิงเอ่ยอยากลำบากใจ “เชียน พูดอะไรกับนางหน่อยเถิด!” ความหมายของเขาก็คือหากไม่เอ่ยอะไรออกไปในยามนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้เอ่ยอะไรอีกต่อไปแล้ว จูเก๋อหมิงไล่คนออกไปนอกห้องให้หมดเหลือเพียงหลี่เฉินเย่นที่โอบกอดชูเซี่ยไว้ในอ้อมแขนของตนเองบนเตียงเท่านั้น ชูเซี่ยกำลังจะตาย ยามที่หลี่เฉินเย่นเตะนางไปกระแทกผนัง ศีรษะของนางถูกกระแทกอย่างรุนแรง บาดแผลที่ขาของ นางก็ฉีดขาด ร่างทั้งร่างของนางเจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีด ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ร่างทั้งร่างของนางหนาวเย็นจนสั่นเทา แม้แต่ริมฝีปากของนางก็สั่น ดวงตาของนางเริ่มพร่าลาย คลับคล้ายกับว่าเบื้องหน้าของนางคือทุ่งยาสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ผืนหญ้าสีเขียวตัดกับ ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างที่มีเมฆสีขาวเหมือนปุยนุ่น เมฆสีขาวเหมือนปุยนุ่นมีความยาวสุดสายตาและท้องฟ้าสีฟ้าผสมผสานกันเหมือนกับผ้าไหมผืนหนึ่งที่ย้อมด้วยมือดูสวยงามประทับใจ น้ำตาของเขาไหลลงมาหยดลงบนใบหน้าเย็นเฉียบของนางจนหญิงสาวรู้สึกอุ่นวาบบริวเณนั้น นางอยากจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เขาเหลือเกิน นางไม่อยากให้เขาร้องไห้เลยสักนิด นางเป็นคนที่ตายไปนานแล้ว แค่ตายอีกครั้งหนึ่งเขาไม่จำเป็นต้องเสียใจเลยสักนิด ทว่าเพียงแค่หายใจแต่ละครั้งนางยังลำบาก ประสาอะไรกับเอ่ยคำพูดออกมาเล่า ลำคอของนางรู้สึกถึงความคาวหวานของเลือดก่อนจะค่อยๆไหลออกมาจากมุมปาก นางไม่รู้มาก่อนว่าร่างกายของตนยังมีเลือดเหลือให้ไหลออกมามากขนาดนี้ เขาเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของนางอย่างต่อเนื่อง มือหนาสั่นสะท้าน ชายหนุ่มโน้มกายลงมาจุมพิตริมฝีปากเย็นชืดของนาง เขาเกลียดนัก เขาเกลียดตนเองเหลือเกิน ยามนี้เขารู้แล้วว่านางทำร้ายร่างกายของตนเองไม่ใช่เพราะต้องการ เรียกร้องความสนใจหรือแก่งแย่งเขา แต่นางทำไปทั้งหมดก็เพื่อต้องการรักษาขาทั้งสองข้างให้เขาเพียงเท่านั้น ทว่าเขา ในเวลาที่นางกำลังย่ำแย่ถึงขีดสุดเขากลับไม่เคยมาเยี่ยมหรือดูอาการนางเลยสักครั้ง เขาเกลียดที่นางทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เกลียดที่นางเอาชีวิตของตนเองมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เขายอมนั่งรถเข็นตลอดชีวิตก็ได้ ขอเพียงแค่นางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป นางลืมตาจ้องมองมาที่เขา ใบหน้าของนางสะท้อนอยู่ในแววตาของเขา หญิงสาวพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยคำพูดออกไป “ท่าน...จำไว้ ข้าชื่อ...ชูเซี่ย...” นางอ้าปากหอบหายใจอย่างยากลำบาก เหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผมมีเลือดผสมลงมาด้วย ฝ่ามือหนาของเขาพยายามห้ามเลือดบนหน้าผากของนางที่เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาอีกครั้ง ร่างหนาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ท่านอ๋องรีบร้อนเอ่ยตอบนาง ใบหน้าคมตื่นตระหนกหวาดกลัวไปหมด “เปิ่นหวางรู้ เปิ่นหวางรู้มาตลอด” ยามที่เขาโดน ยาสลบเมื่อครู่ ในภวังค์ เขาได้ยินเสียงของนางที่กระซิบอยู่ข้างหูของเขา นางบอกว่านางชื่อชูเซี่ย นางรักเขา นางบอกว่านางชอบที่เขาเป็นภัยพิบัติของนาง เป็นโรคระบาดของนาง ภัยพิบัตินั้นคือความรัก รอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้แรกแย้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของนาง ร่างทั้งร่างของนางล่องลอยและว่างเปล่า ยามนี้ราวกับว่านางเพิ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำทั้งซีดขาวแต่ก็ดูบริสุทธิ์ รอยยิ้มของนางค่อยๆเลือนหายไป ดวงตากลมค่อยๆปรือลงช้าๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดีจริง เช่นนั้นข้าก็สามารถไปทุ่งหญ้าเพื่อไล่ตามหนุ่มน้อยได้แล้วสินะ” ศีรษะของนางค่อยๆตกลงมาแนบลงบนอ้อมอกเขาในที่สุด มุมปากของนางมีรอยย้มจางๆราวกับว่านางได้ไปไล่ตามหนุ่มน้อยเลี้ยงแกะบนทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างมีความสุขแล้วจริงๆ ความโศกเศร้าเสียใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้เขาเงยหน้าขึ้นกู่ร้องออกมา “ชูเซี่ย...” หลิวหยิงหลงเป็นคนที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชูเซี่ยเองก็เช่นกัน ยามนี้คนที่จากไปเป็นหลิวหยิงหลงหรือชูเซี่ยก็ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัด ไม่มีผู้ใดรู้ได้ ไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้เลย... องค์หญิงอี้ฮุยพระชายาหลิวหยิงหลงเสียชีวิตแล้ว ท่านอ๋องหนิงอานหลี่เฉินเย่นโอบกอดร่างไร้วิญญาณพระชายาของตนไว้ในอ้อมแขน ไม่ว่าใครพูดหรือกล่าวอะไรเขาก็ไม่ยอมให้ใครแย่งชิงร่างของนางไปจากอ้อมแขนเขาเด็ดขาด “นางต้องฟื้นขึ้นมาแน่ ยามที่อยู่บนเขานางก็เคยไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้วแต่สุดท้ายนางก็ฟื้นขึ้นมาได้ นางจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่...เปิ่นหวางไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องนาง!” ท่านอ๋องกอดร่างของนางไว้สามวันสามคืนไม่ยอมแตะข้าวปลาอาหาร แม้แต่น้ำสักหยดเขาก็ไม่ดื่ม ชายหนุ่มยังคงเชื่อว่านางจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่ายามนี้ร่างกายนางจะเย็นเฉียบาวกับน้ำแข็ง ทว่าเขาก็ยังเชื่ออย่างหมดหัวใจว่านางจะฟื้นคืนมา เขาไม่ยอมปล่อยให้นางไปนอนอยู่บนโลงศพเย็นเฉียบแบบนั้นและถูกฝังลงไปอยู่ใต้ดินเป็นอันขาด! เขาและนางเคยเล่าเรื่องผีด้วยกัน นางบอกกับเขาว่าในโลกใบนี้มีผีอยู่จริงๆ เขาเองก็เชื่อ ฉะนั้นเขารู้ว่าแม้ว่านางไม่อาจฟื้นคืนมาแต่ดวงวิญญาณของนางจะต้องกลับมาหาเขาแน่ เขารอ เฝ้ารออย่างบ้าคลั่ง ฮ่องเต้ทรงเสด็จออกจากวังด้วยตัวพระองค์เอง การตายของชูเซี่ยทำให้พระองค์เสียพระทัยอย่างยิ่ง ทว่าราชวงศ์ก็สมควรวางตัวให้สมกับเป็นราชวงศ์ การที่สายเลือดกระษัตริย์มาโอบกอดร่างไร้วิญญาณไว้ไม่ยอมให้ใครจัดพิธีศพให้นาง ปล่อยให้นางจากไปไม่สงบ ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ตลอดชีวิตของหลี่เฉินเย่นนางไม่เคยขัดรับสั่งของเสด็จพ่อเลยสักครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้แม้ว่าฝ่าบาทจะส่งตรัสด้วยตนเองทั้งยังคาดโทษเขาก็ยังไม่ยินยอมที่จะปล่อยมือของนาง ชายหนุ่มมองผู้มีศักดิ์เป็นบิดาและเป็นถึงกษัตริย์ด้วยสายตาท้อแท้สิ้นหวัง เขาเอ่ยขอร้องผู้เป็นพ่อ “เสด็จพ่อได้โปรดปล่อยให้ลูกทำเรื่องไร้สาระสักครั้งเถิด ลูกไม่อยากปล่อยมือไปจากนาง” ฮ่องเต้ส่ายพระพักต์อย่างอ่อนใจ “เจ้ารู้ตัวด้วยงั้นหรือว่ากำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่ หยิงหลงจากไปแล้ว เจ้าทำเช่นนี้จะดีแต่จะทำให้วิญญาณของนางไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันเล่า” “ลูกทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้ดวงวิญญาณของนางสงบสุขนั่นล่ะพะย่ะค่ะ หากนางทราบว่าลูกกำลังโศกเศร้า นาง จะต้องกลับมาแน่ เสด็จพ่อ เป็นลูกที่ฆ่านาง นางช่วยชีวิตของลูก รักษาขาของลูกจนหาย แต่ลูกกลับทำร้ายนางจนตาย ลูกไม่อยากติดค้างนาง หม่อมฉันติดค้างนางหนึ่งชีวิต เสด็จพ่อ ยามนั้นที่ลูกขึ้นไปเก็บหญ้าหลินเฉ่าบนยอดเขากับนาง นางเคยตกน้ำไม่หายใจไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดนางกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ก็เป็นไปได้ว่านางอาจฟื้นขึ้นมาเหมือนครั้งก่อน” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างสุดทน “เหลวไหล! คนตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพได้อย่างไรกัน” ฮ่องเต้ทรงถอยออกไปก่อนบัญชาองครักษ์เบื้องหลัง “พวกเจ้าไปลากท่านอ๋องออกมา ให้พระชายาได้จากไปอย่างสงบ” เหล่าราชองครักษ์รับบัญชา ก่อนจะก้าวเดินมาข้างหน้าทว่าหลี่เฉินเย่นกลับยกกริชขึ้นมาจ่อที่ลำคอของตน ดวงตาคมจ้องมองมาที่ฮ่องเต้ “เสด็จพ่ออย่าได้บีบบังคับหม่อมฉันอีกเลย หาไม่หม่อมฉันก็จะไปพร้อมกันกับนาง” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรบุตรชายของพระองค์อย่างอ่อนพระทัย ทำไมพระองค์จะไม่เข้าใจในตัวบุตรชายเล่า ครั้งหนึ่ง พระองค์ก็เคยมีช่วงเวลาที่เช่นนี้ เคยได้รับความรักที่งดงามเช่นนี้เช่นกัน น้ำเสียงของฝ่าบาทอ่อนลง ทรงถอนปัสสาสะ “เด็กน้อย ยามที่นางมีชีวิตอยู่เจ้าก็ไม่เคยให้นางอยู่อย่างเป็นสุข ในยามนี้นางจากไปแล้วเจ้าก็ปล่อยให้นางจากไปอย่างเป็นสุขไม่ได้หรือ” เจิ้นหยวนอ๋องก็มาที่จวนเช่นกัน ยามนั้นเขาก็เกือบจะต้องเสียพระชายารักของตนไปแล้ว ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเช่นนี้ เขาก็เคยลิ้มรสมันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อมาเห็นหลี่เฉินเย่นในสภาพเช่นนี้เขาก็รู้สึกทั้งลำบากใจทั้งเห็นใจ เขาเดินเข้าไปจับมือของน้องชายตนเองไว้ “เจ้ามองดูนางเถิด ริมฝีปากของนางประดับไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้โทษเจ้าแม้แต่น้อย นางใช้เข็มทดลองกับร่างของตนเองแสดงว่านางย่อมรู้ถึงผลที่ตามมาอยู่แล้วแต่นางก็ยังดึงดันที่จะทำ นางเพียงแค่ต้องการใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข หากเจ้าเป็นแบบนี้เท่ากับสิ่งที่นางทำไปทั้งหมดต้องสูญเปล่าไม่ใช่หรือ” น้ำตาของหลี่เฉินเย่นไหลลงมาไม่ขาดสาย เขาเอ่ยพึมพำอ “ข้ายอมเดินไม่ได้ตลอดชีวิตก็ไม่ยอมให้นางจากไปจากข้า เสด็จพี่ ข้าเกลียดนางเหลือเกิน ทำไมนางถึงทำอะไรเผด็จการไม่คิดถึงผู้อื่นเช่นนี้” เจิ้นหยวนอ๋องรู้สึกโศกเศร้า ในหัวของเขานึกถึงความกล้าหาญของชูเซี่ย สตรีที่ดีเช่นนางช่างโชคร้ายนัก ฝีมือการแพทย์ของนางสูงส่งแต่ก็ไม่อาจรักษาตนเองได้ เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างลำบากใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่ทว่าท้ายที่สุดนางก็ต้องไปตามทางของนาง เจ้าจะรักนางก็ดี เกลียดนางก็ดี จากนี้ไปก็ต้องเก็บไว้ในใจแล้ว เข้าใจหรือไม่” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้” เจิ้นหยวนอ๋องถอนหายใจออกมา “ถ้าเช่นนั้นอย่าได้โทษพี่เลยนะ!” เขาทนไม่ไหวตัดสินใจซัดฝ่ามือเข้าที่ท้ายทอยของหลี่เฉินเย่น หลี่เฉินเย่นตกใจก่อนที่สติของตนจะค่อยๆดับลง ยามที่ร่างของเขาค่อยๆล่วงลงสู่พื้น หัวใจของเขาท้อแท้สิ้นหวังเหลือเกิน ต่อไปเขาจะไม่ได้เห็นนางอีกแล้วสินะ หลังจากที่ท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเวลาก็ล่วงเลยไปสามวันแล้ว สามวันมานี้เจิ้นหยวนอ๋องให้คนป้อนยานอนหลับให้แก่เขาเพื่อที่จะได้หลับพักผ่อนให้สนิท ชายหนุ่มเอาแต่ขังตนเองไว้ในเรือนหรูอี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยอมพบ ครึ่งเดือนต่อมา ท่านอุปราชบิดาแท้ๆของหลิวหยิงหลงก็เดินทางมาถึง หลี่เฉินเย่นถึงได้ยอมออกมาพบ ทั้งสองคนพบหน้ากัน ต่างคนต่างก็รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกันทั้งคู่ ท่านอุปราชแก่ลงมาก ด้านหลี่เฉินเย่นก็มีสภาพไม่ต่างจากวิญญาณ หนวดเครารุงรัง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ดวงตาลึกโบ๋ ใบหน้าคมซูบตอบ เพียงเพราะหญิงสาวคนหนึ่งตายไปกลับทำให้ชายหนุ่มทั้งสองเจ็บปวดไม่ต่างกัน ท่านอุปราชจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความสงสาร “โศกเศร้าเสียใจได้ แต่อย่าทำร้ายตนเองเช่นนี้เลย” หลี่เฉินเย่นรับคำ ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าสบสายตาของท่านอุปราช ความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจของเขา เป็นเขาที่ทำให้ชูเซี่ยต้องตาย ท่านอุปราชถอนหายใจ “ความจริงแล้วหยิงหลงเสียไปตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้วล่ะ พวกข้าทราบมาโดยตลอดว่าพระชายาที่อยู่ในจวนอ๋องของท่านไม่ใช่หยิงหลงของพวกข้า” หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดก่อนเอ่ยถามอย่างร้อนรน “ท่านพ่อตากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ท่านอุปราชเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าและดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวด “หลังจากที่หยิงหลงออกเรือนไป มีครั้งหนึ่งที่หยิงหลงกลับมาที่บ้านและทะเลาะกับพวกข้าสามีภรรยาอย่างหนัก นางกล่าวว่าหากพวกข้าตกปากรับคำให้มี่เหอแต่งกับท่านก็เท่ากับว่าบีบบังคับให้นางตาย ยามนั้นพวกเราเข้าใจว่านางเอ่ยออกมาเช่นนั้นด้วยอารมณ์ พวกข้าไม่ได้คิดถึงจิตใจของนางในตอนนั้นเลยสักนิด แต่สุดท้าย หลังจากนั้นสองวันยามที่พวกข้าสองสามีภรรยานอนอยู่บนเตียงก็พบว่านางกลับมาอีกครั้ง นางก้มลงคำนับพวกข้า กล่าวขอบคุณและซาบซึ้งในบุญคุณของพวกเราทั้งยังบอกอีกว่านางคงต้องไปแล้ว จากนั้นข้าก็เห็นกับตาว่าร่างของนางค่อยๆจางหายไปในที่สุด ข้าจึงได้รู้ว่ายามนั้นนางคงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว” ซ่งอิว่นเชียนตกใจ “เช่นนั้น เหตุใดพวกท่านจึงไม่ส่งคนมาสืบที่จวนอ๋องเล่า” ดวงตาของท่านอุปราชเปียกชื้น เขาพยายามกระพริบตาเพื่อไล่น้ำตาของตนก่อนยิ้มขมขื่น “พวกข้ามีหรือจะไม่ส่งคนมาสืบ ความจริงพวกข้าสืบเรื่องราวของนางมาโดยตลอด ในใจก็รู้แต่แรกแล้วว่านางไม่ใช่หยิงหลงอีกต่อไป ทว่าการที่มีนางอยู่ในร่างของหยิงหลงก็เหมือนกับเครื่องปลอบประโลมจิตใจของพวกเราสองสามีภรรยา ดังนั้นพวกข้าจึงไม่คิดจะเปิดเผยความลับของนาง” คลื่นความกลัวเข้าถาโถมเข้ามาในจิตใจของหลี่เฉินเย่นอย่างต่อเนื่อง เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยินเลยสักนิด “ข้าชื่อชูเซี่ย!” ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงของนางกระซิบอยู่ริมใบหูของเขา
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 56 นางตายแล้ว
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A