ตอนที่ 68 ไม่เหมือนเดิม   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 68 ไม่เหมือนเดิม
ต๭นที่ 68 ไม่เหมือนเดิม จูเก๋อหมิงเพ่งมองนาง “ไม่จริง เมื่อหลายปีก่อนข้าตรวจบาดแผลของเจ้า มันเป็นเพียงอาการบาดเจ็บที่ขาเท่านั้น ไม่มีบาดเจ็บที่ใดอีก อาการของเจ้าเองก็ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ ถ้าหากเจ้าไม่ใช้ร่างกายทดลองเข็มตั้งแต่แรกเจ้าก็คงไม่ตาย” ชูเซี่ยส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อสามปีก่อนพวกท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าไม่ใช่หลิวหยิงหลง” จูเก๋อหมิงนิ่งไป “เพิ่งจะมาแน่ใจก็ตอนที่เจ้าเสียชีวิตไปแล้ว” จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดหลังจากที่นางตายไปทั้งยังเล่าไปถึงเรื่องที่ท่านราชครูเข้าฌานและบอกว่านางเป็นหญิงสาวจากต่างโลกให้นางฟังอีกด้วย ชูเซี่ยตกใจ “ท่านหมายความว่าแม้กระทั่งฝ่าบาทก็รู้ว่าข้าไม่ใช่หลิวหยิงหลงงั้นหรือ” “ไม่ผิด” จูเก๋อหมิงกล่าว “หลังจากที่หยิงหลงตายไป พวกข้าก็ส่งข่าวไปบอกบิดามารดาของนาง เจ้าของไม่รู้สินะว่าหลิวหยิงหลงนางไปเข้าฝันบอกลาบิดามารดาของนาง หากไม่ใช่เพราะท่านอุปราชเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกข้าฟัง พวกข้าก็ไม่มีทางรู้เลยว่าในโลกนี้มีเรื่องวิญญาณเข้าสิงร่างอยู่จริงๆ” ใบหน้าชูเซี่ยซีดเผือด นางนึกไม่ถึงว่าทุกคนในยุคนี้จะใจกว้างกับนางได้ถึงเพียงนี้ นางเอาแต่คิดมาตลอดว่าหากเรื่องที่นางเป็นวิญญาณมาเข้าสิ่งร่างหลิวหยิงหลงแตกนางจะต้องถูกเผาทั้งเป็นอย่างแน่นอน เมื่อลองมานึกดูแล้วคนยุคอดีจแห่งนี้ยังไม่งมงายเท่ากับความเชื่อของคนยุคปัจจุบันอย่างนางเสียด้วยซ้ำ ชูเซี่ยไม่รู้จะอธิบายกับอีกฝ่ายอย่างไรว่าเมื่อหลายปีก่อนนางต้องตายเพราะวิญญาณของนางเข้ากับร่างของหลิวหยิงหลงไม่ได้ ในใจของนางสับสนวุ่นวายไปหมด เรื่องที่เรียบง่ายเมื่อหลายปีก่อนนางกลับทำให้มันซับซ้อน หากตอนนั้นนางยอมกล่าวความจริงออกไปผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะต่างกันใช่หรือไม่นะ หญิงสาวเงยหน้ามองจูเก๋อหมิง “ท่านไปพักผ่อนเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่ดูแลเขาเอง” จูเก๋อหมิงลุกขึ้นยืนปรายตามองไปยังหลี่เฉินเย่นเล็กน้อย อาจเป็นเพราะชายหนุ่มหลบตานางอยู่จึง ชูเซี่ยจึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าดวงตาของเขาทั้งรู้สึกผิดและเจ็บปวดเพียงใด หลังจากที่จูเก๋อหมิงกลับออกไป ชูเซี่ยก็เดินไปนั่งลงข้างเตียงของหลี่เฉินเย่น หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ความเลยสักนิด ตอนที่นางกลับมาเมืองหลวง นางนึกว่าตนเองจะสามารถหลอกพวกเขาได้ แต่ผู้ได้เล่าจะคาดคิดว่าทุกคนต่างรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางกันหมดแล้ว “ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องทนทุกข์มาตลอดสามปี” หลังจากที่นางอ้ำอึ้งอยู่เกือบค่อนวัน เพื่อเรียบเรียงคำพูดมากมายเพื่อจะคุยกับเขา แต่ทว่าสุดท้ายสิ่งที่นางพูดออกมาได้ก็มีเพียงแค่คำว่าขอโทษเท่านั้น นางกอบกุมมือหนาของเขาไว้ รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะยังไม่ฟื้นเพราะแผลที่หน้าอก แม้ว่ากริชที่แทงลงไปไม่ใช่จุดสำคัญ แต่เพียงเท่านี้ก้ทำให้นางขวัญกระเจิงจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างได้แล้ว “เมื่อสามปีก่อนต้องโทษที่ฝีมือการแพทย์ของข้ายังไม่เก่งกาจพอทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าข้าต้องเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยท่าน แต่ทว่าข้าอยากบอกท่านเหลือเกินว่าความตายของข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่านเลยแม้แต่น้อย ท่านอย่าได้โทษตนเองเลยนะ อย่าได้ทรมานตนเองเช่นนี้อีกเลย ท่านไม่มีทางรู้หรอกว่าการที่เห็นท่านเป็นเช่นนี้ข้าเจ็บปวดแค่ไหน” นางค่อยๆเอนกายลงบนเตียงช้าๆ อิงศีรษะของตนลงบนท่อนแขนของเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “สามปีมาแล้ว สามปีมานี้ชีวิตข้าก็ไม่ได้ผ่านมาด้วยดีนักหรอกนะ หัวใจข้านึกพะวงแต่ขาของท่าน แต่ที่ข้าไม่ยอมกลับมาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนเพราะว่าข้าจำเป็นต้องศึกษาและเรียนรู้วิชาฝังเข็มให้ชำนาญมากกว่าเดิมเพื่อที่จะรักษาท่านได้ แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าการที่ตนเองกลับมาหาท่านเป็นเรื่องที่ตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว” ชูเซี่ยถอนหายใจ เอ่ยกระซิบถ้อยคำมากมายอยู่ข้างหูของเขา นางหลับตาลงช้าๆเพื่อซึมซับช่วงเวลาที่อ่อนหวานนี้ไว้ โดยที่ไม่รู้ตัว ในขณะที่นางเอ่ยถ้อยคำสารภาพความในใจมาเสียยาวเหยียดนั้น ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาคมเจอไปด้วยความเจ็บปวด ที่นางกลับมาไม่ใช่เพราะนางรักเขาแต่เป็นเพราะว่าขาของเขาเพียงเท่านั้น “เช่นนั้นแล้ว ที่เจ้าต้องการจะบอกก็คือ หากว่าเปิ่นหวางยังแข็งแรงดี เจ้าก็จะไม่ยอมกลับมาหาเปิ่นหวางงั้นหรือ” ท่ามกลางความเงียบในห้องเสียงของชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งไร้เรี่ยวแรง หญิงสาวสะดุ้งและผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อสบสายตาเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขา หัวใจนางก็หล่นวูบ “ท่านฟื้นแล้วหรือ” หลี่เฉินเย่นจ้องมองหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ข้างกายของตน “เปิ่นหวางฟื้นขึ้นมาสักพักแล้ว ตั้งแต่ที่เจ้าและจูหมิงเก๋อสนทนากันก็ฟื้นแล้ว แต่เปิ่นหวางไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างไรก็เท่านั้น” ชูเซี่ยจ้องมองนัยน์ตาเขา เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองนางด้วยแววตาแปลกประหลาดและห่างเหินนางก็เก็บมือกลับไป นางยกมือขึ้นจับใบหน้าของตนเองพลางเอ่ยปาก “ไม่ชินหน้านี้ใช่หรือไม่ ท่านไม่ชินก็ไม่แปลก ขนาดข้าที่ตื่นมาส่องกระจกทุกวันยังไม่ชินสักที รู้สึกแปลกๆเช่นกัน” เรื่องที่โศกเศร้าที่สุดของมนุษย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่แม้กระทั่งตนเองยังไม่อาจจำหน้าตนเองได้ หลี่เฉินเย่นส่ายหน้า “ไม่ใช่ ต่อให้เจ้าจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ในใจของเปิ่นหวางก็มีบางอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนไป” หัวใจของชูเซี่ยเต้นแรงขึ้น นางเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาใสแป๋ว ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดตาของนางไว้ก่อนเอ่ยเสียงดุ “อย่ามองเปิ่นหวางด้วยแววตาเช่นนี้ ถ้าหากเจ้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องจากไปก้ไม่ควรให้ความหวังเปิ่นหวาง ไม่ควรให้คำสัญญาที่เลื่อนลอยนั่น” ชายหนุ่มยังจำได้ดี ภาพที่จวนแม่ทัพจูที่นางกอดกับจูฟางหยวนร้องห่มร้องไห้กันสองคน คิดดูแล้วนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่นางไม่ยอมกลับมาหาเขาก็เป็นได้ แค่นางยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว เขาไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ อีกอย่างเขาก็เริ่มเคยชินกับชีวิตที่ผ่านมาตลอดสามปีมานี้เสียแล้วไม่ใช่หรือ ในอดีตที่ผ่านมาเขาเฝ้าแต่ภาวนาให้นางมาเข้าฝันเขาสักครั้งเพื่อให้รู้ว่านางยังดีอยู่ ตอนนี้เมื่อรู้ว่านางยังดีทั้งยังมีชีวิตอยู่เขาก็สบายใจแล้ว คำพูดเช่นนี้ทำให้ยามนี้หัวใจของชูเซี่ยหมงหม่นไม่ต่างจากอากาศภายนอกห้อง คำพูดของเขาทำให้นางหายใจไม่ออก ไม่ใช่ว่านางไม่อยากจากเขาไป แต่นางไม่อาจจากไปได้ต่างหากเล่า ถ้าหากเลือกได้ นางจะแข็งใจเดินออกไปจากชีวิตเขาได้หรือไม่นะ นางเบือนหน้าหนีและกระถดกายเว้นระยะห่างจากเขาโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขาหล่นวูบ คำพูดของเขาเมื่อครู่ก็เพื่อต้องการพิสูจน์บางอย่างเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทางในตอนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ตนคิดนั้นถูกต้อง การที่นางกลับมาก็เพื่อรักษาขาของเขาเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่ปิดบังสถานะของตนเองแน่ “ถ้าข้าไม่อยู่แล้วท่านต้องดูแลตนเองดีๆเข้าใจหรือไม่” นางเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความปราณี แม้จะรู้ว่าคำพูดของตนเองจะทำให้เขาต้องเจ็บปวด แต่ทว่านางก็ยังเลือกที่จะประกาศมันออกไปต่อหน้าเขา เพื่อที่เขาจะได้เลิกคิดอะไรไร้สาระอีก หลี่เฉินเย่นหลับตาลงไม่พูดอะไรออกมา ความเงียบเข้าครอบงำระหว่างพวกเขาทั้งสอง ภายนอกมีเพียงเสียงลมพัดใบไม้พริ้มปลิวไสวเสียดสีกันจนเกิดเป็นเสียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้อากาศจะหนาวเหน็บไม่ใช่น้อย “ชูเซี่ย!” ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ตะโกนออกมาเสียงดัง ทั้งยังเปิดเปลือกตาขึ้นมามองที่นาง ชูเซี่ยจึงขานรับเขาเสียงเรียบ “ข้าอยู่นี่” เขาไม่ได้อะไรออกมาอีกนอกจากปิดตาลงช้าๆเช่นเดิม ลมที่พัดลงมาผ่านบานหน้าต่าง พักเอาลมหนาวของสารทฤดูพัดผ่านเข้ามาในห้อง ชูเซี่ยลุกขึ้นมา เพื่อจะลุกขึ้นไปปิดบานหน้าต่าง แต่เพียงแค่นางลุกขึ้นยืน หลี่เฉินเย่นก็เปิดเปลือกตาจ้องมองมาที่นางเขม็งส่งเสียงร้องอย่างตกใจ “เจ้าจะไปจริงหรือ” ชูเซี่ยนิ่งไป ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ดูท่าแล้วเขาจะต้องหวาดกลัวว่านางจะจากไปจริงๆแน่ หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา “ข้าแค่ไปปิดหน้าต่างเท่านั้น” สีหน้าของเขาสงบลง จากนั้นก็ส่งเสียงรับคำ ดวงตาคมทั้งสองข้างกำลังจ้องมาที่นาง มองทุกการกระทำตั้งแต่ร่างบอบบางลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างจนเดินกลับมานั่งอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง ชูเซี่ยเอ่ยปาก “ข้าไม่จากไปเร็วถึงเพียงนั้นหรอกเจ้าค่ะ ขาของท่านต้อใช้เวลารักษาอย่างน้อยครึ่งเดือน ไม่ใช่แค่วันสองวันก็หาย อีกทั้งข้ายังอยากรักษาฉ่ายเวินอีกด้วย” “ฉ่ายเวิน?” หลี่เฉินเย่นจ้องนางเขม็ง “เจ้ามีวิธีงั้นหรือ” ชูเซี่ยส่ายหน้า “ไม่ทราบ ความจริงแล้วข้ายังไม่เคยพบนางมาก่อนด้วยซ้ำ” หลี่เฉินเย่นเอ่ย “ถ้าหากว่ารักษานางได้นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน เปิ่นหวางติดหนี้นาง ทำให้นางต้องหลับไหลไม่ได้สติมาถึงสี่ปีเต็ม” ชูเซี่ยกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้ามั่นใจว่าคนที่ทำร้ายนางไม่ใช่หลิวหยิงหลงแน่เจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นไม่ได้รับฟังคำพูดของนางแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป มือหนากุมบาดแผลของตนเองไว้แน่น ชูเซี่ยคิดว่าเขาเจ็บแผลขึ้นมาอีกแล้วก็ถามอย่างร้อนใจ “เจ็บแผลหรือเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้า ไม่ได้เปิดตาขึ้นมามองเพียงแต่ส่งเสียงเรียบเฉยขึ้นมา “แผลของข้าจะเจ็บหรือไม่เจ็บ เจ้าสนใจด้วยหรือ” ชูเซี่ยนึกไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยคำนี้ออกมา นางรู้สึกหวาดกลัวยามเอ่ยถามเขาออกไป “เหตุใดท่านจึงคิดว่าข้าไม่สนใจเล่า” ริมฝีปากของหลี่เฉินเย่นโค้งขึ้นอย่างเย้ยหยัน “จริงสิ เจ้าและจูฟางหยวนรู้สึกกันตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้วใช่หรือไม่” ชูเซี่ยเอื้อมมือมาจัดแจงห่มผ้าให้กับเขา จากนั้นก็เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ท่านอยากรู้อะไรข้าจะบอกท่านทุกเรื่อง แต่ทว่ายามนี้ท่านต้องดูแลตนเองให้หายดีเสียก่อน อย่าได้คิดอะไรให้มากมายนัก” หลี่เฉินเย่นยิ้มเย็น “เปิ่นหวางไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น” กล่าวจบเขาก็หันหน้าไปทางอื่นไม่พูดอะไรอีก ชูเซี่ยรู้ดีว่าอีกฝ่าโกรธนางอยู่ ทั้งอยู่รู้ด้วยว่าเพราะอะไร คนภายนอกอาจจะพูดว่าชายหนุ่มผู้นี้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ทว่าในใจของนาง ผู้ชายตรงหน้านางยังคงเป็นเด็กชายตัวโตนิสัยดื้อรั้นไม่มีวันเปลี่ยน นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบาไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเช่นกัน ได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ทว่าความรู้สึกผิดค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเข้ามาแทนที่ ตลอดสามปีมานี้เขาอยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้มาโดยตลอด เขาคิดแม้กระทั่งเขาจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนเบื้องบนเพื่อให้ได้นางกลับมา สุดท้ายเขาก็ได้รับรู้ว่าเพื่อให้ได้นางกลับมาเขายอมใช้แม้แต่ชีวิตของตนไปแลก แต่มาในวันนี้ ในตอนนี้มันไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว มายามนี้เมื่อนางกลับคืนมาแล้ว นางกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขายังหาเรื่องทะเลาะกับนาง นั่นทำให้เขารู้สึกเกลียดตนเองขึ้นมา แต่เขาไม่อาจยกมือขึ้นซับน้ำตาให้นางและบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์ทรมานของเขาในตลอดสามปีมานี้ออกมาได้ เพราะในตอนนี้นางมีบุรุษที่อยู่เคียงข้างนางแล้ว อีกทั้งนางก็ไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกันกับที่เขารู้สึกกับนางแม้แต่น้อย นางกลับมาก็เพราะจรรยาบรรณหมอของตนเองที่มีต่อผู้ป่วยเช่นเขาเท่านั้น ความเงียบงันเป็นสิ่งที่ทรมานคนได้ดีที่สุด ชูเซี่ยหยิบเครื่องเป่าชิ้นเล็กๆออกมาจากอกเสื้อ เครื่องเป่าชิ้นนี้เป็นของที่ติดตัวจูฟางหยวนมาจากโลกเดิม เพราะว่าเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเล็กที่พกพาง่ายทำให้นางสามารถเก็บมันไว้ในอกเสื้อและพกพาไปไหนมาไหนได้ในยุคนี้ นางนั่งอยู่บนเก้าอี้จากนั้นก็ค่อยๆเล่นเป็นทำนองเพลง ‘สำนึกผิด’ ท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ มีเสียงบรรเลงของเครื่องเป่าในทำนองเศร้าสร้อยดังลอยละลิ่วไปตามลม ทำให้ความเศร้าและอ้างว้างเกาะกุมในจิตใจของทั้งคู่จนดวงตาแดงก่ำ เมื่อบรรเลงเพลงจนจบ หลี่เฉินเย่นก็หันกลับมามองนางก่อนเอ่ยถาม “เพลงนี้มีชื่อหรือไม่” “เพลงนี้มีชื่อว่า ‘สำนึกผิด’ เจ้าค่ะ” ชูเซี่ยตอบ “มีเนื้อร้องหรือไม่ ร้องมาให้เปิ่นหวางฟังหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าเขาจะชอบทำนองเพลงนี้อย่างยิ่ง ชูเซี่ยเหงื่อตก “ข้าร้องเพลงแย่มาก” “เสียงของเจ้าก้องกังวาล จะร้องเพลงแย่ได้อย่างไร เจ้าแค่ไม่อยากร้องเพลงให้เปิ่นหวางฟัง มากกว่า” น้ำเสียงของชายหนุ่มที่นอนทอดกายอยู่บนเตียงฉายแววประชดประชัน ชูเซี่ยถอนหายใจอย่างระอา “ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นท่านอ๋องเอ่ยวาจาประชดประชันใส่ข้าเช่นนี้” “สำหรับเปิ่นหวางแล้วการพบเจอหน้าเจ้าช่างยากลำบาก แต่กับเจ้าไม่เหมือนกัน หากในใจของเจ้ามีเศษเสี้ยวหนึ่งที่คิดถึงเปิ่นหวางบ้างก็คงจะกลับมาหาเปิ่นหวางตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว” เขาอดใจไม่ไหวที่จะระเบิดความเศร้าโศกและความไม่พอใจใส่นาง ความเยือกเย็นและความอดทนที่พยายามทำมาตลอดสูญหายไปหมด สามปีมานี้เขาเคยชินกับคำว่าอดทนมาตลอด แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นข้อยกเว้นในทุกๆอย่างของเขา หญิงสาวก้มหน้าพูดอะไรไม่ออก มีเรื่องราวมากมายที่เขาไม่รู้และนางก็ไม่รู้จะบอกเขาดีหรือไม่ บอกแล้วอย่างไร ไม่บอกแล้วอย่างไรเล่า ความทุกข์ทนตลอดสามปีมานี้ถึงอย่างไรก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ “ข้าคนึงถึงท่านเป็นพันครั้งจนแม้แต่ข้าก็ยังประหลาดใจ อดีตของข้าที่พบเจอคือสิ่งที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกไป หิมะที่ไร้ขอบเขตไร้ซึ่งพรมแดน เหมันต์ฤดูและสารทฤดูที่หนาวเย็นลึกล้ำไม่อาจสงบใจของข้าลงได้ แม้แต่ดวงจันทราที่ที่เคยอ่อนโยนก็กลับกลายเป็นเย็นเยียบและเฉยชา แม้ว่าข้าจะร้องไห้อย่างเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้ เพราะมันจะทำให้ท่านได้ล่วงรู้ถึงเสียงหัวใจของข้า แม้ว่าข้าจะพูดมันออกไปให้ท่านได้รับฟัง แต่ตัวข้านั้นจะรับฟังเสียงตนเองได้หรือต้องทำเช่นไรเล่าข้าจึงจะเปิดใจรับฟังเสียงหัวใจของตนเองได้ เหตุใดท่านจึงยอมจมอยู่กับห้วงภวังค์นั้นอีกเล่า หัวใจของข้าที่แตกสลายและน้ำตาที่หลั่งรินออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจ ความรู้สึกผิดและความสำนักผิดที่ข้ามีต่อท่าน จะทำให้ท่านยอมให้อภัยและยอมรับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความเจ็บปวดจากการพลัดพรากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนทั้งยังเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับคนอย่างข้า ท่านเป็นดั่งสิ่งของสำคัญที่ขาดหายไปของคนอย่างข้า ข้าเพียงแต่ยังมีประกายไฟแห่งความหวัง หวังเพียงเล็กน้อยที่ท่านจะยังยอมรับข้าซึ่งเป็นภรรยา...” ชูเซี่ยค่อยๆร้องเพลงจากละครดัง ‘ศึกสองนางพญา’ จากยุคปัจจุบันของนางที่มีชื่อว่า ‘สำนึกผิด’ ออกมาด้วยเสียงต่ำๆของตนเอง ท้วงทำนองที่เดิมโศกเศร้าเมื่อกอปรกับเนื้อเพลงก็ทำให้ทวีความเศร้ามากขึ้นอีกหลายส่วน หลี่เฉินเย่นนอนฟังอยู่เงียบๆ หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าวจากนั้นก็ค่อยๆกระจายออกไปทั่วใบหน้าของเขา 
已经是最新一章了
加载中