ตอนที่ 70 พี่น้องบาดหมางกัน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 70 พี่น้องบาดหมางกัน
ต๭นที่ 70 พี่น้องบาดหมางกัน เมื่อมีชูเซี่ยคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้สภาพจิตใจของหลี่เฉินเย่นดีขึ้นมาก เมื่อสภาพจิตใจดีร่างกายก็สมานแผลได้เร็วขึ้นมาก ด้านชูเซี่ยก็ดูเหมือนว่านางจะต้องทำการย้ายบ้านอีกครั้งเสียแล้ว เมื่อกลับมาถึงจวนแม่ทัพ นางก็บอกเล่าเรื่องทั้งหมดให้จูฟางหยวนฟัง จูฟางหยวนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ถ้ารู้ว่าจะกลายเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ควรปิดบังชื่อของตนเองตั้งแต่แรก” ชูเซี่ยรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง “ข้าก็ไม่ได้ปิดบังชื่อของตนเองเสียหน่อย ทว่าเรื่องบ้างเรื่องเราก็ไม่อาจคาดถึงจริงๆ ข้าเองก็จนปัญญา” จูฟางหยวนเอ่ย “ตอนนี้เจ้ายอมหลับไปอยู่กับเขา ถ้าภายภาคหน้าเจ้าตายไปเขาจะทำอย่างไรเล่า เจ้าอย่าลืมนะว่าตลอดสามปีที่ผ่านมาเขามีสภาพอย่างไร เขาดูเป็นคนเสียสติ ไม่สิ เขาเป็นคนเสียสติอย่างไม่ต้องสงสัย” ชูเซี่ยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ เท้าคางมองอีกฝ่าย “ตอนนี้ข้าไม่กล้าคิดไปไกลถึงเพียงนั้นหรอก ข้าแค่รู้เพียงว่าชีวิตข้าสั้นนัก อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเขาอย่างสงบสุขมากกว่า” “ตอนที่เจ้าควรคิดมากกลับไม่รู้จักคิด แต่ยามที่ไม่ควรคิดมากเจ้ากลับคิดมากเสียอย่างนั้น หลี่เฉินเย่นเอ๋ย ดูท่าว่าภายหน้าเจ้าคงต้องนั่งกอดเข่าร้องไห้เสียแล้ว” จูฟางหยวนกล่าวอย่างไร้อารมร์ “นี่ อย่าพูดจาร้ายกาจขนาดนี้ได้หรือไม่ บางทีข้าอาจจะไม่ตายก็ได้ บางทีอาจจะเป็นเช่นที่เขาพูด อาจมีท่านเทวดาลงจากฟ้ามาช่วยข้า ข้าอาจจะอยู่กินกับเขาจนแก่เฒ่าไปเลยก็ได้” ชูเซี่ยแสร้งทำเป็นมองโลกในแง่ดี “ได้ข่าวว่าอาจารย์ของเจ้าก็เป็นเทวดาไม่ใช่หรือไง หากไม่ได้ยาวิเศษที่เขามอบให้เจ้า ป่านนี้เจ้าก็คงตายไปนานแล้ว” จูฟางหยวนนั่งอยู่ตรงหน้านาง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องรู้จักเตรียมพร้อมล่วงหน้า ข้าเคยได้ยินมาว่าจูเก๋อหมิงเคยคิดค้นยาชนิดหนึ่ง สามารถทำให้คนเสียความทรงจำได้ เช่นนี้ดีหรือไม่รอให้เจ้าใกล้จะตาย เจ้าก็มอบยาชนิดนั้นให้เขากินก็แล้วกัน” ชูเซี่ยส่ายหน้า “เจ้าโง่หรือ หากมียาชนิดนี้อยู่จริงๆ จูเก๋อหมิงก็คงใช้มันกับท่านอ๋องตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ปล่อยให้สหายรักของตนเองต้องทนทุกข์ทรมานนานถึงเพียงนี้หรอก” จูฟางหยวนยักไหล่ “พูดก็พูดเถิด ข้าก็คิดว่าจูเก๋อหมิงเดิมก็คงไม่ใช่คนดีอะไร เขาหลงรักเจ้าอยู่นะรู้หรือไม่” “เหตุใดคนที่ตกหลุมรักข้าถึงไม่ใช่คนดีกันเล่า ข้าคิดว่าคนที่หลงรักคนอย่างข้าล้วนเป็นคนดีทั้งนั้น ไม่เหมือนเจ้า เจ้าน่ะไม่ใช่คนดี ยังไม่รีบช่วยข้าเก็บข้าวของอีกหรือ นี่ก็เย็นมากแล้ว ฝนก็ทำท่าว่าจะตกเสียด้วย หลายวันมานี้ท้องฟ้าเป็นอะไรก็ไม่รู้ ฝนตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว” ชูเซี่ยชะเง้อมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีนอกหน้าต่าง ค่ำเมื่อวานฝนก็เพิ่งจะหยุดตกไปแท้ๆแต่มาถึงตอนนี้ท้องฟ้ากลับอึมครึมอีกแล้ว ทั้งๆที่สารทฤดูอากาศควรจะแห้งถึงจะถูก มีอย่างที่ไหนฝนตกลงมามากมายถึงเพียงนี้ “ของของเจ้าไม่ได้มีมากมายอะไร มีแค่เสื้อผ้าสองชุด อ่อใช่แล้ว ซับในของเจ้าซักแล้วยังไม่แห้งดี เจ้าก็อย่าเพิ่งเอากลับไปก่อน ไว้แห้งแล้วข้าค่อยนำมันไปมอบให้เจ้าก็แล้วกัน” จูฟางหยวนเอ่ย “เจ้าซักให้ข้าหรือ” ชูเซี่ยเดาะลิ้น จูฟางหยวนยกมือเขกไปที่หน้าผากอีกฝ่าย “ฝันหวานเกินไปแล้ว เห็นข้าเป็นคนที่จะช่วยหญิงสาวซักซับในหรืออย่างไรกัน โดยเฉพาะหญิงสาวที่มีประจำเดือนเช่นเจ้า ว่าก็ว่าเถิด ประจำเดือนเจ้าก็มาหลายวันเกินไปแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างไรไปหาหมอตรวจดีหรือไม่ ข้ากลัวว่าเจ้าจะเลือดไหลหมดตัวเสียก่อน” ชูเซี่ยเตะเขาไปแรงๆหนึ่งที “เจ้าบ้า จะไปหาหมอทำไมกันเรื่องแค่นี้ เจ้ามันโง่ ข้าเองก็เป็นหมอจะไปหาหมออีกทำไมกัน มันอาจจะเป็นเพราะวิญญาณกับร่างนี้เข้ากันไม่ได้ก็เป็นได้” จูหางหยวนหมดคำพูด “ข้าไม่อยากเอ่ยถึงก็ไม่ได้ ผ้าอนามัยที่เจ้าทำขึ้นมาล้วนใช้จนหมดเกลี้ยงแล้ว” ชูเซี่ยหมดอารมณ์จะโต้เถียงกับอีกฝ่าย “ช่างเถิด ไม่อยากเถียงกับเจ้าแล้ว หน้าข้าไม่หนาถึงเพียงนั้น ข้าจะไปแล้ว” นางยกห่อสัมภาระขึ้นมากอดไว้ “พรุ่งนี้เจ้าก็ให้เสี่ยวฮวาส่งข้าวของที่เหลือของข้าไปก็แล้วกัน ยังมีอีกให้เสี่ยวฮวานำกองสำลีและอุปกรณ์เย็บปักสำหรับทำผ้าอนามัยมาให้ข้าด้วย พรุ่งนี้รีบส่งมาเล่า ข้าเกรงว่าครั้งนี้ประจำเดือนคงมาเกือบครึ่งเดือนเชียวล่ะ” “เจ้าถ่านกับนายท่านเหมาเจ้าไม่พาไปด้วยหรือ” “ไม่พาไป ทิ้งไว้ให้เจ้าเลี้ยงดีกว่า อีกอย่างเจ้าตอนนี้ก็เหลือตัวคนเดียวน่าจะเหงา พวกมันจำเป็นกับเจ้ามากกว่าข้าเสียอีก” ชูเซี่ยกระชับสัมภาะระก่อนจะหันกายเดินจากไป จูฟางหยวนทิ้งตัวนั่งลงกับเก้าอี้ ตัวคนเดียว? ใช่แล้ว เขาเหลือตัวคนเดียวแล้วจริงๆ คำพูดสุดท้ายของชูเซี่ย เป็นคำพูดที่ราวกับธนูปักตรงกลางใจเขา อ้า แล้วชีวิตที่เหลือของเขาจะทำเช่นไรดี เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง หัวใจของชูเซี่ยก็เต้นแรงขึ้น เธอเกิดใหม่ถึงสองครั้ง แต่ทั้งสองครั้งก็ล้วนต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทำให้รู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของเธออย่างไรอย่างนั้น อาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นดีขึ้นมากแล้ว เขาให้ชูเซี่ยพักอาศัยอยู่ที่เรือนจื่อยี่แห่งนี้ ส่วนตนเองก็ย้ายไปอยู่เรือนที่ถัดไปอีกหลังหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ใกล้กันมาก โหร่วเฟยก็เคยมาเยี่ยมเยียนชูเซี่ยครั้งหนึ่ง นางเข้าใจว่าชูเซี่ยมาพำนักที่นี่ก็เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่หลี่เฉินเย่นดังนั้นนางจึงมาเพื่อเอ่ยปากขอบคุณกับอีกฝ่าย ทั้งยังกล่าวว่าหากมีอะไรต้องการให้นางช่วยก็จงเอ่ยปาก อย่าได้เกรงใจ เห็นโหร่วเฟยเป็นเช่นนี้ก็ทำให้นางอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ หลังจากที่หลี่เฉินเย่นหายดีเขาก็เป็นคนพาชูเซี่ยมาดูอาการฉ่ายเวินด้วยตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ชูเซี่ยได้พบหน้าฉ่ายเวิน สถานที่ที่ฉ่ายเวินอาศัยอยู่ค่อนข้างชื้น เพราะข้างนอกเรือนป็นทะเลสาปกอปรกับที่หลายวันนี้มีฝนตกหนักลงมาทำให้อากาศบริเวณนี้เปียกชื้นอย่างยิ่ง ยามที่ชูเซี่ยเห็นหน้าฉ่ายเวินครั้งแรกนางถึงกับตะลึงงันไปพักหนึ่ง เป็นเวลานานกว่าจะตั้งสติได้ ใต้หล้านี้ แท้จริงแล้วมีหญิงงามเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ หน้าของนาง รูปโฉมของนางล้วนไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ไม่มีส่วนใดที่ไม่งาม จมูกเล็กๆรั้นไร้รูขุมขน ริมฝีปากไม่หนาหรือบางเกินไปทั้งยังโค้งได้รูปสวยงาม ขนคิ้วจับเรียงกันได้อย่างเป็นระเบียบ ผิวของนางขาวซีดเล็กน้อย แต่ก็ขาวสว่างโปร่งใสซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการที่ร่างกายนางไม่พบเจอแสงแดดมาเกือบสี่ปี ชูเซี่ยถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ หลี่เฉินเย่นเอ่ยปากถามขึ้น “นางหลับไปเช่นนี้สี่ปีมาแล้ว ที่ยังอยู่ได้ทุกวันก็เพราะป้อนน้ำโสมให้นางดื่ม แต่ก่อนรูปร่างนางยังอวบอิ่มกว่านี้แต่ยามนี้กลับผอมจนเหลือแต่กระดูก ช่างน่าสงสารยิ่งนัก” ชูเซี่ยตรวจสอบอาการของนาง จึงได้รู้ว่าที่นางเป็นเช่นนี้เพราะออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงหัวสมอง แต่โชคดีที่หลายปีมานี้ร่างกายของนางได้รับโสมสรรพคุณดีมาโดยตลอด ดังนั้นร่างกายส่วนอื่นๆของนางจึงไม่ได้เสียหายไปด้วย แต่เพียงแค่การฝังเข็มอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะรักษานางได้ จำเป็นต้องมีตัวยาบางตัวเข้ามารักษาควบคู่ด้วย ชูเซี่ยหันไปหาชายหนุ่มข้างกาย “ข้าต้องปรึกษากับจูเก๋อสักหน่อย ท่านก็ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก จะต้องมีวิธีรักษานางได้แน่” หลี่เฉินเย่นกุมมือนางไว้ก่อนเอ่ยเสียงแหบ “นางเป็นเช่นนี้เพราะเปิ่นหวาง ทุกค่ำคืนยามคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เปิ่นหวางยากจะสงบใจลงได้” ชูเซี่ยปลอบใจเขา “ไม่มีใครคิดเช่นนั้นเสียหน่อย ความจริงแล้วหัวของข้าก็ยังจำภาพความทรงจำของหลิวหยิงหลงไดด้อยู่บ้าง นางไม่ใช่ผู้ที่ผลักฉ่ายเวินลงน้ำจริงๆ” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นเป็นประกาย เขาจับจ้องนางเป็นเวลานานจากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “เปิ่นหวางเชื่อเจ้า แต่ทว่าเปิ่นหวางไม่อยากจะยอบรับ ถ้าหากว่าไม่ใช่หยิงหลงทำ ก็เป็นไปได้ว่าผู้ลงมือจะเป็นมี่เหอ” ชูเซี่ยชะงัก “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” “เพราะว่า...” หลี่เฉินเย่นกำลังจะเอ่ยปากพูดออกไป แต่ทว่ากลับได้ยินเยงฝีเท้าจากภายนอกเสียก่อน เขาจึงหุบปากลงทั้งยังดันร่างชูเซี่ยให้ถอยออกไปจากนั้นก็ตวัดสายตามองไปทางประตู โหร่วเฟยและนางกำนัลสองคนเดินเข้ามาในห้อง เมื่อนางเห็นชูเซี่ยและหลี่เฉินเย่นอยู่ภายในห้องก็ตกใจยืนนิ่งไป “ท่านอ๋องและท่านหมอชูอยู่ที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ” “เหตุใดเจ้าจึงออกมาที่นี้ได้ จูเก๋อบอกว่าร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง ควรจะพักผ่อนอยู่แต่ในห้องของตนเองมากกว่า” หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้วมองมาที่นาง โหร่วเฟยขยับยิ้ม “ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยฉ่ายเวินเช็ดตัวเจ้าค่ะ ให้พวกข้ารับใช้จัดการข้าไม่วางใจ” “ลำบากเจ้าแล้ว!” หลี่เฉินเย่นเอ่ยทั้งๆที่ในใจรู้สึกแปลกกระหลาดกับการกระทำของนาง ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นข้าขอตัวไปหาจูเก๋อก่อนนะเพคะ ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่กลับโหร่วเฟยเถิดเพคะ” โหร่วเฟยหันมามองชูเซี่ยก่อนเอ่ยถาม “ท่านหมอชู อาการของฉ่ายเวินสามารถรักษาได้หรือไม่” ชูเซี่ยตอบกลับ “ยามนี้ไม่กล้ายืนยันแน่ชัดเจ้าค่ะ แต่ทว่าดูจากอาการโดยรวมแล้วข้าคิดว่าสามารถรักษาได้” โหร่วเฟยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนจะขยับยิ้มยินดี “เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน!” ชูเซี่ยมองโหร่วเฟยที่อยู่ตรงหน้านาง นางแทบจะจำอีกฝ่ายตอนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านางในตอนนี้กลายเป็นเพียงแค่หญิงสาวที่ทั้งน่าสงสารและดูบอบบางอย่างยิ่ง ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ตกกระหน่ำลงมาสามวันสามคืนไม่ยอมหยุด ชูเซี่ยที่เดินกางร่มกลับมายังเรือนจื่อยี่ก็สั่งให้เสี่ยวฉิงออกไปเชิญจูเก๋อหมิงมาที่เรือนทั้งยังเชิญหมอหลวงท่พำนักอยู่ประจำจวนอ๋องมาอีกด้วย จากนั้นทั้งสามคนก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับหนทางรักษาอาการของฉ่ายเวิน ท้ายที่สุดก้ได้ข้อสรุปว่าให้ชูเซี่ยรักษาอาการด้วยการฝังเข็ม ส่วนจูเก๋อหมิงและหมอหลวง ทั้งคู่จะรักษาโดยการใช้เทียบยา สองวิธีนี้รวมกันอาจจะทำให้โอกาสสำเร็จเป็นไปได้สูง ยามที่เริ่มต้นการรักษา โหร่วเฟยแทบจะมาดูวิธีการรักษาทุกวัน ยามที่การฝังเข็มของชูเซี่ยไม่เห็นผล สีหน้าของโหร่วเฟยก็แสดงความกังวลใจออกมา ชูเซี่ยมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่านางจะเป็นเช่นที่หลี่เฉินเย่นกล่าวแม้แต่น้อย หากว่านางเป็นคนผลักฉ่ายเวินตกน้ำจริงก็คงต้องห่วงกลัวว่าฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาสิถึงจะถูก ไม่ใช่กังวลว่านางจะไม่ฟื้น วันนี้หลี่เฉินเย่นออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้า เมื่อกลับมาที่จวนก็ทำสีหน้าหดหู่ตลอดเวลา ยามที่ชูเซี่ยรักษาอาการให้ฉ่ายเวินอยู่นั้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางของเขา จนกระทั่งย่างเข้าช่วงพลบค่ำก็ยังไม่เห็นเขาออกมานางจึงเดินไปหาเขาที่เรือนนอน หลี่เฉินเย่นยืนนิ่งอยู่ที่ราวระเบียง จ้องมองสายฝนที่โปรยปรายลงมา เมื่อเห็นว่าชูเซี่ยเดินมาก็ค่อยๆขยับยิ้ม “ฝนตกหนักขนาดนี้ เจ้ามาได้อย่างไร” ชูเซี่ยเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของเขา นางเอื้อมมือไปจับมือของเขาไว้ก่อนถามอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นหรือ วันนี้ท่านออกไปแต่เช้ากลับมาก็หดหู่ถึงเพียงนี้ วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบ้านเมืองเรางั้นหรือเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะเบาๆ “อย่าได้คิดมาก ใต้หล้ายังสงบสุขดีอยู่ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ชูเซี่ยผ่อนลมหายใจ “เกี่ยวกับสายฝนที่ตกไม่ยอมหยุดใช่หรือไม่” หลี่เฉินเย่นหันกลับมามองนาง ดวงตาฉายแววโศกเศร้า “ไม่ว่าอะไรก็ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ” ชูเซี่ยขยับยิ้ม “ตั้งแต่ข้ากลับมาเมืองหลวงฝนก็ตกไม่ยอมหยุด อีกอย่างครั้งหนึ่งท่านราชครูก็เคยกล่าวว่าข้าเป็นหญิงสาวจากต่างโลก เป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนคิดว่าเป็นเพราะว่าข้าเป็นกาลกิณี” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดระแวงสงสัยในตัวเจ้าหรอก วันนี้เสด็จพ่อทรงมีรับสั่งให้ข้าเข้าวังเพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวในภายภาคหน้าของราชวงส์ต่างหาก ท่านราชครูกล่าวว่าที่เป็นเช่นนี้เรพาะเจ้าตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้เกิดอาเพศขึ้น” ชูเซี่ยตะลึง “เช่นนั้นทำอย่างไรดี” หลี่เฉินเย่นมองมาที่นาง สีหน้าลำบากใจไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาดี หลี่เฉินเย่นเอ่ยอย่างไม่มีทางเลือก “ราชครูทูลต่อเสด็จพ่อว่าจำเป็นต้องให้เปิ่นหวางรับตำแหน่งรัชทายาทและแต่งตั้งให้พระชายาหนิงอานมีศักดิ์เป็นพระชายาองค์ราชทายาท หากทำเช่นนี้แล้ววิญญาณของพระชายาหนิงอานจึงจะไปสู่สุขคติได้” ชูเซี่ยนิ่งไป “เอ่อ...ตกลงว่าการกระทำของเขากำลังช่วยท่านหรือกำลังทำร้ายท่านกันแน่” หลี่เฉินเย่นกล่าว “เขาคือคนของเสด็จพี่” “เสด็จพี่ของท่านไม่ใช่เจิ้นหยวนอ๋องหรือ สายสัมพันธ์ของพวกท่านสองพี่น้องดีมาตลอดนี่เจ้าคะ” ชูเซี่ยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา หลายปีก่อนพวกเขาสองคนรักใคร่ปรองดองกันมาก แม้แต่นางยังอิจฉา หลี่เฉินเย่นถอนหายใจ “นั่นมันเรื่องเมื่อสามปีมาแล้ว นับตั้งแต่ข้าได้รางวัลพระราชทานจากเสด็จพ่อมากมาย เสด็จพี่ก็เริ่มห่างเหินจากเปิ่นหวางไปเรื่อยๆ จำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนที่เปิ่นหวางได้ชัยชนะจากสงครามกลับมา เสด็จพ่อจัดงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลอง ยามนั้นเมื่อเสด็จพี่เมามายก็เกิดทะเลาะวิวาทกับเปิ่นหวางเข้า กล่าวว่าเปิ่นหวางเป็นคนทำให้เจ้าตาย ทั้งยังลงไม้ลงมือกับเปิ่นหวางอีกด้วย ดังนั้นเสด็จพ่อจึงตำหนิเขาอย่างรุนแรง ทำให้เสด็จพี่ขุ่นเคืองเปิ่นหวางมาจนถึงตอนนี้” ชูเซี่ยประหลาดใจ “ท่านบอกว่าเขาโทษว่าที่ข้าตายเป็นความผิดของท่านงั้นหรือ ทั้งยังช่วยออกหน้าให้ข้าอีกด้วย” นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ชูเซี่ยประหลาดใจอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะช่วยชีวิตภรรยาและลูกของเขาไว้ แต่ทว่าในฐานะพี่ชายของหลี่เฉินเย่นเขาก็ควรเข้าอกเข้าใจและเห็นใจน้องชายถึงจะถูกไม่ใช่หรือ แต่ยังกล้าเติมเชื่อไฟให้น้องชายของตนเสียสติมากขึ้นไปอีก นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน “แต่ไรมาเสด็จพี่มีชื่อเสียงเรื่องความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ได้ฉายาว่าเป็นนกอินทรีย์ท่ามกลางสนามรบ แม้แต่เหล่าทหารในกองทัพต่างเรียกขานเข้าว่าเป็นจอมทัพพญาอินทรีย์ แต่ทว่าเสด็จพ่อกลับแต่งตั้งให้ข้าเป็นแม่ทัพนกอินทรีย์ ทำให้ในใจของเสด็จพี่ไม่สบายพระทัยอยู่บ้าง” ชูเซี่ยใช้ความคิดก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าเช่นนั้นการที่เขาให้ราชครูกล่าวทูลเช่นนั้นก็เพื่อให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัชทายาทงั้นหรือ” “เสด็จพ่อยังทรงมีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่ง ทรงรังเกียจที่สุดก็คือเรื่องที่คนรอบวรกายพระองค์เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ” ชูเซี่ยนิ่งไป ตำแหน่งจักรพรรดิ์คืออำนาจสูงสุด นั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือผู้คนทั้งปวงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระองค์จะไม่ปราถนาให้ผู้ใดมาชิงบัลลังก์ไปจากพระองค์ แม้ว่าบุตรชายของพระองค์นั้นจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด แต่พระองค์ก็ไม่สมควรคิดเล็กคิดน้อยกับคนในครอบครัวเช่นนี้ไม่ใช่หรือ 
已经是最新一章了
加载中