ตอนที่ 64 ควรไปที่ไหน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 64 ควรไปที่ไหน
ต๭นที่ 64 ควรไปที่ไหน เมื่อตกค่ำโหร่วเฟยก็จับไข้ขึ้นสูง นางมีปัญหาเกี่ยวกับปอดมาเป็นระยะเวลาสองปี วันนี้เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นทำให้นางรู้สึกตระหนกเสียจนอวัยวะภายในอ่อนแอลงตามไปด้วย อีกทั้งยังต้องลมหนาวทำให้ยามนี้ไข้ขึ้นสูงเสียจนไม่มีทีท่าว่าจะลด จูเก๋อหมิงจัดเทียบยาให้นางเพื่อปรับสภาพร่างกาย หญิงสาวดูไม่สนใจสุขภาพของตนเองแม้แต่น้อยราวกับว่าต่อให้นางตายไปก็ไม่เป็นไร ถ้าหากไม่ใช่ว่านางยังมีห่วงอยู่ล่ะก็นางก็คงยอมปล่อยวางชีวิตนี้ของตนไปตั้งนานแล้ว จูเก๋อหมิงเอ่ยปลอบใจนางอีกหลายคำ แต่มีหรือโหร่วเฟยจะฟังเข้าหู นางเพียงแค่พูดกับเขาว่าอย่าได้ให้บิดามารดาของตนเองรู้ว่านางโรคเก่ากำเริบ จูเก๋อหมิงจึงเอ่ยขึ้นมา ถ้าหากเจ้าไม่อยากให้บิดามารดาเป็นห่วงล่ะก็ต้องดูแลร่างกายของตนเองให้ดีกว่านี้ ยามนี้พวกท่านเหลือเพียงเจ้าแล้ว หากเจ้าเป็นอะไรไปอีกคน เจ้าคิดว่าชีวิตของพวกเขาทั้งสองจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างทุกข์ทรมานแค่ไหนกัน” ริมฝีปากของโหร่วเฟยแดงก่ำ ทุกครั้งที่หญิงสาวป่วยไข้ริมฝีปากของนางจะแดงก่ำเหมือนสีเลือด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ร่างบอบบางของหญิงผมที่ยาวระเรื่อยลงมาถึงกลางหลังไอออกมาถี่ๆ ใบหน้าซีดขาว “พูดจริงๆข้ารู้สึกอิจฉาพี่สาวเหลือเกิน แม้ว่านางจะตายไปแล้วแต่ท่านอ๋องก็จดจำนางได้ไม่ลืมเลือน” จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเรียบ “พูดอะไรเช่นนี้กัน พี่สาวของเจ้าหากนางเลือกได้นางก็ไม่ได้อยากตายเสียหน่อย” ริมฝีปากของโหร่วเฟยยิ้มขืนออกมา “เป็นเช่นนางก็ดี เมื่อก่อนข้าเอาแต่คิดเองเออเองว่าท่านอ๋องรักข้า ข้าจึงทำทุกวิถีทางเพื่อแก่งแย่งเขามาจากพี่สาวของตนเอง จนท้ายที่สุดเมื่อนางตายไป ข้าถึงได้รู้ว่าสุดท้ายข้าก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยสักนิด” จูเก๋อหมิงไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำปลอบใจนางอย่างไรดี นางเอาแต่วิ่งตามชายผู้หนึ่งด้วยความรักอย่างไม่ย่อท้อ คงต้องรอให้นางเจ็บปวดจนไม่อาจทนได้อีกนางจึงจะยอมรามือไปเอง ในวันที่สอง ภายในวังส่งคนมาสอบถามเรื่องราวจากจูเก๋อหมิง เดินจูเก๋อหมิงนึกว่าฮ่องเต้ทรงต้องการทราบความคืบหน้าเรื่องอาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่น แต่คาดไม่ถึงว่าพระองค์กับส่งคนมาสอบถามเรื่องของชูเซี่ย จูเก๋อหมิงรู้สึกจิตใจไม่สงบ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ์เขาทำได้เพียงแค่เอ่ยทูลความจริงไปเท่านั้น เมื่อฝ่าบาททรงสดับฟังสิ่งที่จูเก๋อหมิงเอ่ยทูลก็พระพักตร์ก็เยือกเย็นลง ทั้งยังโบกไม้โบกมือไล่นางข้าหลวงออกไปจากห้องให้หมด ก่อนจะตรัสเสียงเบาจนแทบกระซิบ “เจ้าเคยใกล้ชิดกับชูเซี่ยมาช่วงระยะหนึ่ง เจ้าคิดว่า ชูหน่วนผู้นี้จะเป็นชูเซี่ยหรือไม่” หัวใจของจูเก๋อหมิงสะท้าน ท่านหมอหนุ่มเลยหน้าขึ้นมององค์ฮ่องเต้อย่างตื่นตะลึง เขาเฝ้าสังเกตนางอยู่นานจึงจะรู้ว่านางคือชูเซี่ย แต่ทว่าฝ่าบาทกลับมองแค่ปราดเดียวก็ทราบ พระองค์เพียงเคยตรัสสนทนากับนางเพียงไม่กี่คำเท่านั้นก็สามารถรู้ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพระปรีชาสามารถของฝ่าบาทไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าข่าวลือที่ผู้คนเล่าขานเลยสักนิด “ทำให้เจ้าตกใจหรือ” ฝ่าบาททรงถอนพระทัย “เราก็รู้ว่านี่มันออกจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย แต่เรื่องราวความเป็นมาของนางก็น่าเหลือเชื่อเช่นกันไม่ใช่หรือ บางทีอาจเป็นเราที่เห็นแก่ตัวคิดแต่ว่าหากว่านางกลับมาก็คงดี หากเป็นเช่นนั้นเฉินเย่นก็คงไม่เอาแต่ทำร้ายตัวเองไปวันวันเช่นนี้อีก ทุกครั้งที่เราได้ข่าวอาการบาดเจ็บของเฉินเย่นจากชายแดนก็ทำเอากินไม่ได้นอนไม่หลับ หากลูกคนนี้รักตัวเองบ้างสักนิด เราก็คงไม่จำเป็นต้องห่วงและกังวลเรื่องเขาถึงเพียงนี้” จูเก๋อหมิงพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตนเอง “ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ แม้ว่าทุกคนจะปรารถนาให้ชูเซี่ยกลับคืนมา แต่ทว่าแต่เดิมชูเซี่ยเองก็ไม่ใช่หลิวหยิงหลง ยามนี้ทางเรายังไม่มีหลักบานพิสูจน์แน่ชัด ทั้งหมดเป็นแค่เพียงการคาดเดาเท่านั้น” “จะบอกว่าเป็นเพียงการคาดเดาก็ไม่ถูกต้องนัก เราถามเรื่องนี้กับท่านราชครูแล้ว ราชครูเองก็ลองทำนายดูแล้ว นางเป็นสตรีที่มาจากโลกต่างจากพวกเราจริงๆ” ฝ่าบาทตรัส จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ ก่อนเอ่ยทูลเสียงเรียบ “ฝ่าบาท อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฝ่าบาทเองก็ทรงทอดพระเนตรเห็นนางนอนในโลงด้วยพระเนตรของพระองคืเองไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ คนก็ตายไปแล้วจะมีชีวิตหวนคืนมาเป็นครั้งที่สามได้อย่างไรกันพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นมา “ถ้าหากมีอยู่จริงเล่า ใต้หล้ากว้างใหญ่มีสิ่งมหัศจรรย์อยู่มากมาย แต่เดิมนางก็เป็นเพียงวิญญาณที่เข้ามาอาศัยในร่างของหยิงหลงเท่านั้นไม่ใช่หรือ หากว่ายามนี้นางจะมาอาศัยร่างของชูหน่วนเหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้” จูเก๋อหมิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพระปรีชาของฝ่าบาทในการสรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขาแสร้งทำเป็นตกใจก่อนเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท เรื่องเช่นนี้ออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปเสียหน่อย พวกเรายังไม่สามารถพิสูจน์ความเกี่ยวข้องของพวกนางทั้งสองได้” เขาได้ยามนี้จำเป็นต้องปิดบังชื่อจริงของชูเซี่ยไว้เสียก่อน หาไม่แล้วหากถูกจับได้เขาก็คงไม่พ้นถูกฝ่าบาทลงอาญาเป็นแน่ อีกทั้งหากสืบทราบเรื่องราวของชูเซี่ยขึ้นมาจริงๆ ความลับของเขาก็จะต้องถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นไม่เพียงจะถูกลงโทษ เขายังอาจทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนระหว่างและหลี่เฉินเย่นต้องขาดสะบั้นลงไปด้วย ฝ่าบาททรงถอนพระทัย “ความจริงเราก็รู้ว่าระหว่างพวกนางคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ทว่า เมื่อเห็นว่าพวกนางแซ่ชูเหมือนกัน เป็นหมอ รู้วิชาฝังเข็มอีกด้วย ใจของเราก็หวังเหลือเกินว่าจะเป็นนางย้อนกลับมา หากนางกลับคืนมา ลูกชายของเราก็จะกลับคืนมาหาเราด้วยเช่นกัน” จูเก๋อหมิงกล่าวอะไรไม่ออกได้แต่ยืนบื้อใบ้อยู่เช่นนั้น จากนั้นฮ่องเต้ก็ยังทรงตรัสถามเรื่องราวของชูเซี่ยอีกหลายคำ จูเก๋อหมิงทราบดีว่าฝ่าบาทยังคงสงสัยในตัวหมอหญิงผู้นี้อยู่ ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องราวและนิสัยของชูเซี่ยผู้นี้ให้ต่างไปจากชูเซี่ยเมื่อยามที่เคยอยู่ในร่างหลิวหยิงหลง เขาเอ่ยทูล “นางเพิ่งมาเมืองหลวงเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วพะย่ะค่ะ วิชาการแพทย์สูงส่งแต่กลับมีนิสัยละโมบโลภมาก เจ้าอารมณ์ทั้งยังจิตใจคับแคบ กระหม่อมจำได้ว่าวันหนึ่งมีชายชราป่วยหนักมารักษาที่โรงหมอ แต่ทว่ายากจนมีเงินติดตัวมาน้อยทำให้ไม่พอจ่ายค่ายารักษา นางก็ดุด่าขับไล่ชายชราผู้นั้นออกไปจากโรงหมอทันที หลังจากนั้นทุกครั้งที่นางเจอพวกคนจนมารับการรักษาก็มักจะแสดงท่าทีโมโหเกรี้ยวกราดออกมา หากไม่ใช่เพราะนางมีวิชาแพทย์ที่สูงส่ง กระหม่อมก็คงไล่นางออกจากโรงหมอนานแล้วพะย่ะค่ะ” เมื่อฝ่าบาทได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกปิดหวังอย่างมาก พระองค์รู้สึกเสียดายเหลือเกิน “นึกไม่ถึงว่าว่านางจะเป็นคนเช่นนี้ หญิงผู้นี้เทียบชูเซี่ยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” จูเก๋อหมิงยังทูลต่อไปอีก “ตามจริงแล้ว หญิงสาวที่ไม่มีจรรยาบรรณของหมอเช่นนี้ กระหม่อมไม่อยากจะรับนางไว้อยู่แล้วพะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเห็นว่าวิชาฝังเข็มของนางมีโอกาสช่วยรักษาฉ่ายเวินได้ เมื่อครู่ฝ่าบาทก็เป็นผู้ตรัสด้วยพระองคืเองว่านับตั้งแต่พระชายาล่วงลับไป เฉินเย่นก็ย่ำแย่ลงไปมากนักแม้กระทั่งข้าเขาก็ยังไล่ออกมาจากห้อง เฉินเย่นไม่เคยรับฟังผู้ใด แต่ทว่าหากเป็นฉ่ายเวินแล้วล่ะก็ เฉินเย่นรักและเอ็นดูฉ่ายเวินยิ่งกว่าผู้ใด หากฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาได้ หากมีนางคอยอยู่เคียงข้างเขา กระหม่อมเชื่อว่าเฉินเย่นจะต้องดีขึ้นในไม่ช้าแน่พะย่ะค่ะ” ฝ่าบาทได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดพระขนง “หากเจ้าไม่เอ่ยขึ้นมา เราก็เกือบจะลืมฉ่ายเวินไปเสียแล้ว เด็กสาวคนนั้นเฉลียวฉลาดไหวพริบดี ทั้งยังอ่อนโยนมีเมตตา เข้าอกเข้าใจผู้อื่น อีกทั้งนางยังชื่นชอบเฉินเย่นมากอีกด้วย ครั้งหนึ่งเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับนางทำให้เฉินเย่นเกลียดหยิงหลงเข้ากระดูกดำ บางทีทั้งคู่อาจจะรักใครชอบพอกันมานานแล้วก็เป้นได้ หากว่าฉ่ายเวินสามารถฟื้นขึ้นมาได้จริงๆเห็นทีว่าคงจะต้องจัดงานมงคลขึ้นมาสักที” ยามที่จูเก๋อหมิงกลับออกมาจากจวนอ๋อง ฝีเท้าแต่ละก้าวของเขาหนักอึ้ง ตลอดชีวิตนี้เขาเป็นคนซื่อตรงมาโดยตลอด ไม่เคยเลยสักครั้งที่ตนเองจะพูดจาไร้มโนธรรมได้ถึงเพียงนี้ ท่านหมอหนุ่มพยายามปลอบใจตนเอง บางทีว่านางอาจจะไม่ใช่ชูเซี่ยก็ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะบอกกล่าวเรื่องนี้ให้หลี่เฉินเย่นรับรู้ เขากลัวว่าสหายรักจะต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจของตนบอกว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงเสียหน่อย ความจริงคือเขาหลงรักชูเซี่ย ดังนั้นจึงยอมยืนมองสหายรักของตนเองเจ็บปวดทรมานต่อไปแต่ก็ไม่ยอมเสียสละความรักของตนเอง อีกอย่าง หากว่านางเป็นชูเซี่ยจริงๆ การที่นางไม่ยอมเปิดเผยตนเองออกมานั่นก็แสดงว่านางย่อมไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่านางกลับมาแล้ว ดังนั้นเข้าก็เลือกที่จะช่วยนางปิดบังและยืนอยู่ฝั่งนางเท่านั้น ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีเพียงแสงไฟของโคมไฟที่ประดับไว้ข้างทางที่คอยส่องแสง ใบไม้แห้งที่ถูกลมพัดล่องลอยไปมา ไอเย็นจากสารทฤดูพัดผ่านทำให้หัวใจของเขาเย็นยะเยือก ท่านหมอหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เพราะความเป็นห่วงอาการของหลี่เฉินเย่นทำให้เขาไม่ได้ไปโรงหมดหาชูเซี่ยแต่กลับตรงไปที่จวนอ๋องแทน วันนี้ชูเซี่ยเองก็ไม่ได้ไปโรงหมอเช่นกัน นางอุ้มเจ้าถ่านไว้ในอ้อมกอดก่อนจะค่อยๆบรรจงหาเห็บหมัดให้ เจ้าถ่านก็ซบหน้าลงอยู่บนตักเธอและเหยียดแข็งเหยียดขาอย่างเกียจคร้าน นายท่านเหมาเองก็อยู่ในกระท่อมส่วนตัวเล็มหญ้าแห้งอย่างสบายอกสบายใจ นานๆครั้งมันจึงจะส่งเสียงร้องออกมาหนึ่งถึงสองครั้ง วันนี้อากาศอึมครึมราวกับฝนฟ้าจะตกลงมา ชูเซี่ยจึงลุกขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าของตนเองที่ตากไว้ก่อนจะกลับมาอุ้มเจ้าถ่านไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ราวกับว่าเจ้าถ่านจะรับรู้ว่าเจ้านายของตนอารมณ์ไม่สู้ดี มันจึงยอมนอนเฉยๆว่าง่ายๆปล่อยให้ชูเซี่ยเล่นกับร่างกายของมันตามใจชอบ “เจ้าว่า ข้าควรจะจวนอ๋องดูอาการเขาหน่อยดีหรือไม่” ชูเซี่ยพึมพำก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้า “อ้า ช่างมันเถอะ ฝนใกล้จะตกลงมาแล้ว ออกจากบ้านยามนี้คงไม่สะดวกนัก” ราวกับว่าเจ้าถ่านฟังที่นางกล่าวมารู้เรื่องมันรีบส่งเสียงเห่าออกมาหลายครั้ง ชูเซี่ยกมลงมามองมัน “เจ้าก็ไม่เห็นด้วยที่ข้าจะไปพบเขาใช่หรือไม่ จริงสิ ข้าไปหาเขาจะมีประโยชน์อะไรเล่า ในใจของเขาข้าก็เป็นเพียงแค่คนที่ตายไปแล้วเท่านั้น” สายฝนค่อยๆโปรยลงมาจากฟ้าอย่างช้าๆ ค่อยๆหยดลงสู่พื้นที่ละหยด จากฝนโปรยค่อยๆกลายเป็นหนักขึ้นๆ สายฝนที่ตกลงมากระทบหลังคาค่อยๆไหลลงมาตามกระเบื้องชายคาบ้านจนกลายเป็นม่านน้ำตกใสๆ ชูเซี่ยถอยกลับมาอยู่ในบ้าน อากาศค่อนข้างเย็น หญิงสาวจึงหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับอีกชั้นหนึ่งก่อนจะค่อยๆหยิบตุ๊กตาผ้าที่มีเข็มปักไว้ขึ้นมา บนร่างของตุ๊กตาผ้ามีเขียนจุดชีพจรต่างๆไว้ จริงอยู่ที่ฝีมือนางในตอนนี้ไม่จำเป็นจะต้องฝึกฝนอีกแล้ว แต่ทว่าเมื่อไม่มีอะไรทำมันก็สามารถเป็นของที่ค่าเวลาได้ไม่น้อย เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากประตูหน้า ดวงตากลมโตของชูเซี่ยมีประกายเกียจคร้านอยู่เล็กน้อย นางไม่อยากออกไปเปิดประตูในเวลาเช่นนี้เท่าใดนัก คนที่มาหานางในเวลาเช่นนี้ นอกจากคุณชายจูแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก เดิมทีนางอยากแสร้งทำเป็นไม่อยู่บ้านแต่ทว่าเสียงเคาะประตูยิ่งมาก็ยิ่งฟังดูร้อนรน นางไม่มีทางเลือกท้ายที่สุดก็ค่อยๆเยื้องย่างไปหยิบร่มที่วางไว้ในบ้านก่อนจะเดินออกไปเปิดประตู เมื่อประตูถูกเปิดออก นางก็ได้เห็นจูฟางหยวนที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ลำตัวเปียกโชกไปหมด ดวงตาของเขามีแววตาเสียใจและตื่นตระหนกปะปนอยู่ ชายหนุ่มรีบร้อนเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นชูเซี่ย “ชูเซี่ย ไปกับข้าหน่อย พ่อบุญธรรมข้าท่าทางจะไม่ไหวแล้ว” พ่อบุญธรรมของจูฟางหยวนก็คืออดีตแม่ทัพจู เป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่แห่งราชสำนัก หลังจากวางมือจากสงครามไปแล้วก็หันกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่าย ก่อนหน้านี้จูฟางหยวนก็เคยบอกกับนางว่าอาการขาของแม่ทัพจูไม่ดีเท่าใดนักแต่ก็ไม่ยินยอมที่จะให้หมอมารักษา ทำให้สองปีที่ผ่านมานี้ขาของเขาทั้งสองข้าไม่สามารถใช้งานได้ แต่ทว่าก็เพียงแค่ไม่สามารถใช้การขาทั้งสองข้าง ร่างกายของเขาก็ไม่ได้ป่วยไข้อะไร เหตุใดยามนี้ถึงทำท่าจะไม่ไหวเสียแล้วล่ะ ชูเซี่ยไม่เสียเวลาคิดให้มากความอีกแล้ว หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปในห้องพร้อมหยิบกล่องยามาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็ลากจูฟางหยวนขึ้นรถม้าออกไปทันที เสียงกุบกับของม้าที่วิ่งไปตามพื้นถนนเปียกโชก ลมพัดแรงเสียจนผ้าม่านบนรถม้าปลิวไสว มีลมหนาวพัดเข้ามาข้างในเป็นระยะๆ ชูเซี่ยเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของจูฟางหยวนอย่างให้กำลังใจ “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก แม่ทัพจูเป็นคนดีสวรรค์ต้องคุ้มของเขาแน่” ใบหน้าของจูฟางหยวนยังคงเสียขวัญยามที่เงยหน้าขึ้นมองนาง ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ความจริงแล้วข้ารู้มาตลอดว่าเขาสุขภาพไม่สู้ดีนัก แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมให้เชิญหมอมาตรวจดูอาการ กล่าวแค่ว่าชั่วชีวิตนี้เขาฆ่าคนมามากมายนัก ดังนั้นเขาจึงขอรอท่านยมบาลมารับตัวเขาไปแต่โดยดี เพราะเหตุนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเชิญหมอมารักษา” ชูเซี่ยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องสงครามเท่าใดนัก นางรู้เพียงแค่ว่ายามใดที่บ้านเมืองเกิดสงครามจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เป็นเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย จะมีทหารสักกี่คนที่ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย บางคนไม่เสียชีวิตก็ต้องแขนขาขาดกลายเป็นคนพิการไปก็มีไม่น้อย การทำสงครามเป็นการสนับสนุนการก่อความรุนแรง การตัดสินปัญหาต่างๆด้วยการก่อสงครามคือหนทางแก้ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดและน่าเศร้าอย่างที่สุด นางเอ่ยขึ้นอย่างสลดใจ “ท่านแม่ทัพก็ทำเช่นนี้เพื่อปกป้องแผ่นดิน อยู่ในสงครามหากเราไม่ฆ่าเขาก็ต้องถูกเขาฆ่าน่าน” จูฟางหยวนยังเงียบไม่ได้กล่าวอะไร ชายหนุ่มจ้องมองฝนฟ้าที่ตกลงมาอย่างหนักผ่านหน้าต่าง พายุฝนครั้งนี้ตกลงมาอย่างกระทันหัน ตกลงมาอย่างที่เขาก็ไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นเวลานานทีเดียวนางถึงได้ยินเสียงของชายหนุ่มข้างกายที่เอ่ยออกมาเสียงแหบพร่า “ตั้งแต่ข้ามาอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ก้ได้ท่านพ่อบุญธรรมคอยดูแลเอาใจใส่มาโดยตลอด ชีวิตของข้าไร้ทุกข์ไร้กังวลสุขสบายมาตลอด อยากได้อะไรก็ได้ ชูเซี่ย ท่านพ่อบุญธรรมเป็นญาติสนิทคนเดียวที่ข้ามีในโลกใบนี้ ถ้าหากว่าเขาจากข้าไปจริงๆ ในห้วงเวลาและโลกที่แตกต่างใบนี้ยังจะมีอะไรที่ข้าต้องอาลัยอาวรณ์อยู่อีกเล่า หากว่าโลกใบนี้ไม่เหลืออะไรให้ข้าต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้วข้าจะอยู่ต่อไปก้ไม่มีความหมายอีกแล้ว” คำพูดเช่นนี้สามารถบ่งบอกความเศร้าผ่านน้ำเสียงของผู้พูดได้อย่างชัดเจนทั้งยังส่งผ่านความเศร้ามายังจิตใจของชูเซี่ยได้เป็นอย่างดี นางเองก็มีบ้านแต่ไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว ชีวิตของนางย่ำแย่กว่าจูฟางหยวนอีกไม่ใช่หรือไงเล่า จูฟางหยวนมีชีวิตที่สุขสบายไร้ทุกข์ไร้กังวลส่วนนางเล่า ชะตากรรมของนางที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
已经是最新一章了
加载中