ตอนที่ 69 จริงใจ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 69 จริงใจ
ต๭นที่ 69 จริงใจ “ที่แท้เจ้าก็ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นภรรยาข้า!” หัวใจของเขาท่องเนื้อเพลงที่นางร้องออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจปวดปลาบจนหายใจแทบไม่ออก เมื่อชูเซี่ยร้องเพลงจบ หัวใจก็รู้สึกยากจะบรรยาย เพราะเช่นนี้ยามนี้ร่างสูงนอนอยู่บนเตียง ส่วนร่างบอบบางของนางก็นอนอยู่บนตั่งยาวริมหน้าต่าง ทั้งสองคนนอนอยู่เช่นนั้นตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกเลยทั้งคืน จูเก๋อหมิงมาที่จวนอ๋องอีกครั้งในย่ำรุ่งวันที่สองเพื่อตรวจอาการบาดเจ็บให้กับหลี่เฉินเย่น “ระยะนี้อย่าเพิ่งลงจากเตียงก่อนล่ะ มิฉะนั้นแผลจะสมานตัวกันยาก” หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงเรียบ “บาดแผลนี้หายดีแล้วเดี๋ยวก็มีบาดแผลอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก” ชูเซี่ยนั่งเงียบๆอยู่อีกฟากหนึ่งไม่ได้เอ่ยออกมาเพียงแต่เลิกคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ทางวังหลวงส่งคนมาถามไถ่อาการของเจ้าแล้ว ถ้าหากเจ้ายังไม่อยู่ยิ่งนิ่งๆรักษาแผลของตนเองให้หายดีแล้วล่ะก็ฮ่องเต้และฮองเฮาจะต้องร้อนพระทัยมากเป็นแน่” หลี่เฉินเย่นจ้องมองจูเก๋อหมิงนิ่งๆก่อนเอ่ยถาม “เจ้ารู้ตัวตนของนางตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่” เมื่อค่ำวานเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างชูเซี่ยและจูเก๋อหมิงทุกคำ เพราะเหตุนั้นเขาจึงรู้สึกขุ่นเคืองจูเก๋อหมิงขึ้นมา ปากบอกว่าตนเองเป็นสหายรักของเขาแต่กลับเฝ้าเก็บชูเซี่ยไว้ข้างกายตนเอง รู้ตั้งแต่แรกว่าชูเซี่ยกลับมาแต่ก็ไม่คิดจะบอกเขาสักคำ สหายรักงั้นหรือ ดูท่าจะไม่ใช่อย่างที่พูดแม้แต่น้อย จูเก๋อหมิงปรายตามองชูเซี่ย นางยังคงก้มศีรษะลงไม่พูดไม่จา ในมือของนางถือเข็มอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเข็มยาวที่นางไว้ใช้ป้องกันตนเอง แต่ทว่าในขณะนี้นางอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ใดจึงหยิบเข็มขึ้นมาถือเล่นก็เท่านั้น หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องมองนางหรอก นางกลายเป็นหญิงใบ้ไปเสียแล้วล่ะ” จูเก๋อหมิงถอนหายใจ “เจ้ารู้แล้วอย่างไร ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร” หลี่เฉินเย่นหันไปหาชูเซี่ยก่อนเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “เจ้าออกไปก่อน เปิ่นหวางไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” ชูเซี่ยไม่คิดจะต่อปากต่อคำนางลุกขึ้นหันกายจากไปแต่โดยดี จูเก๋อหมิงส่ายหน้าอย่างระอา “เหตุใดจึงต้องใส่อารมณ์กับนางด้วยเล่า” หลี่เฉินเย่นมองจูเก๋อหมิงด้วยสายตาเย็นยะเยือก เข้ายังไม่ลืมเรื่องราวในช่วงหลายวันมานี้ สายตายามที่จูเก๋อหมิงมองชูเซี่ยเป็นประกายเช่นไรเขายังไม่ลืม จูเก๋อรู้อยู่แก่ใจว่าเขารักชูเซี่ย แต่ก็ยังเห็นแก่ตัวไม่ยอมบอกความจริงแก่เขา จูเก๋อหมิงมองไปที่สหายของตนอย่างสงบ “ไม่ต้องเดาส่งเดชไปหรอก ถูกของเจ้า ข้าชอบนาง” หลี่เฉินเย่นยิ้มเยาะ “ในที่สุดเจ้าก็กล้าเอ่ยออกมาแล้วสินะ ที่เจ้าไม่ยอมบอกเปิ่นหวางตั้งแต่แรกเพราะเจ้ามันเห็นแก่ตัว!” จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ที่ข้าไม่บอกเจ้าแต่แรกเพราะข้ารู้ว่านางมีสัมพันธ์กับจูฟางหยวนต่างหากเล่า” จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ที่ตนเองไปพบชูเซี่ยและจูฟางหยวนอยู่ด้วยกันในห้องนางของนางสองต่อสองทั้งยังสนิทชิดเชื้อกันอย่างยิ่งให้หลี่เฉินเย่นฟัง ที่เขาเห็นแก่ตัวไม่ยอมบอกอีกฝ่ายก็เพราะว่าไม่อยากทำลายมิตรภาพของตนเองด้วยเช่นกัน “เจ้าก็คงคิดได้ใช่หรือไม่ว่าเมื่อสามปีก่อนนางก็รู้จักกับจูฟางหยวนอยู่ก่อนแล้ว เก้าอี้รถเข็นที่นางมอบให้เจ้าก็เป็นเก้าอี้ที่จูฟางหยวนทำเองกับมือ” จูเก๋อหมิงพูดออกมาตรงๆไร้ความปราณี หลี่เฉินเย่นพลันขาวซีด ดวงตาคมหม่นหมองลง “เจ้ากำลังจะบอกว่า ตั้งแต่แรกมาเปิ่นหวางก็ถูกนางหลอกงั้นหรือ ใช่หรือไม่ แท้จริงแล้วนางไม่เคยรักเปิ่นหวางเลยแม้แต่น้อย” หลี่เฉินเย่นยิ้มเย้ยหยันตนเอง “คงจะจริง เปิ่นหวางก็เอาแต่นึกเข้าข้างตนเองว่านางเองก็รักเปิ่นหวางอย่างล้ำลึกเช่นเดียวกันกับเปิ่นหวาง” “เฉินเย่น นางไม่เคยหลอกลวงอะไรเจ้า เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าแต่เดิมนางก็ไม่ใช่หลิวหยิงหลงอยู่แล้ว นางไม่ใช่ชายาของเจ้า” จูเก๋อหมิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว หลี่เฉินเย่นขยับยิ้มเย็นชา “จริงด้วย โชคดีที่ยังมีเจ้าเตือนสติ เพราะเจ้าเป็นคนนอกสินะจึงมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ นางไม่เคยเป็นพระชายาของเปิ่นหวางมาก่อน เช่นนั้นหากเจ้าชอบนาง เจ้าก็ไปเกี้ยวนางเสียสิ” จูเก๋อหมิงรู้สึกเอือมระอากับอีกฝ่ายเหลือเกิน “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมให้เจ้า เจ้าควรจะรู้ไว้เสียด้วยว่านั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่ามิตรภาพระหว่างเราสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดต่างหากเล่า!” หลี่เฉินเย่นตั้งใจจะโต้ตอบอีกฝ่ายออกไป แต่ตอนนั้นเองที่ชูเซี่ยผลักประตูเข้ามาเสียก่อน ใบหน้าของหญิงสาวเรียบเฉย “ข้าเป็นหญิงสาวที่ออกเรือนแล้ว ต่อให้จูเก๋อหมิงจะมาเกี้ยวข้า ข้าก็ไม่อาจทรยศสามีของตนเองได้” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นแข็งค้าง หัวสมองว่างเปล่า หัวใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด หัวใจของเขาขมขื่น ริมฝีปากเม้มแน่น “ในเมื่อเจ้าออกเรือนไปแล้วจะกลับมาทำไมกัน ไหนๆเปิ่นหวางก็นึกว่าเจ้าตายจากไปแล้วเจ้าก็ไม่ควรกลับมาให้เปิ่นหวางเห็นหน้าอีก” ชูเซี่ยตวัดมองสายตาของผู้พูด นางไม่อาจมองออกได้ว่าเขาพูดด้วยอารมณ์เช่นไร “ข้าเคยบอกกับท่านแล้วว่าขาของท่านยังต้องใช้เวลารักษาอีกครึ่งเดือน” หลี่เฉินเย่นตอบกลับเสียงเย็น “ไม่จำเป็น ไสหัวไปเสีย” ชูเซี่ยขมวดคิ้ว “ท่านไม่ควรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้” “เปิ่นหวางยังสติดีอยู่ ไม่หุนหันพลันแล่นแม้แต่น้อย ชูเซี่ย แท้จริงแล้วเปิ่นหวางไม่เคยติดหนี้เจ้าเลยแม้แต่น้อย ตลอดสามปีมานี้เปิ่นหวางนึกโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าต้องตาย แต่ในเมื่อไม่ใช่เช่นนั้น ปเนหวางก็ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกผิดอีกแล้ว เจ้าไม่ได้ติดค้างเปิ่นหวาง เปิ่นหวางเองก็ไม่เคยติดค้างเจ้า เปิ่นหวางไม่ต้องการให้เจ้ามารักษาเปิ่นหวางอีกแล้ว” หลี่เฉินเย่นข่มตาปิดลงก่อนจะเอ่ยเรียกจูเก๋อหมิงเบาๆ “จูเก๋อ พานางออกไปจากจวนอ๋องเดี๋ยวนี้ เปิ่นหวางไม่อยากพบนางอีก” จูเก๋อหมิงยืนขึ้นหันกายกลับมาหาชูเซี่ย “เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขาเสียหน่อย” ชูเซี่ยส่ายหน้า “ข้าไม่ไป!” หลี่เฉินเย่นยิ้มเย็น “เหตุใดจึงหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ ไล่ก็ยังไม่ยอมไป เจ้าไม่เอาหน้าแล้วหรืออย่างไร กลับไปโอบกอดสามีเจ้าและผ่านช่วงเวลาดีดีด้วยกันเสียเถิด อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับเปิ่นหวางอีก” จูเก๋อหมิงขมวดคิ้วนึกอยากกล่าวอะไรออกมาแต่ชูเซี่ยกลับเดินไปเปิดประตูและหันมาทางท่านหมอหนุ่ม “จูเก๋อหมิง ท่านออกไปก่อน” จูเก๋อหมิงมองหน้านางอย่างกังวลปนประหลาดใจ จนชูเซี่ยต้องเอ่ยเสริม “วางใจเถิด ข้าไม่ทำร้ายเขาหรอก” สุดท้ายจูเก๋อหมิงจึงได้แต่พยักหน้าก่อนจะเหลือบไปมองหลี่เฉินเย่น “พูดคุยกันดีๆ” กล่าวจบชายหนุ่มก็หันกายเดินออกจากห้องไป ชูเซี่ยปิดประตูลงจากนั้นก็ค่อยๆก้าวย่างไปทางเตียงที่ชายหนุ่มนอนอยู่ “หลี่เฉินเย่น พวกเราจำเป็นต้องทะเลาะกนด้วยเรื่องเพียงเท่านี้งั้นหรือ” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นฉายแววเจ็บปวด แต่ริมฝีปากกลับยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะมีอะไรให้ต้องพูดคุยกันอีกงั้นหรือ” ชูเซี่ยถือเข็มเล่มหนึ่งไว้ในมือ ฉวยโอกาสที่ชายหนุ่มพูดคุยกับนางแทงเข็มเข้าที่จุดตานเถียนของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อผนึกกำลังภายในของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ฝังไปอีกบริเวณหนึ่งที่ใกล้กับช่วงไต จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่สามารถขยับกายได้อีก ทั้งยังไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก ทำได้เพียงเบิกตากว้างถลึงใส่นางเท่านั้น ชูเซี่ยพับขากางเกงของเขาขึ้น ไม่ว่าเมื่อใดรอยแผลมากมายที่ขาของเขาก็สามารถทำให้หัวใจของนางเจ็บแปลบได้เสมอ นางค่อยๆตั้งสมาธิฝังเข็มลงไปที่ขาของเขาทั้งสองข้างถึงสิบหกเล่ม จากนั้นก็แทงไปที่จุดไป๋ฮุ่ยและหยงฉวนอีกอย่างละเล่ม ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น ชูเซี่ยเดินมานั่งลง เหลือบไปเห็นใบหน้าที่แดงก่ำและดวงตาสีเดียวกันที่แทบจะระเบิดก็หลุดขำ “จ้องอะไรหรือเจ้าคะ แค่เป็นวรยุทธ์ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรใช่หรือไม่ ข้ายังสามารถจัดการกับท่านด้วยเข็มเล่มเล็กๆแค่เล่มเดียวเท่านั้น” เห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ชูเซี่ยก็ลอบถอนหายใจ แววตาหยอกล้อเมื่อครู่ค่อยๆหายไป เหลือเพียงดวงตากลมใสซื่อที่มองมาที่เขา “ร่างกายเป็นของตนเอง หากตนเองยังไม่รู้จักรักตนเองแล้วจะคาดหวังให้ใครมารักท่านกันเล่า” ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หากว่ามันสามารถแผดเผาได้ ป่านนี้ร่างของนางคงมอดไหม้ไปแล้ว ชูเซี่ยถอนหายใจออกมาหนักๆ “เอาล่ะ ไม่ยั่วโมโหท่านแล้วก็ได้ ครึ่งเดือนนี้พวกเราก็มาทำดีต่อกันหน่อยเถิด ดีหรือไม่ พวกเราเคยผิดพลาดมาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ยางทีในภายภาคหน้าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วนะเจ้าคะ ท่านก็ช่วยอดทดมองหน้าข้าไปอีกสักครึ่งเดือนได้หรือไม่” หญิงสาวค่อยดึงเข็มที่ฝังอยู่ในร่างเขาออกมาช้าๆ ดวงตาของเขาที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยโทสะ ริมฝีปากกำลังจะอ้าปากด่านาง นางก็โน้มร่างลงมาประทับริมฝีปากตนกับริมฝีปากของเขาเสียก่อน หลี่เฉินเย่นกนะพริบตาปริบๆ มองนางอย่างไม่เชื่อสายตา น้ำตาของชูเซี่ยไหลอาบแก้ม “เฉินเย่น ข้าเป็นคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง กลับมาได้ครั้งนี้ก็นับว่าสวรรค์เบื้องบนเมตตามากแล้ว ข้าในตอนนี้สามารถไปจากท่านได้ตลอดเวลา แต่ที่ข้าต้องไปไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่อาลัยอาวรณ์ท่าน แต่ทว่าเรื่องบางเรื่องมันก็เกินกว่ากำลังและความสามารถของข้าเหลือเกิน” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงยังจะจากไปอีกเล่า เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดวิญญาณจึงสามารถเข้าสิงร่างของหยิงหลงได้ แล้วเหตุใดจึงต้องจากไป?” ชูเซี่ยสลดใจ “ข้าเป็นเพียงดวงวิญญาณที่หลุดออกมาจากต่างโลกเท่านั้น ครั้งนั้นที่สามารถเข้าร่างหลิวหยิงหลงได้แค่ก็นึกว่าตนเองจะได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่ทว่าท่านจำได้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่ข้าบาดเจ็บข้าก็จะสามารถหายได้เองอย่างรวดเร็ว แล้วจากนั้นจู่ๆแผลมันก็อักเสบและเน่าขึ้นมาเองได้หรือไม่ นั่นก็เพราะว่าวิญญาณของข้าและร่างกายของหลิวหยิงหลงไม่อาจเข้ากันได้อย่างไรเล่า จนเมื่อข้าตายไปวิญญาณของข้าก็เข้าไปสิงร่างของหญิงสาวคนนี้ได้อีกครั้ง แต่ทว่าท่านดูเถิด...” นางถลกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เขามองเห็นขาทั้งสองข้างของตน “ครั้งนี้ก็เหมือนกันกับครั้งก่อน บาดแผลที่ขาของข้าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย ต่อให้ท่านเอามีดมาแทงข้า ข้าก็ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ” หลี่เฉินเย่นมองรอยแผลมากมายที่ขาทั้งสองข้างของนางอย่างตะลึง “เช่นนั้น เจ้าจะเป็นอย่างไรต่อไป” ชูเซี่ยส่ายหน้าอย่างขทขื่น “ข้าจะตาย” หลี่เฉินเย่นทำหน้าไม่เชื่อ เอ่ยเสียงสั่นพร่า “ไม่มีทาง มันจะต้องมีวิธีช่วยเจ้าได้” “ไม่มีวิธีใดอีกแล้ว แม้กระทั่งอาจารย์ข้าก็บอกว่าไม่มีวิธี” “เช่นนั้น...” เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปหมด “หากเจ้าตายไปอีก ครั้งนี้ก็ยังสามารถหาร่างใหม่มาเข้าสิงได้อีกใช่หรือไม่” ชูเซี่ยส่ายหน้า “ไม่อาจเกินสามครั้ง อาจารย์ของข้ากล่าวว่าหากร่างกายนี้ไม่อาจเข้ากับวิญญาณของข้าได้ก็ไม่มีร่างใดที่วิญญาณของข้าสามารถเข้าสิงได้อีกแล้ว” หลี่เฉินเย่นคว้าร่างของนางมาโอบกอดไว้แน่น จากนั้นก็เอ่ยอย่างตื่นตระหนก “อาจารย์ของเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่มนุษย์อย่างเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ แค่อาจารย์ของเขากล่าวมาเจ้าก็เชื่อเขางั้นหรือ เปิ่นหวางไม่เชื่อ พวกเราเข้าวังไปหาท่านราชครูกันเถิด เขาสามารถเข้าฌานดูและรับรู้ว่าเจ้าเป็นหญิงสาวที่มาจากต่างโลก เช่นนั้นเขาต้องมีวิธีช่วยเหลือเจ้าแน่” กล่าวจบ ร่างสูงก็ฝืนกายลุกขึ้นมาทันที ชูเซี่ยพยายามจะหยุดเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ห้ามขยับส่งเดช เฉินเย่น หากท่านยังเป็นเช่นนี้อีก หลังจากครึ่งเดือนนี้ผ่านไปข้าจะจากไปทันที” หลี่เฉินเย่นกุมมือทั้งสองของนางไว้แน่น เอ่ยขึ้นอย่างขวัญเสีย “ได้ เปิ่นหวางจะไม่ขยับส่งเดชแล้ว เปิ่นหวางไม่ขยับเจ้าก็ห้ามไปไหน” ชูเซี่ยถอนหายใจ “ข้ากลับมาครั้งนี้ เดิมทีกลับมาครั้งนี้ข้าไม่นึกว่าจะมีใครล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า ข้าเพียงต้องการแค่รักษาขาของท่านให้หายดีจากนั้นก็จากไปแต่โดยดี แต่ในเมื่อท่านเป็นเช่นนี้จะให้ข้าทำใจจากท่านไปได้อย่างไร การที่ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันดีต่อท่านหรือไม่นะ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าอยากให้ท่านรับปากกับข้า หากถึงเวลาที่ข้าต้องจากท่านไป ท่านต้องอย่าทรมานตัวเองอีกนะรู้หรือไม่ มิฉะนั้นต่อให้ข้าตายก็คงตายไม่สงบ” หลี่เฉินเย่นปิดปากของนางไว้ “ห้ามเจ้าพูดเช่นนี้ เจ้ากล่าวเช่นนี้ออกมาทำให้เปิ่นหวางปวดใจยิ่งนัก” ดวงตาของชูเซี่ยเปียกชื้นยามที่จ้องมองใบหน้าของเขา นางค่อยๆเอนกายซบลงตรงไหล่ของเขานิ่งๆไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก หลี่เฉินเย่นใช้มือข้างหนึ่งโอบนางไว้ ดวงตาคมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเสียใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองจากนรกเหาะขึ้นสรวงสวรรค์และจากสวรรค์ล่วงหล่นลงสู่ขุมนรกอีกครั้ง มายามนี้เมื่อรู้ว่านางไม่อาจอยู่กับเขาได้นานก็ราวกับว่าตกลงสู่ขุมนรกอีกครั้ง ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เปิ่นหวางจะไม่ยอมให้เจ้าต้องเผชิญหน้ากับมันตามลำพังอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เปิ่นหวางจะอยู่เคียงข้างเจ้า ความตายก็ไม่อาจพรากจากเราได้อีกต่อไป” คำมั่นสัญญาของเขา ถ้าหากเป็นเมื่อสามปีก่อนชูเซี่ยจะต้องมีความสุขมากๆ แต่ทว่าตอนนี้เมื่อฟังเช่นนี้นางกลับรู้สึกปวดใจยิ่งนัก นางไม่ต้องการให้เขาร่วมเป็นร่วมตายกับนาง นางแค่อยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเพียงเท่านั้น นางเป็นหญิงสาวที่มาจากยุคที่แตกต่างกับเขา เดิมนางก็ไม่สมควรมาอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีนางแล้วล่ะก็ชีวิตของเขาก็คงมีแต่ความสุขสบาย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะในฐานะเชื้อพระวงศ์ ในฐานะบุตรชายกษัตริย์ เขาสามารถตบแต่งภรรยาได้มากมาย ชีวิตที่เหลือของเขาจะต้องเต็มไปด้วยความสุขแน่ๆ แต่ทว่าชีวิตของนาง ไม่ว่าจะดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปช่วงเวลาเดิมได้อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งชูเซี่ยในโลกใบนี้ นางตระหนักได้ว่าชีวิตของนางไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่นางไม่คาดฝัน นางไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีอะไรรอนางอยู่ในภายภาคหน้า เส้นทางของนางจะขรุขระเพียงใดนางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือแค่พยายามคลำทางไปข้างหน้าในเส้นทางที่มืดมิดที่รอนางอยู่เท่านั้น
已经是最新一章了
加载中