ตอนที่ 61 ต่างกันนิดๆ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 61 ต่างกันนิดๆ
ต๭นที่ 61 ต่างกันนิดๆ กลุ่มทหารองครักษ์แบ่งขนาบข้างอยู่สองฝั่งนอกประตูห้องนอน ในมือของแต่ละคนถือดาบดาวไว้ในมือ บนหลังคาก็มีพลทหารกองธนูประจำที่ ทุกฝ่ายต่างเตรียมตัวพร้อมรับมืออย่างเคร่งครัดด้วยเกรงว่านักฆ่าจะย้อนกลับมา เสี่ยวจี๋ผลักประตูห้องให้เปิดออกพลางหันมามองใบหน้าของชูเซี่ยที่ยืนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ด้านหน้า ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าหญิงสาวผู้นี้อายุยังน้อยแต่กลับได้เป็นถึงท่านหมอ จูเก๋อหมิงและบรรดาหมอหลวงยืนล้อมอยู่รอบๆเตียง เสี่ยวซานจื่อก็อยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งยังมีคนจัดยาอยู่ใกล้ๆอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนมีหน้าที่เป็นคนจัดจาประจำตัวของหมอหลวงที่อยู่ประจำการในจวนอ๋องแห่งนี้ ในมือของคนจัดยาคนหนึ่งมีอ่างทองแดงอยู่ในมือ น้ำในอ่างที่เคยใสตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด ชูเซี่ยไม่เคยเป็นโรคกลัวเลือดมาก่อนทว่าในยามนี้ยามที่เห็นเลือดมากมายในอ่างนางก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา บนพื้นมีเลือดอยู่กองหนึ่ง ในนั้นมีเศษผ้าของเขาปะปนอยู่ด้วยฝีมือของหมอหลวงที่จำเป็นต้องตัดเสื้อผ้าออกมาบางส่วนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น สีของเลือดและสีของยาผสมปนเปกันไปหมด สีเหลืองสีแดงยากจะแยก แต่ทว่าสีแดงก่ำของเลือดกอปรกับแสงแดดจ้าในช่วงเที่ยงทำให้มันยิ่งเด่นชัดเสียจนชูเซี่ยรู้สึกว่าสีของมันทิ่มแทงสายตาของนางเสียเหลือเกิน ชูเซี่ยพยายามระงับสติอารมณ์ของตนเองก่อนจะวิ่งไปเบื้องหน้า “อาการเป็นอย่างไรบ้าง” นางสำรวจใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเป็นอันดับแรก ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดคงเพราะเกิดจากการที่เจ้าตัวเสียเลือดมากเกินไป ดวงตากลมโตก้มลงมาสำรวจแผงอกเปล่าเปลือย เพียงแค่เห็นเท่านั้น ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของนาง ร่างบอบบางยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ แข้งขาของนางเริ่มอ่อนจนแทบจะทรงตัวไว้ไม่ไหว ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก น้ำตาเอ่อคลอก่อนจะค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ร่างทั้งร่างแทบจะย้อมไปด้วยสีเลือด รอยดาบที่อยู่บนร่างของเขาลึกมาก จนถึงตอนนี้เลือดก็ยังไม่มีทีท่าว่าหยุดไหล หน้าอกหนึ่งดาบ ช่วงท้องหนึ่งดาบ และบั้นเอวอีกหนึ่งดาบ ยังไม่รวมถึงรอยแผลเป็นที่เกิดจากการต่อสู้ที่เริ่มกลายเป็นแผลเป็นไปแล้วอีกนับไม่ถ้วน เพียงแค่เห็นแผลพวกนี้หัวใจของนางก็รู้สึกเสียใจและหวาดกลัวเหลือเกิน ที่แท้แล้วสามปีมานี้เขาใช้ชีวิตผ่านมาแบบไหนกันแน่นะ จูเก๋อหมิงหันหน้ากลับมาเอ่ยเสียงเครียด “อาการไม่สู้ดีนัก เลือดไหลไม่ยอมหยุด!” ชูเซี่ยหายใจเข้าลึกๆ นางวางกล่องยาในมือลงก่อนจะหยิบห่อเข็มของตนเองออกมา “ถอยออกไปให้หมด ข้าจัดการเอง!” เมื่อหมอหลวงเห็นว่าผู้พูดเป็นเพียงแม่นางน้อยนางหนึ่ง ทั้งยังขวัญกล้าถึงเพียงนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ท่านอ๋องเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งจะปล่อยให้เด็กสาวไม่มีที่มาที่ไปอย่างเจ้ามารักษาท่านอ๋องได้อย่างไร” หมอหลวงท่านนี้เมื่อก่อนดำรงเป็นถึงแพทย์ประจำกองทหารรักษาการณ์กองทัพขึ้นตรงกับจวนอ๋องหนิงอานโดยตรง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยรักษาอาการให้ชูเซี่ยในร่างของหลิวหยิงหลงเช่นกัน ท่านหมอคนนี้ไม่ใช่ผู้มีจิตใจชั่วร้ายอะไร แต่เพราะยามนี้ทุกนาทีขึ้นอยู่กับชีวิต สถานการณ์จึงกดดันให้เขาเผลอพูดจาไม่รักษาน้ำใจเช่นนี้ออกมา ชูเซี่ยรู้ดีว่าพวกเขาที่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงหมอหลวงย่อมต้องลำบากใจไม่น้อย หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นนาย พวกเขาย่อมต้องถูกตัดสินโทษหนักเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเช่นนั้นจะให้พวกเขาปล่อยให้ชูเซี่ยซึ่งเป็นหมอไร้ชื่อเสียงเช่นนี้มารักษาได้อย่างไร จูเก๋อหมิงหันมาเพ่งมองชูเซี่ย “เจ้ามีวิธีหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยตอบ “ข้าสามารถฝังเข็มที่จุดชีพจรเพื่อห้ามเลือด สามารถยืดเวลาออกไปได้ พวกท่านก็เตรียมยากันบาดทะยักและผงซำฉิกนำสองตัวยานี้มาต้มรวมกัน ต้องเร็วหน่อย ชักช้าจะไม่ทันการณ์” จูเก๋อหมิงหันไปสั่งการกับหมอหลวงทันที “ได้ ทำตามที่นางบอก หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง” หมอหลวงมองจูเก๋อหมิงอย่างประหลาดใจ เดิมทีเขาไม่ต้องการให้ชูเซี่ยมารักษาอาการ บาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นเลย แต่ทว่ายามที่เขาเห้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจของจูเก๋อหมิงก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงมีความสามารถมากพอที่จะทำให้หมอเทวดาเชื่อใจในตัวนางได้ ชูเซี่ยฝังเข็มลงจุดชีพจรอย่างรวดเร็ว สามปีมานี้ นางฝึกฝนวิชาเข็มทองจนชำนาญ การลงเข็มแต่ละครั้งของนางรวดเร็วแทบมองไม่เห็นเงา แม้แต่จูเก๋อหมิงละหมอหลวงก็มองไม่ออกว่านางฝังเข็มลงไปตรงจุดใดของร่างกายบ้าง แต่เวลาแค่ชั่วครู่เท่านั้นบาดแผลที่เคยมีเลือดไหลออกมา อย่างต่อเนื่องกลับค่อยๆไหลน้อยลงเรื่อยๆ หรือจะกล่าวให้ถูกคือหยุดไหลในที่สุด หมอหลวงมองชูเซี่ยด้วยสายตาทึ่งๆ ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะอ้าปากถาม “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้คือ” ชูเซี่ยปรายตามองจูเก๋อหมิงแวบหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าแซ่ชู!” “ท่านหมอชูฝีมือการฝังเข็มของท่านช่างสูงส่งยิ่งนัก ทำให้ข้ารู้สึกเปิดหูเปิดตาอย่างยิ่ง!” หมอหลวงเอ่ยชื่นชมนางจากใจจริง จูเก๋อหมิงมองมาที่นางด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขานึกว่านางจะยอมเชื่อฟังคำที่เขาเอ่ยไปก่อนหน้านี้ว่านางไม่ควรบอกชื่อจริงของนางออกมา แต่สุดท้ายนางก็เอ่ยชื่อแซ่จริงๆของนางออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง แต่ก็เอาเถิด ถ้าหากว่าเฉินเย่นฟื้นขึ้นมา จะบอกเขาก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเดิมทีเขาก็ตั้งใจจะบอกความจริงให้สหายรักของเขาฟังอยู่แล้ว นี่คือความคิดของหลี่เฉินเย่นในยามนี้ ท่านหมอหนุ่มรีบออกเทียบยาส่งให้คนจัดยาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ฝ่ายนั้นรีบต้มยาโดยเร็วที่สุด หลังจากห้ามเลือดแล้ว ท่านหมอหลวงก็รีบล้างแผลให้สะอาดก่อนเป็นอันดับแรก แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้วแต่ร่างกายของท่านอ๋องก็เสียเลือดไปไม่ใช่น้อย ยามนี้ท่านอ๋องจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ก็จำเป็นต้องอาศัยโชคเข้ามาช่วยแล้ว ทันทีที่ชูเซี่ยเปิดประตูห้องเตรียมจะเดินออกมาจากห้องนอนก็มีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งเซถลามาข้างหน้า ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าหญิงสาวผู้นี้คือหลิวมี่เหอนั่นเอง ไม่ได้พบหน้านางมาสามปี สีหน้าของหญิงสาวดูไม่ค่อยจะดีนัก แม้ว่าจะถูกประทินโฉมไว้อย่างดีแต่ก็ยังเห็นใบหน้าเหลืองซีดเซียวได้อยู่ ดวงตาทั้งสองก็ดูเลื่อนลอย เรือนร่างดูเปราะบางราวกับจะพริ้วไปตามลมได้อย่างไรอย่างนั้น ด้านหลังของนางมีสาวใช้อยู่สองคน คงจะเป็นสาวใช้ข้างกายของนางที่ตามมายังเรือนหรูอี้ด้วยกัน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ยอย่างงุนงง ครั้นจะเอ่ยปากถามก็เหลือบไปเห็นกล่องยาในมือนางเสียก่อนก็รู้ได้ในทันทีว่านางคงจะเป็นท่านหมอเช่นกัน มือผอมแห้งรีบรั้งร่างของชูเซี่ยไว้ก่อนถามอย่างร้อนรน “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” ชูเซี่ยมองสบสายตา นางพยายามจะข่มอาการเศร้าและน้อยใจที่ตีตื้นขึ้นมาในอกของตนเอง “ไม่ค่อยดีนัก โหร่วเฟยเข้าไปดูอาการท่านอ๋องหน่อยเถิด” หลิวมี่เหอร้องไห้ออกอย่างห้ามไม่อยู่ รีบร้อนวิ่งเข้าไปข้างในห้องแทบจะทันที ชูเซี่ยหันหลังกลับไปมองด้วยความลำบากใจ แต่ดวงตากลมโตกลับประสานเข้ากับดวงตาอบอุ่นของจูเก๋อหมิงที่ดูเหมือนจะมองมาที่นางอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาของท่านหมอหนุ่มมองที่นางนิ่งๆ ชูเซี่ยรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไมหรือเจ้าคะ” นางคงคาดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ยามที่นางเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าโหร่วเฟยนั้นอยู่ในสายตาของจูเก๋อหมิงด้วย นางไม่เคยพบหน้าหลิวมี่เหอมาก่อนแล้วเหตุใดจึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นโหร่วเฟยกัน จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่มี แค่รู้สึกว่าทักษะการฝังเข็มของเจ้าช่างเลิศล้ำเหนือผู้ใดจริงๆ ดูท่าว่าฉ่ายเวินคงจะมีโอกาสรอดแล้ว” “ดูเหมือนว่าท่านจะห่วงใยในตัวหญิงสาวที่ชื่อฉ่ายเวินเหลือเกินนะเจ้าคะ หรือว่านางเป็นคนรักของท่านหรือเจ้าคะ” ชูเซี่ยเอ่ย จูเก๋อหมิงเห็นว่านางเข้าใจผิดก็ไม่คิดจะอธิบายแก้ต่างอะไร “นับว่าสนิทสนมกันดี ข้าเป็นหนึ่งในคนหลายๆคนที่อยากเห็นนางฟื้นขึ้นมา” ชูเซี่ยส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ราวกับว่าเขาจะชอบพอกับใครก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง ไม่นานนักในวังก็ส่งคนมา แต่เนื่องจากอาการของหลี่เฉินเย่นหนักหนาสาหัสเอาการ แม้แต่ฮ่องเต้ก็เสด็จมาด้วยพระองค์เอง แต่ทว่าจำเป็นต้องปิดข่าวเรื่องอาการของหลี่เฉินเย่นไว้ไม่ให้ไทเฮาล่วงรู้เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพของพระองค์ ชูเซี่ยถูกเชิญมาอยู่ในห้องรับรองอีกฝั่ง หากฮ่องเต้ไม่ทรงเรียกพบนาง นางก็ไม่สามารถออกมา จากห้องได้ ระหว่างนี้ก็มีเสี่ยวจี๋ที่มารับหน้าที่คอยปรนนิบัตินาง กาน้ำชาถูกเปลี่ยนเป็นกาที่สามแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังไม่ดื่มมันเข้าไปแม้แต่ถ้วยด้วย ร่างบางใช้ความคิด มือบางลูบไล้ลอยปักลูกไม้ที่แขนเสื้อด้วยความเคยชิน เสี่ยวจี๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นพฤติกรรมของนางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา “ท่านหมอท่านนี้ ท่านกับนายหญิงของพวกเราเหมือนกันมากเลยเจ้าค่ะ นายหญิงของข้าก็ชอบลูบไล้รอยเย็บปักที่แขนเสื้อยามที่ใช้ความคิดเช่นนี้” ราวกับว่ามีกระแสไฟไหลเวียนไปทั่วร่าง ชูเซี่ยรู้สึกสลดหดหู่ หญิงสาวหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำเพื่อล้างคอ “นายหญิงของพวกเจ้าคือ?” สีหน้าของเสี่ยวจี๋แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย “ใช่เจ้าค่ะ นายหญิงของพวกเราก็คือพระชายาห นิงอาน นางเป็นหญิงสาวที่ดีพร้อมคนหนึ่งเลยเจ้าค่ะ” “อื้ม!” ลำคอของชูเซี่ยแห้งผากไปหมด แม้หญิงสาวจะยกถ้วยน้ำชามาดื่มอีกหลายคำก็ยังไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้ นางอยากถามเสี่ยวจี๋ออกไปเหลือเกินว่าสามปีที่ผ่านมานางเป็นอย่างไรบ้าง ผ่านมาด้วยดีหรือไม่ แต่ทว่าคำพูดได้แต่ติดค้างอยู่ที่ปลายลิ้น นางไม่สามารถกล่าวเรียบเรียงเป็นคำพูดออกมาได้ เสี่ยวจี๋ดูสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ใบหน้าของนางดูเรียวยาวขึ้น ไม่เหลือเค้าใบหน้ากลมเมื่อสามปีก่อนอีกแล้ว ชูเซี่ยยกมือขึ้นมาลองนับช่วงเวลาดูก็พบว่ายามนี้อีกฝ่ายน่าจะเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวแล้ว ไม่ใช่แค่เด็กสาวที่ไม่รู้จักโตดังเดิม มามาเองก็ดูแก่เฒ่าลงไปมากโข ริ้วรอยที่หางตาเริ่มมากขึ้น ทรงผมที่ถูกรวบเป็นมวยเรียบร้อยก็มีเส้นผมขาวแซมอยู่มากมาย มามายกสำรับอาหารหวานเข้ามาวางไว้ตรงหน้าชูเซี่ย ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านหมอ เชิญทานของว่างก่อนนะเจ้าคะ!” ขนมดอกกุ้ยฮวาและปาท่องโก๋ สองอย่างนี้เป็นของที่นางชอบกินมากที่สุด ชูเซี่ยเอ่ยเสียงเบา “ขอบใจมาก!” สามปีก่อน ตอนที่นางได้ลิ้มรสขนมดอกกุ้ยฮวาและปาท่องโก๋ฝีมือของมามาครั้งแรกนางก็ติดอกติดใจเป็นอย่างยิ่ง นางกินไปชื่นชมไปไม่ขาดปาก จากนั้นเป็นต้นมาทุกวันมามามักจะทำขนมสองอย่างนี้ไว้ให้นางเสมอ ชูเซี่ยชอบกินขนมดอกกุ้ยฮวาเป็นอาหารว่างยามบ่ายที่สุด นึกไม่ถึงจริงๆว่าสามปีมานี้นางจะยังมีโอกาสได้ลิ้มลองฝีมือของมามาอีกครั้ง เมื่อมามาเห็นว่านางกินขนมดอกกุ้ยฮวาหมดไปชิ้นหนึ่งแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามขึ้นมา “ท่านหมอท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องของพวกเราอาการเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ” ตอนที่ชูเซี่ยกำลังจะเอ่ยตอบมามานั้น เสี่ยวซานจื่อก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน เสี่ยวซานจื่อโค้งคำนับนางเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ท่านหมอ ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าขอรับ” ชูเซี่ยยืนขึ้น รีบร้อนวิ่งตามเสี่ยวซานจื่อออกไปทันที ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว ฮองเฮาก็ทรงประทับอยู่ข้างๆเช่นกัน ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮาก่อนที่ดวงตาจะแดงก่ำขึ้น ฮองเฮาทรงมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคุณแม่ของนางเหลือเกิน ใบหน้าเช่นนี้สะกิดความอ่อนแอที่นางซ่อนไว้ในส่วนลึกให้แสดงอาการออกมาอีกครั้ง หญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้น “ถวายบังคมฮ่องเต้ ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ!” ฮองเต้ทรงทอดพระเนตรหญิงสาวที่คุกเข่าเบื้องหน้า ทรงตรัสขึ้นอย่างพระทัยดี “ลุกขึ้นเถิด” “ขอบพระทัยฝ่าบาท!” นางข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างก็ขยับกายมาช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น นางลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่อีกฝั่งของห้อง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮาเพราะเกรงว่าจะไม่อาจห้ามน้ำตาของตนเองได้ เมื่อกลับมายืนที่จุดจุดเดิมนางกลับรู้ว่าที่แท้แล้วตนเองไม่เคยปล่อยวางได้เลยจริงๆ เสียงของฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและแฝงไปด้วยความอ่อนโยน “เราได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ที่สามารถห้ามเลือดของท่านอ๋องไว้ได้ นึกไม่ถึงจริงๆว่าอายุยังน้อยกลับมีความสามารถด้านการแพทย์สูงส่งถึงเพียงนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรหรือ” ชูเซี่ยตื่นเต้นจนมือไม้เย็นเฉียบ ก่อนเอ่ยทูลฝ่าบาทออกไป “หม่อมฉันแซ่ชู นามว่าชูหน่วนเพคะ!” “ชูหน่วน?” ฮ่องเต้ทรงพำพัมเรียกชื่อนี้หลายครั้ง “เจ้ามีพี่น้องหรือไม่เล่า” หัวใจของชูเซี่ยสั่นไหวไปหมด แต่ทว่าก็ไม่อาจแสดงพิรุธออกมาได้ หญิงสาวรวบรวมสติก่อนจะเอ่ยทูลด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเป็เพียงเด็กกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้องหรอกเพคะ” “เช่นนั้นแม่นางชูเป็นคนที่ไหนหรือ” ฮ่องเต้ยังทรงตรัสถามต่อ ชูเซี่ยก็ทูลตอบทันที “หม่อมฉันเป็นคนกวางตุ้งเพคะ หม่อมฉันเติบโตที่มณฑลนั้นเพคะ” “ไม่เคยมาเมืองหลวงมาก่อนเลยหรือ” ชูเซี่ยทูลตอบอย่างระมัดระวัง “เคยมาเมื่อครั้งยังเยาว์ครั้งหนึ่งเพคะ!” สีพระพักต์ของฝ่าบาทดูผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะตรัสเสียงลากยาว “เป็นเช่นนี้เองหรือ!” ทว่าฮองเฮาทรงไม่ได้สนใจที่จะถามคำถามพวกนี้ ยามนี้สายพระเนตรของพระองค์หยุดลงที่หลี่เฉินเย่นที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ทรงตรัสถามด้วยความกังวลอย่างยิ่ง “หมอหลวงกล่าวว่าอาการของท่านอ๋องไม่สู้ดีนัก ตามความเห็นของเจ้า เจ้าว่าเป็นเช่นไร” ชูเซี่ยเอ่ยทูลอย่างระมัดระวัง “ทูลฮองเฮา ท่านอ๋องเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงส่ง จะต้องปลอดภัยแน่นอนเพคะ” “ที่เปิ่นกงอยากได้ยินไม่ใช่คำพูดยกยอไร้สาระพวกนี้ เปิ่นกงอยากฟังความจริงต่างหากเล่า”ฮองเฮาทรงขมวดพระขนง เวิยอี้เงยหน้าขึ้นสบสายพระเนตรของฮองเฮาก่อนทูลตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “หม่อมฉันหาได้ยกยอปอปั้นไร้สาระนะเพคะ เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮาหม่อมฉันย่อมต้องกล่าวแต่ความจริงทั้งสิ้น แม้ว่าท่านอ๋องจะเสียเลือดมากก็จริง ทว่าโชคดีที่ห้ามเลือดไว้ได้ทันท่วงที แม้ว่าจำแห่งที่ถูกดาบฟันจะเป็นส่วนสำคัญแต่ก็ไม่ได้ลึกมากอย่างที่เห็น อีกทั้งท่านอ๋องยังมีวรยุทธสูงส่งทำให้สามารถปกป้องชีพจรการเต้นของหัวใจไว้ได้ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นอาการบาดเจ็บเพียงภายนอกเท่านั้นเพคะ” ฮองเฮาทรงสดับฟังดังนั้นสีพระพักตร์ก็อ่อนลง ทว่าเพียงไม่นานก็ทรงทำสีพระพักตร์กังวลขึ้นมาอีก “แต่ว่า หน้าอกของเขาถูกฟันเป็นแผล หมอหลวงกล่าวว่าลึกยิ่งนัก เขาจะ...” ฮองเฮาทรงไม่กล้าตรัสต่อ แต่ชูเซี่ยก็เข้าใจความกังวลพระทัยของพระองค์ได้ ชูเซี่ยทูล “แม้ว่าแผลที่หน้าอกจะลึกอยู่บ้างแต่พระองค์ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพคะ ไม่ได้อันตรายถึงหัวใจของท่านอ๋องแน่นอน!” หมอหลวงที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย “แต่ว่าบาดแผลแทบจะทะลุร่างของท่านอ๋องอยู่แล้วจะไม่อันตรายถึงหัวใจได้อย่างไร” ชูเซี่ยขยับยิ้มบาง “เพราะว่าหัวใจของท่านอ๋องมีลักษณะที่เบี่ยงไปทางขวาเพคะ ดังนั้นต่อให้ทะลุไปถึงด้านหลังก็ไม่เป็นอันตรายถึงหัวใจเพคะ ” เดิมทีหากว่าหน้าอกถูกฟันบาดแผลลึกถึงเพียงนี้เลือดคงไหลทะลักออกมามากจนเสียชีวิตตั้งแต่แรกไปแล้ว ดังนั้นนางจึงคาดเดาว่าหลี่เฉินเย่นคงมีหัวใจที่เบี่ยงไปทางขวาอย่างแน่นอน เรื่องเช่นนี้แม้จะมีอยู่น้อยมากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียว ยามที่ชูเซี่ยอยู่ในยุคปัจจุบันนางก็เคยมีโอกาศได้เจอคนที่มีหัวใจเบี่ยงไปทางขวาอยู่คนหนึ่ง คนคนนั้นเป็นคนตัดหญ้าที่พลัดตกลงมาจากชั้นสอง ถูกรั้วเหล็กเสียบทะลุหน้าอกฝั่งซ้าย ทุกคนต่างก็คิดว่าคนคนนี้ไม่น่าจะรอดได้แล้ว แต่ทว่าเพราะหัวใจของเขาเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อยจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ฮ่องเต้ทรงประหลาดพระทัยยิ่งนัก “ในใต้หล้านี้มีคนที่หัวใจอยู่ด้านขวาด้วยงั้นหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยทูล “ใต้หล้ากว้างใหญ่มีสิ่งมหัศจรรย์อยู่มากมายเพคะ” ทำพูดเช่นนี้ทำให้ฝ่าบาททรงไตร่ตรองพลางทอดพระเนตรมายังชูเซี่ย “ที่ผ่านมาเราก็เคยรู้จักหญิงสาวคนหนึ่งที่รู้วิชาแพทย์สูงส่งและฉลาดเฉลียวเช่นเจ้ามาก่อน” หัวใจของชูเซี่ยเต้นแรง แต่ภายนอกก็ยังแสดงสีหน้าปกติ “ฝ่าบาททรงตรัสเกินจริงไปแล้วเพคะ วิชาการแพทย์หม่อมฉันไม่ได้สูงส่งแม้แต่น้อย” “เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว ทว่าก็รู้ความและรู้จักแยกแยะเสียจริง เราขอฝากลูกชายของเราไว้ในความรับผิดชอบของเจ้าด้วยก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะมอบลูกชายที่แข็งแรงคืนกลับมาให้เรานะ” ฝ่าบาททรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง 
已经是最新一章了
加载中