ตอนที่ 57 พูดความจริงหลังเมามาย
1/
ตอนที่ 57 พูดความจริงหลังเมามาย
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 57 พูดความจริงหลังเมามาย
ตนที่ 57 พูดความจริงหลังเมามาย ‘ชูเซี่ย ชูเซี่ย...’ ในใจของหลี่เฉินเย่นพร่ำเรียกชื่อนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเจ็บปวด เรื่อยๆไม่ยอมหยุด นางมาอยู่ข้างกายของเขาแล้วแท้ๆ นางคือของขวัญที่ดีที่สุดที่เบื้องบนส่งมาให้แก่เขา แต่ทว่าเป็นเขาเองที่ทำเรื่องผิดพลาดอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ท่านอุปราชเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกขอบคุณในตัวของหญิงสาวผู้นั้นเหลือเกิน ในชีวิตของหยิงหลง นางเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจและดื้อรั้น ภายในวังหลวงอันกว้างใหญ่เห็นจะมีก็แต่ฮองเฮาที่รักและเอ็นดูนาง แต่ทว่าหญิงสาวคนนี้กลับใช้ชีวิตและความสามารถของนางพิสูจน์และสร้างชื่อเสียงให้แก่หยิงหลงของข้า ยามนี้หากมีผู้ใดเอ่ยถึงชื่อหลิวหยิงหลงก็ล้วนนึกถึงคุณงามความดีที่นางทำทั้งสิ้น” ไม่ว่าใครก็มองออกว่านางเป็นสตรีที่ดี ยกเว้นเขา! หลังจากที่ท่านอุปราชเดินทางกลับไปแล้วเขาก็กลับเข้าไปเก็บตัวในเรือนหรูอี้อีกสามวันสามคืน ย่างเข้าวันที่สี่ท่านอ๋องก็ยอมออกมาจากเรือนหรูอี้ในที่สุด ยามที่ชายหนุ่มออกมาท้องฟ้าวันนั้นเป็นสีเทาไร้ชีวิตชีวา แสงแดดอบอุ่นในสาทรฤดูไม่มีให้เห็นอีกต่อไป เหมันต์ฤดูใกล้เข้ามาแล้ว เสี่ยวจี๋และมามาร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่หลายวัน แต่ทว่าก่อนชูเซี่ยตายเคยมอบหมายเรื่องบางเรื่องให้พวกนางไปจัดการ พวกนางไม่มีทางลืมโดยเด็ดขาด จึงจำเป็นต้องไปจัดการเรื่องพวกนั้นให้เรียบร้อยเสียก่อน ทางด้านแม่ของเสี่ยวฉิง ชูเซี่ยได้สั่งให้หมอหลวงเข้าไปดูอาการนางตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งยังมอบเงินให้แก่พวกนางก้อน หนึ่ง ชูเซี่ยรู้สึกผิดต่อเสี่ยวฉิงมาโดยตลอดเพราะนางรู้สึกว่าสาเหตุที่เสี่ยวฉิงต้องตกงานมาจากตัวนางเอง ดังนั้นนางจึงบอกกับมามาว่าหากเสี่ยวฉิงยินดีจะกลับมาทำงานที่จวนก็ให้พานางกลับมาด้วย มามาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลี่เฉินเย่นฟัง แรกเริ่มเดิมทีหลี่เฉินเย่นก็ไม่เชื่อแม้แต่น้อย เขานึกมาตลอดว่าเสียวฉิง และมี่เหอร่วมมือกันใส่ร้ายชูเซี่ย ชูเซี่ยสมควรรังเกียจและเมินเฉยเสี่ยวฉิงจึงจะถูก แต่เมื่อลองส่งคนไปสื่บเรื่องราวให้กระจ่างเขาก็ได้ทราบว่าชูเซี่ยเคยส่งหมอหลวงไปตรวจดูอาการมารดาของเสี่ยวฉิงมาแล้วจริงๆ เนื่องจากเป็นความปราถนาของชูเซี่ย เขาจึงไม่ลังเลที่จะรับเสี่ยวฉิงกลับมาทำงานรับใช้ในจวนอ๋อง ให้หญิงสาวเข้ามาทำงานในเรือนหรูอี้ไม่จำเป็นต้องรับใช้ใครอื่นอีก เมื่อเสี่ยวฉิงทราบว่าชูเซี่ยตายไปแล้วก็ร้องไห้ออกมา สาวใช้ทุกคนในเรือนต่างก็รับรู้ถึงความดีงามและความทุ่มเทของ นายหญิงของพวกตน แต่ทว่าเป็นหญิงสาวในนามหลิวหยิงหลงเท่านั้น ไม่ใช่ชูเซี่ย ราวกับว่าในครั้งหนึ่งในจวนไม่เคยมีหญิงสาวชื่อชูเซี่ยมาก่อน หลี่เฉินเย่นส่งรถเข็นกลับไปให้บิดาของเสี่ยวฉิงเพื่อให้เขาทำการซ่อมแซมประกอบมันขึ้นมาใหม่ แต่ทว่าต่อให้จะ ประกอบและเชื่อมมันเข้ามาใหม่อย่างไรก็ยังเห็นร่องรอยการทำลายมาได้อย่างชัดเจน ก็เหมือนกับหลี่เฉินเย่นในเวลานี้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนเดิมกับเก่าก่อน ทว่าภายในจิตใจของเขากลับแตกสลายไปไม่มีชิ้นดีนับตั้งแต่วันที่ชูเซี่ยตายจากเขาไปแล้ว เนื่องจากการเสียชีวิตของพระชายาหนิงอานทำให้ภายในวังงดจัดงานเฉลิมฉลองรื่นเริงใดๆทั้งสิ้น ไทเฮาก็ทรงเสียพระทัยจนล้มป่วย พระองค์ดึงมือของฮองเฮามากุมไว้ “พวกเราต่างก็ติดค้างนางเหลือเกิน เด็กน้อยคนนั้นรู้เรื่องและเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ หากไม่มีนางเย่เอ๋อและอานเหยียนก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งขาของเฉินเย่นก็คงไม่สามารถเดินได้อีกตลอดชีวิต ข้านึกถึงวันเหล่านั้น วันที่เด็กนอยคนนั้นเข้าวังมา นึกถึงยามที่นางเจรจาเจื้อยแจ้วกับทุกคนก็ทำให้ข้ารู้สึกปวดใจ ยามนั้นเฉินเย่นนใจร้ายกับนางเพราะเรื่องฉ่ายเวินยิ่งนัก ยามนี้หากตีข้าให้ตายข้าก็ไม่มีวันเชื่อว่าหยิงหลงจะเป็นคนทำร้ายฉ่ายเวิน ไม่น่าเล่าว่ายามที่นางเข้าวังก่อนหน้าจึงดูไม่มีความสุขนัก นั่นคงเป็นเพราะตลอดเวลาที่นางออกเรือนไปอยู่จวนอ๋องก็คงไม่เคยพบเจอความสุขเลยกระมัง” ฮองเฮาก็ทรงเศร้าพระทัยเหลือจะเอ่ย พระองค์เห็นหลิวหยิงหลงตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ทรงทอดพระเนตรเห็นนางตั้งแต่เป็นตุ๊กตากระเบื้องเดินได้จนถึงวันที่เติบใหญ่มาเป็นลูกสะไภ้ของพระองค์ พระองค์รักและอดทนต่อเด็กสาวคนนี้มาเสมอแม้ว่าจะมีหลายครั้งหลายคราที่นางทำให้พระองค์ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ภาพลักษณ์ยามที่นางออดอ้อนเชื่อฟังก็ไม่เคยจางหายไปจากพระทัยของพระองค์แม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้ไม่ว่านางจะทำผิดพลาดอะไรพระองค์ก็ยังคงให้อภัยนางอยู่เสมอ ยามที่นางเข้าวังมารักษาอาการให้พระชายาเจิ้นหยวน พระองค์ไม่ได้อยู่ในวังด้วยแต่ก็ได้ยินว่านางทำให้ผ้คนต่างตกตะลึงในฝีมือการแพทย์ของนางยิ่งนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้พระองค์เริ่มเอะพระทัยว่าจริงๆแล้วเด็กสาวคนนั้นอาจไม่ใช่หลิวหยิงหลงที่พระองค์เคยรู้จักอีกแล้ว ดูเหมือนว่าการคาดเดาของพระองค์คงอีกไม่นานที่ความจริงจะเปิดเผยออกมา หลี่เฉินเย่นเดินทางเข้าวังในวันเทศกาลเชียนชิวเพื่อถวายพระพรเสด็จพ่อเสด็จแม่ แต่เนื่งด้วยพระชายาหนิงอานเพิ่งถึงแก่กรรมทำให้ในวังร่วมไว้อาลัยให้นางหนึ่งปีเต็ม ปีนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์จึงทำเพียงร่วมโต๊ะสังสรรค์กันเท่านั้น ชายหนุ่มพาหลิวมี่เหอเข้ามาในวังพร้อมเขาด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่ชูเซี่ยตายไปหลิวมี่เหอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้นางจะไม่ชอบหลิวหยิงหลงมาโดยตลอดแต่ทว่ายามที่พี่สาวของนางตาย หยิงสาวก็ทรุดลงกับพื้นและปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สนใจสิ่งใด ความโสกเศร้าในใจของนางดูเหมือนจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลี่เฉินเย่นเลยสักนิด หลายต่อหลายคนเข้าใจว่านางเสแสร้งแกล้งทำเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานางกับหลิวหยิงหลงไม่เคยลงรอยกันแม้แต่น้อย ทว่ามีเพียงตัวนางที่รู้ดีว่านางไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเลยสักนิด ความเจ็บปวดที่นางแสดงออกมาล้วนออกมาจากใจจริงของนางทั้งสิ้น แม้แต่หลี่เฉินเย่นก็ไม่เชื่อมั่นในตัวนาง ยามที่ชูเซี่ยเสียชีวิตไปแล้วเขาไม่อนุญาตให้นางเข้าใกล้ศพก็พี่สาวเลยสักครั้ง ยามที่หลิวมี่เหอคุกเข่าเคารพศพอยู่นั้นหลี่เฉินเย่นก็ไล่ตะเพิดนางออกไปอย่างไม่ใยดี ในยามนั้นเขาไม่ต่างกับคนบ้าเสียสติ ชายหนุ่มเกลียดชังตนเองที่ชูเซี่ยต้องตายเพราะเขาและก็พาลมาเกลียดหลิวมี่เหอที่เป็นคนคอยพูดจายุแยงด้วย ยามค่ำคืนหลี่เฉินเย่นดื่มสุราไปเยอะมาก เขาเห็นภาพยามที่เจิ้นหยวนอ๋องและพระชายาอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่กลม เกลียวก้ไม่อาจทนเห็นภาพตรงหน้าได้ ช่างเป็นภาพที่ขัดหูขัดตาเขายิ่งนัก ราวกับว่าเขาไม่อาจทนเห็นผู้ใดมีความสุขได้อีก ความสุขเช่นนี้เดิมทีเขาก็เคยมีมันมาก่อนเช่นเดียวกัน เจิ้นหยวนอ๋องเห็นน้องชายของตนดื่มสุราหนักเกินไปก็พยายามห้ามปราม หลี่เฉินเย่นในยามนี้บอบบางเหมือนแก้ว ไม่ว่าถูกกระทบตรงส่วนใดก็ล้วนเจ็บปวด เจิ้นหยวนอ๋องเองก็ลำบากใจ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ พระชายาเจิ้นหยวนจับมือของสวามีอย่างให้กำลังใจพลางก้มลงเอ่ยกระซิบ “หากเขายังทำใจไม่ได้ ท่านก็ให้เขาดื่มสุราหน่อยเถิด โหร่วเฟยกล่าวกับข้าว่ายามที่เขาอยู่ในจวนแทบจะไม่แตะต้องสุราเลยแม้แต่น้อย ไม่กล้าดื่มเพราะกลัวจะประคองสติตนเองไม่ได้” หรงเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็สงสาร นางกวาดตามองเจิ้นหยวนอ๋องครั้งหนึ่ง ใบหน้ามีสีหน้าของความลำบากใจ ปะปนอยู่ ยามที่ชูเซี่ยรักษาอาการของอานเหยียนจนดีแล้ว นางเคยกล่าวคำพูดประโยคหนึ่ง เป็นประโยคที่นางไม่เคยลืมเลือน “การที่สองสามีภรรยากันได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขก็ถือเป็นเรื่องที่ดีงามที่สุดแล้วเพคะ ยังจะมองหาสิ่งอื่นใดอีกเล่า หากพระชายาเจิ้นหยวนไม่อยู่แล้ว ชีวิตของเจิ้นหยวนอ๋องก็คงจบเช่นกัน หรงเฟยโปรดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิดเพคะ” ยามนั้นข้างกายไม่มีใครจึงไม่มีผู้ใดอื่นได้ยินคำกล่าวนั้นของนางอีก ยามนั้นนางไม่ได้ส่งเสียงหรือเอ่ยคำพูดใดออกไป เพราะว่ามีเพียงนางที่ทราบดีกว่าใครว่าถ้วยยาที่นางส่งให้เย่เอ๋อดื่มยามคลอดนั้นเป็นนางเองที่วางยาพิษลงไปในถ้วย ยามนั้นร่างกายของเย่เอ๋อถูกพิษอยู่ก่อนแล้ว หลังจากคลอดอานเหยียนออกมาร่างกายนางก็ย่ำแย่ต่อให้นางถูกพิษเพิ่มไปอีกก็ย่อมไม่มีผู้ใดสาวมาถึงตัวของนาง คนเป็นแม่ล้วนเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งสิ้น เจิ้นหยวนอ๋องเป็นบุตรชายคนโตของฝ่าบาท แน่นอนว่านางย่อมต้องการให้บุตรชายของตนได้นั่งบนบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้ แต่ทว่าคาดไม่ถึงว่าบุตรชายของนางจะแต่งเย่เอ๋อสตรีที่เรียบง่ายเข้ามาในจวน เย่เอ๋อเป็นสตรีที่ไม่มีความคิดที่จะแก่งแย่งชิงดีตำแหน่งบัลลังก์มาเป็นของสวามีเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นบุตรชายนางจึงไม่คิดจะแก่งแย่งบัลลังก์อำนาจเช่นกัน ยามที่เย่เอ๋ออยู่ในภาวะคลอดยาก เจิ้นหยวนอ๋องก็แทบจะล้มทั้งยืน นางทราบดีว่าตราบใดที่เย่เอ๋อยังอยู่บุตรชายของนางก็จะไม่มีวันยืนหยัดต่อสู้ได้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจวางยาพิษลงในถ้วยยาขณะที่ชูเซี่ยช่วยทำคลอดให้แก่นาง แต่ใครจะคาดคิดว่าชูเซี่ยกับมองออกว่ายามนั้นพระชายาเจิ้นหยวนถูกวางยาพิษทั้งยังออกไปตามหาหญ้าหลินเฉ่ามาช่วยเหลือด้วยตนเองการตรวจสอบพิษและหาผู้กระทำจึงถูกระงับไว้ชั่วคราว ต่อมาก็มีอาการป่วยหนักขององค์ชายน้อยและอาการอัมพาตของหลี่เฉินเย่น ฮ่องเต้ทรงหนักพระทัยเสียจนลืมสืบหาต้นต่อของยาพิษต่อซึ่งนั้นเป็นโชคดีของนางยิ่งนัก ทว่านางก็ไม่เข้าพระทัยว่าเริ่มแรกผู้ใดกันที่เป็นผู้วางยาพิษให้เย่เอ๋อเพื่อเอาชีวิตของสองแม่ลูก ถึงจะสงสัยเพียงใดนางก็ไม่คิดจะส่งคนไปสืบค้นเรื่องราวด้วยเกรงว่าจะสาวมาถึงตัวของนางได้ ดังนั้นนอกจากนางจะซาบซึ้งที่ชูเซี่ยช่วยเหลือพระราชนัดดาแล้วนางยังต้องขอบคุณที่ชูเซี่ยไม่นึกจะเปิดเผยความจริง เกี่ยวกับเรื่องที่นางเป็นผู้วางยาลงในถ้วยยา ไม่เช่นนั้นหากมีการสืบค้นเข้าจริงๆย่อมสาวมาถึงตัวนางได้ไม่ยาก หากไม่มีเบาะแสจากชูเซี่ยก็จะไม่มีผู้ใดสาวมาถึงตัวของนางได้อีกต่อไป จะไม่มีผู้ใดรับรู้ว่านางโหดเหี้ยมอำมหิตถึงขั้น วางยาพิษลูกสะไภ้ของตนเองได้ลงคอ ในยามนี้นางเข้าใจแล้ว เข้าใจในที่สุดว่าต่อให้ไม่อาจเป็นฮ่องเต้ได้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป หากยามนั้นเย่เอ๋อตายไปจริงๆ บุตรชายของนางก็คงไม่ต่างอะไรกับหลี่เฉินเย่นในเวลานี้เป็นแน่ “ท่านแม่ ไม่สบายหรือเจ้าคะ” เย่เอ๋อเห็นว่าใบหน้าของหรงเฟยไม่สู้ดีก็อดห่วงไม่ได้ หญิงสาวจึงเอ่ยถามขึ้น หรงเฟยทอดมองใบหน้าของเย่เอ๋อในใจของรู้สึกละอายขึ้นมา ความจริงแล้วเย่เอ๋อเป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์งดงาม ทำหน้าที่และวางตัวได้อย่างเหมาะสมเสมอมาทั้งยังรักและเทิดทูนบุตรชายของนางจากใจจริง หญิงสาวเป็นสะไภ้ที่สมบูรณ์แบบเกินกว่าผู้ใด โชคดีเหลือเกินที่หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยสามารถนำหญ้าหลินเฉ่ากลับมาได้ มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมานางก็ไม่รู้ว่าจะพบหน้าอานเหยียนได้อย่างไร หรงเฟยแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม่ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เห็นเฉินเย่นเป็นเช่นนี้ก็คิดถึงหยิงหลงขึ้นมาก็เท่านั้น” พระชายาเจิ้นหยวนเองก็ถอนหายใจ “จริงเจ้าค่ะ ช่างโชคร้ายเหลือเกิน คนดีมักจะอายุสั้น เมื่อนึกถึงนางข้าก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา” เอ่ยถึงตรงนี้ดวงตากลมก็มีน้ำตาคลอหน่วยออกมา แต่ทว่าวันนี้เป็นเทศกาลเชียนชิว เป็นเทศกาลมงคลนางจึงไม่อาจหลั่งน้ำตาออกมาได้ จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนน้ำตากลับลงไป หรงเฟยจับมือของเย่เอ๋อไว้แน่นก่อนถอนหายใจออกมาหนักๆ หลี่เฉินเย่นเมามายจนหมดสติไปแล้ว ฮ่องเต้จึงทรงรับสั่งให้เจิ้นหยวนอ๋องส่งเขากลับไปพักผ่อน ฮองเฮาทรงห่วงใยในตัวบุตรชายจึงรีบร้อนตามไปดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ยามที่หลี่เฉินเย่นสะลึมสะลือหูของเขาก็มักจะได้ยินเสียงหัวเราะของชูเซี่ยดังอยู่ข้างหูเสมอ ชายหนุ่มดึงมือของเจิ้น หยวนอ๋องไว้แน่นก่อนจะร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ระบายความอั้ดอั้นความเจ็บปวดออกมาราวกับว่าหัวใจของเขาไม่อาจฝืนทนเก็บความเจ็บปวดเหล่านั้นได้อีกต่อไปแล้วจึงระเบิดออกมาในที่สุด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรออกมา เขาพร่ำเอ่ยอยู่เช่นนั้นซ้ำๆโดยที่แม้แต่ตนเองก็ไม่ทันได้ยั้งคิด ภายในห้องยิ่งมาก็ยิ่งมีผู้คนมากขึ้น ไทเฮา ฮ่องเต้ ฮองเฮา หรงเฟย เจิ้นหยวนอ๋องและพระชายา ทุกคนล้วนอยู่ภายในห้องนี้กันทั้งหมด เดิมทีหลิวมี่เหอก็อยู่ภายในห้องเช่นเดียวกัน แต่เมื่อนางได้ยินประโยคพร่ำบอกจากเขาที่เอ่ยถึงหลิวหยิงหลงก็ทำให้นางรู้สึกโศกเศร้าจนต้องหลบออกมาร้องไห้ข้างนอก เขาเอาเพ้อถึงผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็อาเจียนออกมาด้วยความเมามาย ภาพเบื้องหน้าของเขา ราวกับว่าเขากำลังเห็น หญิงสาวที่คำนึกอยู่ทุกเสี้ยวลมหายใจของตนกำลังส่งยิ้มให้เขา พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง “ข้าชื่อชูเซี่ย!” ทุกคนในที่นี้ต่างก็มีสีหน้าหนักอึ้ง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ไปเชิญท่านอุปราชและท่านราชครูเข้าวังมาโดยทันที ภายในห้องทรงอักษร ไทเฮา ฝ่าบาท เจิ้นหยวนอ๋องและหรงเฟยต่างก็อยู่ เมื่อท่านอุปราชและท่านราชครูมาถึงก็ทรงให้เข้าพบทันที เวลาผ่านไปนาน ระหว่างนี้ฝ่าบาททรงไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้า ออกห้องทรงอักษรโดยเด็ดขาด เรื่องที่คุยกันในห้องทรงอักษรไม่อนุญาตให้แพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาดเนื่องจากเป็นรับสั่งจากฝ่าบาท ผู้ใดแพร่งพรายผู้นั้นต้องโทษประหาร เพราะเหตุนี้ หญิงสาวนามว่าชูเซี่ยจึงมาปรากฎตัวที่เมืองหลวงเงียบๆและก็จากไปเงียบๆเช่นเดียวกัน ฝ่าบาทส่งเอ่ยขึ้นอย่างอาลัย “สตรีประหลาด โชคร้ายเหลือเกิน มิฉะนั้นข้าก็คงมอบยศฐาบรรดาศักดิ์ให้แก่นางไปแล้ว จะมีตำแหน่งใดเหมาะกับนางบ้างหรือไม่นะ” ไทเฮาทรงเป็นผู้นับถือในพระพุทธเจ้ามาเนิ่นนาน ทรงเงียบไปนานจึงจะค่อยๆตรัสออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ “อามิตตาพุทธ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสวรรค์จะประทานสิ่งที่ล้ำค้าเช่นนี้มาให้แก่พวกเรา” “นี่ก็อธิบายได้แล้วสินะเพคะว่าเหตุใดเฉินเย่นที่ไม่เคยชื่นชอบในตัวหยิงหลงมาก่อนจึงได้เกิดหลงรักนางขึ้นมา แท้จริงแล้วพวกนางต่างเป็นคนละคนกัน เช่นนั้นแล้วแท้จริงหยิงหลงเป็นอะไรตายกันแน่นะเพคะ” ฮองเฮายังทรงมีจุดที่พระองค์ไม่เข้าใจอยู่ ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้ มีเพียงหลิวหยิงหลงตัวจริงที่ทราบ แต่ทว่าท่านอุปราชรู้แจ้งอยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะบุตรสาวของตนไม่ได้รับความรักจากสวามีของตนอีกทั้งบิดามารดาแท้ๆของตนเองยังเห็นชอบให้น้องสาวออกเรือนมาใช้พระสวามีร่มกันกับนาง หยิงหลงรู้ว่าโดยตลอดว่าท่านอ๋องรักใคร่ชอบพอในมี่เหอ ดังนั้นเมื่อมี่เหอแต่งเข้ามาในจวนและได้รับความรักและความเอาใจใส่ของท่านอ๋อง นางจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจจบชีวิตที่ท้อแท้สิ้นหวังของตนลง ทำให้หญิงสาวที่มีนามว่าชูเซี่ยสบโอกาสเข้ามาอยู่ในร่างของนางได้ ใช้ชีวติอยู่ในร่างของหลิวหยิงหลงมานานถึงสองเดือน เพียงแค่ช่วงระยะสั้นๆเพียงสองเดือนกลับเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้มากถึงเพียงนี้ น่าเสียดายเหลือเกินที่หญิงสาวนามว่าชูเซี่ยไม่อาจรักษาร่างนี้ไว้ได้นาน
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 57 พูดความจริงหลังเมามาย
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A