ตอนที่ 67 ความรักที่เศร้าหมอง
1/
ตอนที่ 67 ความรักที่เศร้าหมอง
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 67 ความรักที่เศร้าหมอง
ตนที่ 67 ความรักที่เศร้าหมอง หลังจากพายุฝนในวันนั้นก็เป็นเรื่องตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว วันนี้เมื่อชูเซี่ยเดินทางมาที่โรงหมอ จูเก๋อหมิงซึ่งหันมาเห็นนางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอกหนักใจ “เจ้าตามข้าไปที่จวนอ๋องหน่อยเถิด อาการของเฉินเย่นไม่ค่อยดีเท่าใดนัก” ชูเซี่ยหัวใจหล่นวูบแต่นางก็ปั้นหน้าเรียบเฉยยามที่เอ่ยถามอีกฝ่าย “อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ดีขึ้นหรือเจ้าคะ” จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ บาดแผลของเขาใกล้จะหายดีแล้วล่ะ แต่ขาทั้งสองข้างของเขามีอาการอัมพาตเล็กน้อย เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี” ชูเซี่ยรู้ดีว่าเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดขึ้น เพราะเลือดลมของเขายังไหลเวียนไปเลี้ยงขาได้ไม่ค่อยดีนัก นางทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเดินไปแบกกระเป๋ายาประจำตัว “ไปกันเถิด!” พระอาทิตย์ยามเช้าในวันนี้ส่องแสงแดดอบอุ่น ท้องฟ้าก็สีฟ้าโปร่งใสดูสบายตาราวกับว่าสายฝนเมื่อสองวันก่อนได้ทำการชำระล้างอากาศและความขุ่นมัวไปจนหมดจดแล้วเหลือไว้เพียงอากาศที่แสนบริสุทธิ์ เมื่อชูเซี่ยเดินเข้ามาภายในห้องของหลี่เฉินเย่นนางก็เห็นว่าชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเขามีเคราขึ้นจางๆเขียวครึ้ม ใบหน้าซีดขาว ดวงตาคมเย็นยะเยือก ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเฉยชา เมื่อชายหนุ่มหันมาเห็นชูเซี่ย ก็พยักหน้าเล็กน้อย “เจ้ามาแล้วหรือ!” ชูเซี่ยรู้สึกลำคอตีบตันกลือนน้ำลายอย่างยากลำบาก “ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ!” “ไม่ต้องมากพิธี” ชายหนุ่มปัดมือเล็กน้อย ดวงตาที่ฉายแววเย็นยะเยือกเมื่อครู่จางหายไปเหลือไว้เพียงแววตาของความไม่สบายใจ “เจ้ามาดูอาการให้เปิ่นหวางหน่อย ขาของเปิ่นหวางเป็นอย่างไรกันแน่” ชูเซี่ยเดินเข้าไปใกล้เขา หญิงสาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ใกล้เสียจนนางได้กลิ่นกายของเขาได้ชัดเจน ชัดเจนเสียจนนางหวนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนที่นางจะตายจากร่างหลิวหยิงหลงไป วันนั้นก็มีอากาศโปร่งใสเช่นวันนี้ ในห้องนอนห้องนี้ที่นางเคยมอบเก้าอี้รถเข็นให้แก่เขา นึกถึงยามที่เขาโอบกอดนางไว้ จุมพิตเจือความหอมหวานและร้อนแรงเสียจนนางแทบจะละลายกลายเป็นไอน้ำ นางพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วยใกล้จะหยดลงมาอยู่รอมร่อ หญิงสาวคุกเข่าลงจากนั้นก็ค่อยๆเอื้อมมือไปพับขากางเกงขึ้น จากนั้นมือของนางก็ชะงักกึก ขาของเขาในยามนี้ต่างจากเมื่อสามปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าของขาที่ทั้งขาวและละเอียดเหมือนเมื่อก่อน ยามนี้มันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นมากมาย ทั้งน่าเกลียด น่าหวาดกลัวและน่าตกใจยิ่ง “บาดเจ็บจากสนามรบหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงแหบพร่า พยายามอย่างยิ่งที่จะข่มอาการหวาดกลัวและเจ็บปวดที่ตีตื้นขึ้นมา หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงเรียบ “เปิ่นหวางเป็นคนทำมันเอง ขาคู่นี้มันทำให้คนรักของเปิ่นหวางต้องตาย!” ชูเซี่ยตะลึง ความโศกเศร้าเสียใจและความโกรธทำให้กำแพงอารมณ์ที่นางพยายามจะสกัดกั้นถล่มลงมาไม่เหลือดี หญิงสาวผุดลุกขึ้นเงื้อมือตบใบหน้าของชายหนุ่มเต็มแรง น้ำตาของนางไหลลงมาอาบแก้ม จากนั้นก็ตะโกนใส่เขาราวกับคนบ้า “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ!” หลี่เฉินเย่นโกรธจัด ชายหนุ่มตวัดสายตาของมองนางด้วยแววตาอันตรายและเย็นเฉียบ แต่เมื่อเขาดวงตาเขาสบเข้ากับดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตาและแววตาเจ็บปวดก็ตะลึงงันก็สีหน้าจะกลายเป็นระแวงสงสัยจากนั้นก็กลายเป็นประกายความหวังบางอย่าง ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เขาเพียงใช้ดวงตาคมดำขลับมองที่นางนิ่งๆ ชูเซี่ยรู้สึกราวกับว่าความอดทนของนางสิ้นสุดลงแล้ว นางอยากเดินเข้าไปตบตีเขามากกว่านี้ ตบเขาให้แรงกว่านี้ บาดแผลมากมายที่ขาทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าหลายปีมานี้เขาทำอะไรกับมันบ้าง แต่หญิงสาวก็ได้แต่เม้มปากและหันหลังวิ่งออกไปจากห้องแทน ในชั่วขณะที่นางหมุนตัวนางคล้ายกับว่าเห็นว่าใบหน้าของจูเก๋อหมิงซีดเผือดจับจ้องมาที่นาง นางไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ความจะแตกก็ช่าง นางเพียงแค่ไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับแผลที่ขาของเขาเพียงเท่านั้น นางทนเห็นผู้ชายคนนั้นใช้วิธีทำร้ายร่างกายตนเองเพื่อนางไม่ได้ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเขาเคยรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ที่ใช้ร่างกายตัวเองทดลองเข็ม นางเข้าใจแล้วว่าเขาโกรธนางเพียงใดยามที่รับรู้ว่านางทำร้ายร่างกายตนเอง ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นซีดขาว ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นก็จะวิ่งตามนางออกไปคล้ายคนเสียสติ แม้ว่ายามนี้ขาทั้งสองข้างของเขาจะไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ทว่าการที่เขาใช้กำลังภายในก็สามารถตามหญิงสาวทันได้ไม่ยาก ในที่สุด ชายหนุ่มจับข้อมือของชูเซี่ยไว้ได้ ชายหนุ่มจับไหล่บอบบางไว้ก่อนจะบังคับให้นางหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาคมมองหญิงสาวที่มีน้ำตานองหน้าทั้งยังพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขา หลี่เฉินเย่นมองนางอย่างสับสนจากนั้นก็ค่อยๆเอ่ยถามนางเสียงแหบพร่า “เจ้าชื่ออะไร” ชูเซี่ยกัดฟันไม่ตอบ น้ำตาของนางยังคงไหลไม่ขาดสายร่วงลงสู่พื้นทีละหยดๆ นางเสมองไปที่ต้นไม้สูงที่มีใบไม้เรียวยาวสีเหลือง ใบของพวกมันทำให้นางนึกถึงแผนเป็นทางยาวที่ขาของเขา ดวงตาของหญิงสาวทั้งแดงก่ำและเจ็บปวด ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นางพลางเอ่ยถามเสียงสั่น “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไร” หญิงสาวกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมองเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือหัวใจที่เจ็บปวดทำให้ร่างกายของนางสั่นสะท้านไปหมดจนต้องกัดฟันตนเองไว้แน่น ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยประกายสิ้นหวัง จนในที่สุดนางก็ตัดสินใจเอ่ยปากออกไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าชื่อชูเซี่ย!” ภายใต้ท้องฝ้าที่สว่างสดใสราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดลงมาสายหนึ่ง เป็นสายฟ้าที่ทรงพลังและหาดลงมากลางใจของหลี่เฉินเย่นอย่างรุนแรง ชายหนุ่มยืนมองนางนิ่งๆ ในความทรงจำของเขาผุดภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยิ้มแย้มให้เขาอย่างร่าเริง “ข้าชื่อชูเซี่ย!” รูปโฉมของนางเขาจำไว้ในใจไม่เคยลืม แต่ทว่าสิ่งที่สลักลงไปตรงกลางใจของเขาอย่างล้ำลึกและไม่เคยลืมเลือนคือคำพูดของนางต่างหากเล่า “เจ้าชื่อชูเซี่ย?” ชายหนุ่มถามนาง “เจ้าชื่อว่าชูเซี่ยหรือว่าเจ้าเป็นชูเซี่ย (โรคระบาด)กันแน่” หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ หัวสมองก็ว่างเปล่า ราวกับว่าความสุขที่เขาพยายามไขว่คว้ามันมาอยู่ในกำมือของเขาแล้ว แต่ทว่าเขาก็กลัวเกินกว่าที่จะคลายฝ่ามือของตนเองเพื่อมองความสุขที่ตนเองกำไว้ในมือ เขากลัวเหลือเกินว่ามันจะกลายเป็นคมมีดที่ย้อนกลับมาทำร้ายเขาอย่างสาหัสอีกครั้ง มือของชายหนุ่มสั่นสะท้านเอื้อมมือไปแตะบั้นเอวตนเอง ที่สายดาดเอวของเขามีกริชเล่มเล็กอยู่เล่มหนึ่ง ชายหนุ่มดึงกริชออกจากปลอกจากนั้นก็แทงเข้าไปที่ขาของตนเอง ทำให้เลือดสีแดงไหลทะลักย้อมจนกางเกงสีขาวหยกของเขาแดงฉาน การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วมากทำให้ผู้คนที่อยู่ข้างกายไม่ทันตั้งตัว ตอนที่ตั้งสติได้เลือดก็ไหลทะลักออกมาจนเต็มไปด้วยเลือดแล้ว ชูเซี่ยปิดปากของตนเองแน่น นางตกใจจนเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจทั้งยังพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาที่เอ่อออกมา จากนั้นข้างหูของนางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย มันเป็นเสียงของจูเก๋อหมิง “ทุกครั้งที่เขาพบเจอความเจ็บปวดก็มักจะใช้วิธีนี้เสมอ” ชูเซี่ยส่ายศีรษะ นางข่มตาลงจากนั้นก็เปิดตาขึ้นมาพร้อม่ายศีรษะอีกครั้ง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ข้าไม่ใช่ชูเซี่ย ไม่ใช่ชูเซี่ย...” จากนั้นหญงสาวก็กระอักเลือดออกมาคำโต ความมืดเข้าครอบครองตินางอย่างช้าๆ ร่างทั้งร่างของหญิงสาวล้มลงไปกองกับพื้น “อ้าก...” เมื่อหลี่เฉินเย่นเห็นว่านางกระอักเลือดจนฟุบลงไปกับพื้นก็ตกใจตะโกนร้องออกมาสุดเสียง ราวกับว่าเรื่องราวเมื่อสามปีก่อนย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาไม่อาจทนได้ เขาไม่อาจทนเห็นนางตายต่อหน้าเขาได้อีกแล้ว ความเจ็บปวดเช่นนี้เขาไม่อยากจะลิ้มลองมันอีกแล้ว ชายหนุ่มยกกริชในมือแทงลึกเข้าไปกลางอกของตนเองอีกครั้ง เขารู้ดีว่าแค่ทนเจ็บครั้งนี้อีกแค่ครั้งเดียวเขาก็จะไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของเขา ชูเซี่ยค่อยๆได้สติขึ้นมา หญิงาวค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของนางสลาย นางนึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าสามปีที่นางตายจากเขามาจะสร้างบอดแผล ฝันร้ายและความเจ็บปวดให้เขามากมายถึงเพียงนี้ ร่างกายของนางเย็นเฉียบ หัวสมองว่างเปล่า หัวใจเจ็บปวดจนไม่อยากจะหายอีกต่อไป นางไม่ทราบว่าตนเองมานอนอยู่ในห้องรับรองในเรือนจื่อยี่ได้อย่างไร นางรู้เพียงว่ามีใครบางคนแบกร่างของนาง เหยียบย่ำลงไปบนกองเลือด ในห้วงฝันของนาง นางวิ่งไล่ตามเบื้องหลังของหลี่เฉินเย่นไปเรื่อยๆด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกและสูญเสีย ราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดของนางถูกดึงออกไปจนหมด พื้นดินที่นางเหยียบย่ำอยู่เบานิ่มสบายคล้ายดั่งปุยฝ้ายก่อนที่จะค่อยๆกลับกลายเป็นบ่อเลือดขนาดใหญ่ แต่แล้วนางก็ฟื้นขึ้นมาจนได้ หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่บนเตียงอย่างโง่งม ยามที่นางอยู่ในห้วงฝันคล้ายกับว่ามีใครกระซิบถ้อยคำอยู่ข้างหูของนาง เสียงนั้นยังคงดังกล้องอยู่ในหูและยังรับรู้ได้ถึงสายตาเจ็บปวดที่มองมา นั่งนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น นานทีเดียว จากนั้นก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลงช้าๆและไม่รับรู้อะไรอีกเลย นางฝันร้ายมากๆ ในห้วงฝัน นางเห็นร่างของหลี่เฉินเย่นที่นอนจมกองเลือด สายตาของเขาที่มองมาช่างว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ค่อยๆชักกริชออกจากปลอกและแทงลึกเข้าไปในอกของตนเองจนเลือดกระเซ็นมาโดนใบหน้าของนาง ลำคอของนางตีบตันและเหนียวฝืดไปหมดจนนางหายใจยากลำบาก หญิงสาวได้ยินเสียงร้องเรียกข้างหูของตนเองตลอดเวลา “นายหญิงเจ้าคะ นายหญิง...” นางเปิดเปลือกตาขึ้นมามองผู้ที่ยืนอยู่ปลายเตียงอย่างตกใจก็พบสายตาของมามาที่มองมาที่นางด้วยความยินดี บทสนทนาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ลานในเรือนจื่อยี่เมื่อครู่พวกนางกำนัลและบ่าวรับใช้ต่างได้ยินและรู้เห็นทั้งหมด มามาและเสี่ยวจี๋เคยได้ยินมาว่าท่านอ๋องเคยตั้งชื่อให้พระชายาอีกชื่อนามว่าชูเซี่ย ดังนั้นเมื่อยามที่นางแนะนำตนเองว่าชื่อชูเซี่ย ทั้งมามาและนางกำนัลต่างก็แตกตื่นยินดีกันหมด ชื่อชูเซี่ยนี้มีเพียงมามาและเสี่ยวจี๋สองคนเท่านั้นที่รู้ แม้กระทั่งเสี่ยวฉิงก็ไม่ทราบ ดังนั้นยามนี้ภายในห้องจึงมีแค่มามาและเสี่ยวจี๋ที่คอยดูแลนางอยู่ ชูเซี่ยพยุงกายลุกขึ้นนั่งก่อนจะดึงมือของมามาพลางเอ่ยถามอย่างร้อนรน “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” มามาเอ่ยปลอบโยนหญิงสาว “พระชายาอย่าได้เป็นห่วง ท่านอ๋องไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอจูเก๋อบอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว” ชูเซี่ยลุกขึ้นจากเตียงสวมรองเท้าปัก “ข้าจะไปดูเขา!” มามารีบดึงมือของนางไว้ จากนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ “พระชายา ท่านกลับมาแล้ว ดีเหลือเกิน สามปีมานี้ท่านทำให้ข้าร้องไห้จนตาแทบบอดแล้ว!” หัวใจของชูเซี่ยวูบโหว่ง นางพิจารณามามาที่ยามนี้มีผมขาวเต็มศีรษะไปหมดทั้งยังมีริ้วรอยที่หางตานั่นอีก หัวใจของนางสงสารและรู้สึกผิด เสี่ยวจี๋เดินเข้ามาใกล้และพุ่งเข้ากอดร่างของชูเซี่ยไว้แน่น จากนั้นก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น “เสี่ยวจี๋ไม่กลัว ไม่ว่าพระชายาจะเป็นผีหรือคน เสี่ยวจี๋ก็ไม่กลัว ขอแค่ท่านกลับมาก็เพียงพอแล้ว” ชูเซี่ยกอดตอบเสี่ยวจี๋ “อย่าร้องเลยนะ ถ้าดีใจที่ข้ากลับมาจริงๆก็ควรจะยิ่มสิไม่ใช่ร้องไห้อย่างนี้” คำพูดเช่นนี้บ่งบอกว่านางรู้สึกผิดกับพวกเขาแค่ไหน หญิงสาวหันไปเอ่ยถามมามา “ข้าค่อยอธิบายให้พวกเจ้าฟังคราวหลัง ทว่าตอนนี้ข้าอยากไปพบเขาก่อน” มามาพยักหน้าเข้าใจ “ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะพาพระชายาไปเองเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยเงยหน้ามองอีกฝ่าย “มามา อย่าเรียกข้าว่าพระชายาอีกเลย คนนอกต่างก็เข้าใจว่าข้าตายไปแล้ว ท่านเรียกข้าแบบนี้ผู้อื่นจะตกใจกันหมด” มามายิ้มทั้งน้ำตา “เป็นข้าที่สะเพร่าเองเจ้าค่ะ ได้ ได้ ข้าไม่เรียกท่านว่าพระชายาอีกแล้ว เช่นนั้นข้าเรียกว่าคุณหนูก็แล้วกันนะเจ้าคะ” ชูเซี่ยพยักหน้า นางไม่รอมามาอีกแล้ว ร่างบางรีบร้อนวิ่งออกไปข้างนอกทันที นางคุ้ยเคยกับจวนอ๋องดี สามปีมานี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด หญิงสาววิ่งตกไปทางเรือนฝั่งตะวันตก วิ่งไปจนถึงห้องนอนของหลี่เฉินเย่น ใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปก็ถึง เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้มีเพียงข้ารับใช้ในเรือนจื่อยี่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็น คนนอกเรือนนี้ไม่มีทางได้รู้เรื่องตัวจริงของนาง จูเก๋อหมิงสั่งให้ปิดเป็นความลับไว้แล้ว ดังนั้นแม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่รู้ถึงอาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นด้วยซ้ำ แม่กระทั่งโหร่วเฟยเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ จูเก๋อหมิงนั่งอยู่บนโต๊ะแปดเซียนด้วยจิตใจกระวนกระวาย มือของเขาที่ถือถ้วยชาไว้หมุนถ้วยไปมาอย่างไม่สบายใจ เมื่อเห็นว่าชูเซี่ยเข้ามา เขาก็จ้องมองชูเซี่ยอย่างตกใจก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “เจ้ามาแล้วหรือ!” ชูเซี่ยพยักหน้ามองไปที่ร่างของหลี่เฉินเย่นที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขายังไม่ฟื้นขึ้นมา ใบหน้ายังคงซีดเผือดไร้สีเลือด แม้แต่ริมฝีปากของเขาก็ยังซีดขาว ดวงตาปิดสนิท แม้ในยามที่ไม่ได้สติคิ้วของเขาก็ยังขมวดแน่น คางของเขามีรอยเขียวครึ้ม “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” จูเก๋อหมิงตอบคำถามของนาง “ก็เป็นเหมือนที่ผ่านมา เดี๋ยวเขาก็จะดีขึ้นมาเอง” ชูเซี่ยเดินมานั่งที่แปดเซียนจ้องมองจูเก๋อหมิง นางรู้ดีว่าคงไม่อาจปิดบังตัวตนที่แท้จริงยามอยู่ต่อหน้าจูเก๋อหมิงได้อีกแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะอ้อมค้อมอีก “สามปีมานี้ เขาผ่านมาอย่างทรมานเช่นนี้หรือ” จูเก๋อหมิงมองหน้านาง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ไม่อาจกล่าวออกมาได้ “ทรมาน? เขาเคยบอกกับข้าว่า หัวใจของเขาตายไปพร้อมกับเจ้านานแล้ว คนที่ไม่มีหัวใจจะรู้จักความทรมานได้อย่างไรเล่า” ใบหน้าของชูเซี่ยเต็มไปด้วยความขมขื่น นางเอ่ยเสียงเบาแทบจะกระซิบ “ข้าไม่นึกว่าเขาจะกลายเป็นเช่นนี้” จูเก๋อหมิงบันดาลโทสะออกมา “เจ้าไม่สมควรทำร้ายตนเองเพื่อช่วยเขาแต่แรก เพียงเพราะเจ้าช่วยเขาจนตนเองต้องมาตาย เจ้าคิดว่าเขาจะยังมีชีวิตเยี่ยงคนปกติได้อีกงั้นหรือ” ชูเซี่ยนิ่งงันไป ก่อนที่จะกลายเป็นสีหน้าจริงจัง “ต่อให้ข้าไม่ใช้ร่างกายตนเองทดลองฝังเข็ม ข้าก็ต้องตายอยู่ดี ข้าไม่ได้ตายเพราะช่วยเขาเสียหน่อย” เดิมทีวิญญาณของนางกับร่างของหลิวหยิงหลงไม่อาจเข้ากันได้อยู่แล้ว จะตายช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องตาย แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นกลับคิดว่านางตายเพราะช่วยชีวิตเขาทำให้ตลอดระยะเวลาสามปีมานี้ชายหนุ่มต้องทรมานกับความรู้สึกผิดเจียนตาย
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 67 ความรักที่เศร้าหมอง
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A