ตอนที่ 58 พอแล้ว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 58 พอแล้ว
ต๭นที่ 58 พอแล้ว สามปีต่อมา แสงแดดในสารทฤดูร่วงที่สาดส่องลงมายังทางเดินแคบๆในหุบเขาฉีอวิ๋นทำให้เห็นถึงหญิงสาวในชุดอาภรณ์เหลืองที่กำลังเดินจูงลาตัวหนึ่ง หญิงสาวโพกผ้าสีฟ้าลายดอกไม้ไว้บนศีรษะทำให้นางแลดูอ่อนโยนและอบอุ่นท่ามกลางแสงอาทิตย์ ดูเหมือนนางจะ เดินทางมาเป็นระยะทางไม่น้อยแล้วทำให้หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง นางจึงหันซ้ายแลขวาก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างหินก้อนใหญ่ข้างทางก้อนหนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปเปิดห่อสัมภาระที่เจ้าลาน้อยแบกอยู่เพื่อหยิบน้ำดื่มออกมา เมื่อดื่มน้ำไปหลายอึกนางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ “อากาศแบบนี้ สบายดีเหลือเกิน!” ราวกับว่าเจ้าลาฟังที่หญิงสาวพูดมารู้เรื่องเพราะยามที่มันยืนเล็มหญ้าอยู่บริเวณขาของนางมันก็มักจะเงยหน้าขึ้นมา มองดูนางเป็นระยะๆ ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมใดๆ เพียงแต่ริมฝีปากอิ่มสีแดงรับกับคิ้วโค้งงอน ดวงตากลมโตที่ดูฉลาดมีไหวพริบนั่นทำให้นางจัดได้ว่าเป็นหญิงสาวที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง นางเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าลาเบาๆ “ลงจากเขาฉีอวิ๋นไปพวกเราก็จะเข้าเขตเมืองหลวงแล้วล่ะนะ ไม่รู้ว่าผ่านมาสามปีจะยังมีใครจำข้าได้อยู่หรือไม่นะ” ก่อนที่นางจะชะงักกึกและยิ้มขบขันออกมา “จะจำได้อย่างไรกันเล่า ถึงต่อให้จำได้ข้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนี่นา” เจ้าลาส่งเสียงต่ำๆออกมาราวกับเห็นด้วยกับสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยออกมา หญิงสาวเอ่ยต่ออีกครั้ง “เพียงแต่ว่า ข้าควรใช้ชื่อใดดีนะ เอาเข้าจริงๆบนโลกใบนี้มีชื่อมากมายหลายชื่อให้ข้าเลือก แต่ข้าก็ยังชื่นชอบชื่อชูเซี่ยมากที่สุดอยู่ดี ก็ชื่อนี่พ่อกับแม่ตั้งให้ข้าเองนี่ อีกอย่างเขาก็คงลืมชื่อชูเซี่ยไปแล้วกระมัง เขาก็แค่ไม่ชอบเรื่องผีที่ข้าเล่าให้ฟังจึงนำชื่อตัวละครมาเรียกข้าก้เท่านั้น เขาบอกว่าข้าเป็นเพียงโรคระบาด ช่างเป็นผู้ชายที่นิสัยไม่ดีจริงๆ ดีนะที่ข้าออกมาแล้ว” กล่าวจบนางก็ยกน้ำขึ้นมาดื่มอีกสองอึกใหญ่ก่อนจะเก็บน้ำเต้ากลับคืนไปในห่อสัมภาระ “ไปกันเถิด นายท่านเหมา ลง เขากัน พวกเราจะเข้าเมืองหลวงกันแล้วล่ะ!” ในเมืองหลวงมีโรงหมอขนาดใหญ่แห่งหนึ่งชื่อว่า โรงหมอกังหยู เป็นโรงหมอที่หมอเทวดาจูเก๋อหมิงเป้นผู้สร้างขึ้นมา ภายในไม่ใช่โรงหมอธรรมดาที่มีหมอเพียงแค่คนเดียว โรงหมอกังหยูแห่งนี้มีหมอประจำอยู่ถึงสิบกว่าคน แต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกันไป หลังจากผ่านช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์มาแล้ว โรงหมอกังหยูก็มีการป่าวประกาสรับสมัครหมอเข้าร่วมงานในโรงหมอ กังหยูแห่งนี้ แน่นอนว่าบรรดาหมอน่าใหม่ต่างก็อยากมาร่วมงานที่โรงหมอกังหยูแห่งนี้เพื่อจะศึกาวิชาการแพทย์จากท่านหมอเทวดาจูเก๋อหมิง ดังนั้นทันทีที่มีการป่าวประกาศรับสมัครก็มีเสียงตอบรับถล่มทลายทันที ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาจูเก๋อหมิงอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าใดนัก แพทย์ที่เขาต้องการตัวหาใช่แพทย์ทั่วไปไม่ เขาต้องการหาท่านหมอที่มีฝีมือเชี่ยวชาญในด้านการฝังเข็มต่างหากเล่า หลายปีมานี้เขาพยายามศึกษาการฝังเข็มมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเพราะไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำทำให้แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใดเขาก็ไม่อาจศึกษาและเข้าใจมันได้อย่าถ่องแท้และมีความก้าวหน้าเสียที “คุณชาย ท่านมั่นใจหรือว่าการฝังเข็มจะช่วยทำให้ฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาได้ คุณหนูฉ่ายเวินสลบไสลเช่นนี้มาหลายปีแล้วจะมีอกาสฟื้นขึ้นมาได้หรือขอรับ” เด็กจัดยาข้างกายเขาถามขึ้นอย่างสงสัย จูเก๋อหมิงเอ่ยตอบ “เมื่อหลายปีก่อนแม้ว่าข้าจะไม่เห็นยามที่พระชายาช่วยเฉินเย่นฝังเข็มรักษาขาของเขา แต่เส้นเลือดและชีพจรที่ขาของท่านอ๋องสามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ความสามารถที่สามารถรักษาได้อย่างล้ำลึกเช่นนี้ก็เห็นจะมีเพียงการฝังเข็มเพียงเท่านั้น ขนาดอาการของเขาข้าในตอนนั้นยังไม่อาจรักษาได้แต่การฝังเข็มกลับทำได้เพราะฉะนั้นข้าจึงเชื่อว่าการฝังเข็มจะช่วยรักษาฉ่ายเวินได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าดูเหมือนว่าการหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด” สุดท้ายจูเก๋อหมิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “เมื่อหลายปีก่อนฝีมือการแพทย์ของพระชายาล้ำเลิศยิ่งนัก หากว่าคุณชายสามารถเรียนรู้ได้จากนางสักสองถึงสามส่วนก็คงจะดีนะขอรับ!” เด็กจัดยาข้างกายของก็มีท่าทีเสียดาย มีผู้มีฝีมือล้ำเลิศอยู่ข้างกายแต่กลับไม่เห็น เส้นผมบังภูเขาเสียจริง น่าเสียดายยิ่ง! การผ่าตัดทำคลอด ฝังเข็มรักษาพระราชนัดดาของฝ่าบาท สุดท้ายก็ใช้ร่างกายของตนเองเป็นหนูทดลองลองฝังเข็ม เพื่อที่จะรักษาขาทั้งสองข้างของเฉินเย่นให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง เรื่องมากมายที่นางทำทำให้ผู้อื่นรู้สึกทึ่งได้เสมอ หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาเชื่อว่าตนคงไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นแน่ แม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มแม้แต่น้อยแต่เขาเชื่อว่าหากฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาก็คงจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาต้องการรักษาฉ่ายเวินให้หายเพราะตลอดระยะเวลาสามปีมานี้หลี่เฉินเย่นสหายรักของเขามุ่งมั่นแต่การฆ่าฟันศัตรู อยู่ในสนามรบราวกับพวกไม่รักตัวกลัวตาย ในสามปีมานี้เขาเกือบตายก็หลายครั้งทำให้ฮองเฮารู้สึกเป็นห่วงนางยิ่งนัก ดังนั้นฮองเฮาจึงทรงขอร้องให้เขาช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของหลี่เฉินเย่นให้หายดังเดิม ทั้งๆที่พระองค์ทราบดีอยู่แก่ใจว่าที่หลี่เฉินเย่นเป็นเช่นนี้ก็เพราะชูเซี่ย หากกล่าวกันตามจริง ชูเซี่ยเองก็จากโลกนี้ปามปีแล้วแต่ทว่าหลี่เฉินเย่นกลับยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความโศกเศร้านั้นออกมาเสียที แต่ฉ่ายเวินเป็นหญิงสาวที่มีอัทธยาศัยดี จิตใจงดงาม นางและหลี่เฉินเย่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก บางทีเฉินเย่นอาจจะยอมฟังคำขอร้องของฉ่ายเวินก็เป็นได้ หากวิธีนี้ไม่ได้ผลก็คงไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว หลี่เฉินเย่นไม่เคยเอ่ยชื่อชูเซี่ยต่อหน้าเขาอีกเลย ราวกับว่าชื่อนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเฉินเย่นไปเสียแล้ว หากเขาได้ยินชื่อนางจากปากของผู้อื่นก็จะหวนคิดไปถึงช่วงเวลานั้น แค่ได้ยินชายหนุ่มก็จะขาดสติดื่มเหล้าเมามายราวกับคนบ้า ชายหนุ่มจะดื่มเหล้าจนตนเองหลับไปเป็นวันเป็นคืนก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาพบเจอผู้ใด เด็กหนุ่มจัดยานามว่าเสี่ยวฟางเห็นว่าจูเก๋อหมิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก “ผู้ที่เข้ามาสัมภาษณ์วันนี้ก็ใกล้หมดแล้ว มีใครพอจะผ่านเกณฑ์ไหมขอรับ” “ไม่มีเลย” จูเก๋อหมิงรู้สึกหมดหนทาง “ช่างมันเถิด ป้ายป่าวประกาศพวกนี้คงไม่ช่วยอะไร ข้าคงต้องเข้าวังขอพระราช โองการจากฝ่าบาทเพื่อให้พระองค์ประกาศหาคงจะง่ายกว่า” “ก็ดีนะขอรับ ใต้หล้ามีหมอมากฝีมือมากมาย จะต้องมีผู้มีฝีมือไม่แพ้พระชายาอยู่แน่ขอรับ” เสี่ยวฟางเอ่ย “ท่านหมอจูเก๋อ ด้านนอกมีหญิงสาวผู้หญิงกล่าวว่าจะมาสมัครเป็นท่านหมอที่นี่ขอรับ” ท่านหมอที่มีหน้าที่ปรุงยาเดินเข้ามาบอกเขา “หญิงสาวงั้นหรือ” จูเก๋อหมิงนิ่งไป “อายุเท่าไหร่แล้ว” “เป็นเพียงหญิงสาวที่เพิ่งเลยวัยปักปิ่นมาขอรับ นางจูงลามาด้วยกัน ยามนี้รออยู่หน้าโรงหมอขอรับ” ท่านหมอผู้มีหน้าที่ปรุงยาเอ่ยตอบ เสี่ยวฟางรีบกล่าวขึ้น “ไม่พบแล้ว แค่หญิงสาวเพียงผู้เดียวจะไปมีความสามารถอะไรกัน คุณชายเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทั้งยังมีนัดร่ำสุรากับท่านอ๋องยามค่ำอีก ไล่นางกลับไปเถิด” จูเก๋อหมิงลองเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์ข้างนอก “ยังเช้ามากนัก พานางเข้ามาเถิด” ท่านหมอปรุงยารับคำก่อนจะเดินออกไป เมื่อเขากลับมาอีกทีก็มีหญิงสาวในชุดเหลืองเดินตามเข้ามาด้วย “แม่นาง ท่านผู้นี้ก็คือท่านหมอจูเก๋อของโรงหมอแห่งนี้” หญิงสาวเสื้อเหลืองโค้งคำนับอย่างอ่อนช้อย “คำนับท่านหมอเทวดาจูเก๋อ” สามปีที่ผ่านมานี้จูเก๋อหมิงไม่ให้ผู้ใดเรียกเขาว่าหมอเทวดาอีกเลย ไม่ใช่เพราะเรื่องของเฉินเย่น แต่มันเป็นเพราะว่าเขายังคิดว่าฝีมือการแพทย์ของตนเองยังไม่ล้ำเลิศถึงเพียงนั้น อย่างน้อยเมื่อเทียบกับชูเซี่ยฝีมือเขาก็เทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำ ดังนั้นสามปีมานี้เขาจึงไม่ยอมให้ใครมาเรียกขานเขาว่าหมอเทวดาอีกเลย แต่ในยามนี้หญิงสาวในชุดเหลืองกลับเรียก ทำให้ท่านหมอหนุ่มขวมดคิ้วไม่ชอบใจ “เรียกข้าว่าจูเก๋อหมิงหรือท่านหมอจูเก๋อก็พอ!” หญิงสาวในชุดอาภรณ์สีเหลืองแย้มยิ้มออกมา “เจ้าค่ะ ท่านหมอจูเก๋อ” “เชิญนั่งก่อนเถิด ขอถามว่าแม่นางมีนามว่าอะไรหรือ” จูเก๋อหมิงจับจ้องหยิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา นางดูเหมือนจะอายุยี่สิบต้นๆเท่านั้น ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู บนศีรษะของนางโพกผ้าสีฟ้าลายดอกไม้จนดูเหมือนกับเป็นหญิงสาวที่มาจากชนบท ทว่าขนาดใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉมแล้วนางยังดูน่ารักถึงเพียงนี้ หากว่าแต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่และประทินโฉมให้งดงาม นางจะงดงามสักเพียงใดกันนะ หญิงสาวชุดเหลืองกอดห่อผ้าในอ้อมกอดก่อนเอ่ยตอบ “ข้าชื่อชูเซี่ย!” จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ ดวงตาคมมองใบหน้าของหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะหือีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามอย่างยากลำบาก “เจ้าชื่อชูเซี่ยหรือ ชูเซี่ยไหน สะกดเช่นไร” “เวิน ที่แปลว่าอบอุ่น อี้ที่มาจากความรักเจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ” ใบหน้าของชูเซี่ยยังคงยิ้มแย้มให้อีกฝ่าย แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกตื่นตระหนก ดูจากสีหน้าและแววตาของเขาราวกับว่าตกใจชื่อของนางอย่างมาก หรือว่าหลี่เฉินเย่นเคยเล่าเรื่องของนางให้เขาฟังงั้นหรือ จูเก๋อหมิงมองสบดวงตากลมโตของนาง “บ้านเดิมของแม่นางอยู่ที่ไหนหรือ แม่นางเคยเดินทางมาที่เมืองหลวงหรือไม่” ชูเซี่ยตอบกลับ “ข้าเคยมาที่เมืองหลวงกับท่านอาจารย์ครั้งหนึ่งเมื่อยังเด็ก อยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น จากนั้นเมื่อโตมาก็ไม่เคยมาอีกเลยเจ้าค่ะ” “ขอถามว่าอาจารย์ของแม่นางคือผู้ใด” จูเก๋อหมิงรีบถามขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้ ชูเซี่ยส่งเสียงกระดากอายเล็กน้อย “เอ่ยขึ้นมาข้าก็รู้สึกอายเล็กน้อย อาจารย์ของข้าไม่ใช่มีผู้เสียงอะไรหรอกเจ้าค่ะ เขา เป็นแค่ท่านหมอท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่บนเขาเท่านั้น” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าสอบถามอีกแล้ว จูเก๋อหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาก้มลองมองถ้วยชาในมือก่อนจะเงยหน้ามองชูเซี่ยนิ่งๆ ชูเซี่ยเองก็ดื่มชาอย่างใจเย็นทำเป็นไม่เห็นสายตาของจูเก๋อหมิงที่มองมาที่นางอย่างสนอกสนใจ “แม้นางเชี่ยวชาญด้านใดหรือ” จูเก๋อหมิงเอ่ยถามขึ้น “ไม่อาจกล่าวได้ว่าเชี่ยวชาญ อยู่ต่อหน้าท่านหมอจูเก๋อหมิงใครจะกล้าเอ่ยคำว่าเชี่ยวชาญออกมากันเล่า ชื่อเสียงของท่านข้าได้ยินมานานแล้ว ขอกล่าวตามตรงไม่ปิดบังท่าน การที่ข้าเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ก็เพื่อท่านหมอจูเก๋อโดยเฉพาะ ข้าอยากมาฝึกฝนวิชาการแพทย์กับท่าน ไม่ทราบว่านท่านหมอจูเก๋อพอจะให้โอกาสข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” ชูเซี่ยจ้องมองเขาด้วยสายตาเปร่งประกาย สายตาของจูเก๋อหมิงพร่าไปชั่วครู่ วาจาสามารถหลอกลวงกันได้ แต่ลักษณะนิสัยไม่สามารถโกหกได้ หากเป็นชูเซี่ย เมื่อก่อนจะมาส่งสายตาออดอ้อนเขาเช่นนี้ทำไมกันเพราะวิชาการแพทย์ของนางสูงส่งกว่าเขาตั้งหลายเท่า ยามที่เขาได้ยินชื่อนางครั้งแรก แวบหนึ่งที่เขาคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง ความเป็นไปได้นี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มี นางเคยเข้าสิงร่างของหลิวหยิงหลงได้เหตุใดจะเข้าร่างของหญิงสาวผู้อื่นไม่ได้กันเล่า แม้ว่าในยามนี้เขาจะอดรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยไม่ได้ แต่ทว่าเขาก้ไม่คิดจะถอดใจในตอนนี้หรอกนะ “ใช่แล้ว แม่นางเคยได้ยินตำราแพทย์โอสถมาก่อนหรือไม่” จูเก๋อหมิงเอ่ยถามขึ้นราวกับว่าเขาแค่กำลังชวนนางสนทนา ชูเซี่ยรู้สึกสับสนเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “วิชาแพทย์ข้าต่ำต้อย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าตำราแพทย์โอสถนี้เป็นบทประพันธ์ของท่านหมอท่านใดหรือเจ้าคะ” “เจ้าไม่เคยอ่านหรือ” จูเก๋อหมิงถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตำราเล่มนี้ เป็นตำราที่ข้าตามหามาโดยตลอด ข้าไม่มีวาสนาได้อ่านหรอกเป็นสหายของข้าผู้หนึ่งที่เล่าให้ฟังก็เท่านั้น” “อ่อ เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นอย่างไร้เดียงสา “หากว่าท่านหมอหาพบ กรุณาให้ข้ายืมอ่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” “แน่นอน!” จูเก๋อหมิงรับปากนางก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ไม่ทราบว่าแม่นางเคยเรียนวิชาฝังเข็มมาก่อนหรือไม่” ชูเซี่ยยิ้มแย้มตอบ “เคยเรียนมาบ้างเจ้าค่ะ ไม่นับว่าเชี่ยวชาญ” ดวงตาของจูเก๋อหมิงเป้นประกาย มองมาที่ชูเซี่ย ก่อนตั้งคำถาม “หากว่ามีผู้ป่วยคนหนึ่ง ได้รับความทุกข์ทรมานจาก อาการปวดหัวลมเล่า จะรักษาโดยการฝังเข็มอย่างไร” “ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวลม สาเหตุมาจากอาการร้อนใน เมื่อลมหนาวภายนอกมาปะทะความร้อนในร่างกายจะทำให้เกิดอาการปวดหัวลมที่ยากจะรักษาให้หายขาด ดังนั้นยามที่ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เกิดอาการปวดหัวขึ้นมาก็จะทุกข์ทรมานแสนสาหัสรวมไปถึงอาการปวดจมูกและวิงเวียนหน้ามืด การรักษาด้วยยาจะได้ผลน้อยกว่าการฝังเข็มเจ้าค่ะ แม้ว่าโรคนี้จะดูยุ่งยากแต่การรักษาด้วยการฝังเข็มนับว่าง่ายดายนัก เพียงแค่ฝังเข็มลงไปในจุดเฟ่ยซูและไป่ฮุ่ยเพียงครึ่งเดือนก็จะรักษาได้หายขาดเจ้าค่ะ” “ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ โรคนี้เป็นโรคที่กำเริบซ้ำได้บ่อยครั้ง สามารถระงับได้ชั่วคราวแต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แค่ฝังเข็มก็สามารถหายได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยางั้นหรือ” จูเก๋อหมิงถาม “ใช้ยาก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีเจ้าค่ะ แต่จะช่วยเพียงการล้างหลอดเลือดทำให้เลือดลมไหลเวียนง่ายขึ้นเพียงเท่านั้น ประโยชน์ของยาก็นับว่ามีอยู่ ทว่าขึ้นชื่อว่าเป็นยาอยู่แล้วก็นับว่ามีพิษอยู่ถึงสามส่วนต่อให้เป็นตัวยาที่ดีเลิศเพียงใดก็ตาม ดังนั้นหากเป็นไปได้ข้าก็เลือกที่จะใช้วิธีฝังเข็มมากกว่าการให้ดื่มยาอยู่แล้วเจ้าค่ะ” จูเก๋อหมิงมองใบหน้านางด้วยแววตาชื่นชม “เจ้ากล่าวไม่ผิด ขึ้นชื่อว่าเป็นยาก็มีพิษถึงสามส่วน ต่อให้เป็นตัวยาดีเลิศ เพียงใดก็นับว่าใช่ ดังนั้นเราจึงไม่ควรใช้ตัวยาเพื่อที่บั่นทอนพลังในร่างกายของผู้ป่วย ผู้ที่ดื่มหรือบำรุงของที่มีสรรพคุณดีเลิสมาตลอดก็ใช่ว่าจะร่างกายแข็งแรงกว่าคนทั่วไปเสียที่ไหน” ชูเซี่ยอมยิ้ม “แน่นอนเจ้าค่ะ นอกจากนี้ยาที่กินบำรุงหรือรักษามากเกินไปก็อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการต่อต้านตัวยาขึ้นมาได้อีกด้วย” 
已经是最新一章了
加载中