ตอนที่ 71 ตำราพิชัยสงครามซุนวู   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 71 ตำราพิชัยสงครามซุนวู
ต๭นที่ 71 ตำราพิชัยสงครามซุนวู เดิมทีชูเซี่ยคิดว่าราชวงศ์นี้จะรักใคร่ปรองดองกันมากเสียอีก อย่างน้อยผู้ที่มีสิทธิ์ในอำนาจที่จะสานต่อตำแหน่งกษัตริย์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจในตำแหน่งบัลลังค์เลยแม้คนเดียว ในท้ายที่สุดแล้วผู้ที่มีสิทธิ์ในตำแหน่งบัลลังก์ก็มีเพียงแค่พระโอรสสองพระองค์ของฮ่องเต้เท่านั้น องค์ชายสามยังอายุน้อย ความสามารถก็ทั่วไป อีกทั้งยังเป็นเพียงโอรสที่เกิดมาจากมารดาที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำ อย่างไรเสียก็ไม่มีทางรับตำแหน่งรัชทายาทได้ เช่นนั้นในสายพระเนตรของฮ่องเต้ผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์ก็มีเพียงหลี่เฉินเย่นและหลี่อวิ่นกังสองคนเท่านั้น หลี่เฉินเย่นเป็นบุตรชายที่เกิดจากฮองเฮาถือเป็นบุตรชายที่สืบทอดอำนาจโดยตรง ส่วนหลี่อวิ่นกังก็เป็นบุตรชายที่เกิดจากหรงเฟยมีศักดิ์เป็นบุตรชายคนโตของราชวงศ์ ดังนั้นผู้คนต่างก็ให้ความสนใจกับตำแหน่งรัชทายาทอย่างยิ่งว่าท้ายที่สุดแล้วจะทรงมอบตำแหน่งให้แก่ผู้เป็นบุตรชายคนต่อหรือผู้ที่สืบทอดอำนาจสายตรงกันแน่ “เสด็จพี่ของท่านอยากเป็นฮ่องเต้หรือเจ้าคะ” ยามที่ชูเซี่ยเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมานางก็อดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้ นางไม่ต้องการให้หลี่เฉินเย่นเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงบัลลังก์เลยแม้แต่น้อย เส้นทางเช่นนั้นหากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่อาจรักษาชีวิตของตนเองได้แน่ หลี่เฉินเย่นถอนหายใจออกมาเสียงดัง “ในยามนี้เขาอาจไม่มีความคิดเช่นนี้หรอก ความอิจฉาริษยามักจะกัดกินจิตใจของมนุษย์อย่างเราๆเสมอ หากเป็นเมื่อหลายก่อนเปิ่นหวางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท เสด็จพี่ย่อมไม่เอ่ยคำคัดค้านอย่างแน่นอน แต่ทว่าในยามนี้เขาและเปิ่นหวางเกิดความระหองระแหงกัน เสด็จพี่ทนไม่ได้ที่จะเห็นเปิ่นหวางได้ดิบได้ดี นอกเหนือจากนั้นปีนี้เสด็จพ่อเพิ่งจะมีพระชนมายุเพียงสี่สิบสามปีเท่านั้น ทรงยังหนุ่มยังแน่นและมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ต่อให้เขาอยากได้ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน” คนสมัยก่อนแต่งงานเร็วทั้งยังให้กำเนิดบุตรเร็ว ยามที่ฝ่าบาทมีพระชนมายุสิบหกก็ได้ให้กำเนิดหลี่อวิ่นกังแล้ว ปีนี้หลี่อวิ่นกังเพิ่งมีอายุครบยี่สิบเจ็ดปี หลี่เฉินเย่นก็มีอายุน้อยกว่าหลี่อวิ่นกังเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ปีนี้หลี่เฉินเย่นอายุยี่สิบหก อายุของทั้งคู่ไร่เรี่ยกันมากทีเดียว อายุสี่สิบสาม ที่จริงไม่ใช่อายุที่มากเลยแม้แต่นิดเดียว ชูเซี่ยลอบถอนหายใจ “จะให้ดีที่สุดคือท่านต้องไปทูลต่อเสด็จพ่อว่าท่านไม่ต้องการตำแหน่งรัชทายาทอะไรนั่น มิฉะนั้นไม่ช้าหรือเร็วพวกท่านสองพี่น้องก็จะต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์กันแน่” หลี่เฉินเย่นหันมามองที่นางนิ่ง ดวงตาของเขามีประกายความตกใจแฝงอยู่เล็กน้อย “ความหมายของเจ้าก็คือเจ้าไม่ปราถนาให้เปิ่นหวางเป็นฮ่องเต้งั้นหรือ” ชูเซี่ยมองใบหน้าเขาอย่างแตกตื่น “ท่านคิดจะเป็นฮ่องเต้หรือ” หลี่เฉินเย่นนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาคมฉายประกายล้ำลึกก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “คิดหรือไม่คิดก็อยู่ก็อยู่นอกเหนือความสามารถของเปิ่นหวาง เพียงแค่เกิดมาในราชวงศ์ชีวิตก็ถูกกำหนดอนาคตไว้แล้ว ต่อให้เปิ่นหวางไม่อยากได้บัลลังก์ ทว่าเหล่าท่านลุงย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อสนับสนุนเปิ่นหวางให้ได้บัลลังก์แน่ นี่เป็นโชคชะตาของเปิ่นหวาง เป็นโชคชะตาที่เปิ่นหวางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” ชูเซี่ยรู้สึกผิดหวัง ในหัวของนางสับสนยุ่งเหยิงพยายามคิดหาวิธีต่างๆมากมายไปหมดแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจหาทางออกได้ แต่จากที่นางสังเกตท่าทีและความคิดของเขา เขา ท้ายที่สุดเขาจะต้องลงแก่งแย่งชิงบัลลังก์กับพี่ชายของตนอย่างแน่นอน ก็ดีแล้ว ถ้าในภายภาคหน้าที่นางไม่อาจอยู่เคียงข้างเขาได้ อย่างน้อยในวังก็ยังมีพะรสนมจากสามพระตำหนักหกหมู่ เรือนคอยอยู่เคียงข้างเขา ชีวิตเขาแต่ละวันจะต้องผ่านไปอย่างมีความสุขแน่ “เจ้าไม่มีความสุขหรือ” หลังจากที่หลี่เฉินเย่นเห็นสีหน้าของนางก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ชูเซี่ยฝืนยิ้มแย้มออกมา “ไม่หรอกเจ้าค่ะ การที่ท่านมีอุดมคติย่อมเป็นเรื่องดี” เขาเอื้อมมือมากอบกุมมือของนางไว้ จากนั้นก็ดึงร่างบอบบางของนางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของตน เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่โอบกอดนางไว้เอ่ยคำมั่นสัญญาหนักแน่น “หากเปิ่นหวางเป็นผู้ที่ได้ครองบัลลังก์ เจ้าจะเป็นฮองเฮาที่อยู่เคียงข้างเปิ่นหวาง” ชูเซี่ยอิงแอบแนบแผงอกของเขา หูของนางได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของเขาที่หนักแน่นและสม่ำเสมอแต่ทว่าในใจของเธอกลับร้อนรนและไม่อาจสงบได้เลย ฝนยังคงตกกระหน่ำลงมาเรื่อยๆติดกันหลายวันหลายคืนไม่ยอมหยุดทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ทั้งยังมีปัญหาดินโคลนถล่มฝังหมู่บ้านเล็กๆแทบชานเมืองเกือบทั้งหมู่บ้าน ทำลายบ้านเรือนจำนวนมาก ชาวบ้านบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก เช้าวันนี้ยามที่ฮ่องเต้ตื่นบรรทมขึ้นมาก็เกิดอาหารปวดพระเศียรอย่างรุนแรงจนไม่อาจออกว่าราชการได้ หมอหลวงที่ถูกเรียกตัวมาวินิจฉัยโรคและทำการรักษาก็ทำได้เพียงแค่รักษาอาการเจ็บปวดเบื้องต้นให้แก่พระองค์เท่านั้น แต่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการปวดหัวของฝ่าบาทก็กำเริบขึ้นมาอีกจนพระองค์ถึงกับบันดาลโทสะออกมา บรรดาหมอหลวงในวังต่างหมดหนทางไม่อาจรักษาได้ ในที่สุดจึงต้องเชิญท่านหมอจูเก๋อเข้าวัง จูเก๋อหมิงที่จัดเทียบยาเอ่ยทูลต่อฝ่าบาท “เนื่องจากฝ่าบาททรงหนักพระทัยและวิตกกังวลมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ทำให้ตับของพระองค์ร้อนขึ้นอีกทั้งยังต้องละอองฝนมาอีกด้วย เป็นเหตุให้จุดชี่และเลือดในกายแปรปรวน ยาที่กระหม่อมจัดให้แก่พระองค์นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกินติดกันสิบวันจึงจะเห็นผลพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างยิ่ง “ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าหมายความว่าภายในสิบวันนี้เรายังต้องทุกข์ทนอาการเจ็บปวดเจียนตายแบบนี้ไปตลอดงั้นหรือ” จูเก๋อหมิงรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง “สิบวันนี้ ยาที่กระหม่อมจัดให้แก่พระองค์สามารถบรรเทาความปวดของพระองค์ได้ แต่ทว่าก็ไม่สามารถขจัดความปวดได้หมด หากว่าอาการปวดของพระองค์กำเริบขึ้นมาก็สามารถใช้วิธีแช่ศีรษะลงในน้ำเย็นได้พะย่ะค่ะ” โรคลมตะกังเป็นโรคที่รักษาให้หายยาก เนื่องจากเกิดมาได้จากหลายสาเหตุและปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิดอาการกำเริบขึ้นมา ความเจ็บปวดก็ไม่เท่ากัน ไม่มีวิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง ทำได้เพียงแค่ค่อยๆทำการรักษาและปรับการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเท่านั้น ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างยิ่ง อาการปวดที่รุมล้อมทำให้พระองค์ปวดจนพระพักตร์บิดเบี้ยว “มีวิธีบรรเทาอาการปวดอย่างอื่นหรือไม่” จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วพะย่ะค่ะฝ่าบาท ยามที่โรคลมตะกังกำเริบขึ้นมา อาการเจ็บปวดจะรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง มีเฉพาะน้ำเย็นเท่านั้นที่พอจะสามารถระงับอาการปวดได้ น้ำเย็นทำให้หลอดเลือดหดตัวและบรรเทาอาการปวดพะย่ะค่ะ” พระพักต์ขององค์ฮ่องเต้ซีดเผือด พระพักตร์หล่อเหลายังคงบิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด พระองค์โบกพระหัตถ์พลางเอ่ยรับสั่งจูเก๋อหมิง “เจ้าออกไปผงเบญจศิลามาให้เราสักหน่อย เพราะหากยังเป็นอย่างเช่นตอนนี้ตลอดสิบวันเราต้องไม่เป็นอันกินอันนอนแน่” จูเก๋อร้อนรนรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าเบื้องพระพักตร์ “ฝ่าบาท ผงเบญจศิลเป็นยาพิษทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจผู้ที่กินเข้าไป โปรดอย่าได้ใช้ยาชนิดนี้ในการบรรเทาอาการปวดเป็นอันขาดนะพะย่ะค่ะ” “เหลวไหล ผงเบญจศิลเป็นยาที่นักบวชเล่นแร่แปรธาตุเปนผู้คิดค้นขึ้น เหตุใดจะนำมาใช้ไม่ได้ นอกจากนี้ต่อให้มันมีพิษจริง เรากินไปแค่เล็กน้อยคงไม่ทำให้ตายหรอก รีบไปเดี๋ยวนี้ แต่ถึงต่อให้ส่งผลเสียกับร่างกายของเรา แต่ด้วยความปวดในเวลานี้แล้วก็คงไม่มีทางแย่ไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ” ฮ่องเต้พยายามระงับโทสะอย่างยากเย็นจนเส้นเลือดบริเวณขมับปูดขึ้นมา จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นเอ่ยทูล “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าพระองค์ยังจับท่านหมอเวินที่รักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านอ๋องได้หรือไม่พะย่ะค่ะ นางเชี่ยวชาญในการักษาโดยการฝังเข็มอย่างยิ่ง อีกทั้งนางยังฝังเข็มเพื่อยับยั้งอาการปวดได้อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นลองเชิญนางเข้าวังมารักษาให้พระองค์ดีหรือไม่พะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ใช่กล่าวว่าลักษณะนิสัยของนางไม่ดีหรือ” จูเก๋อหมิงทูลอย่างอ้อมค้อม “ทูลฝ่าบาท หากนางสามารถรักษาพระองค์ให้หายได้จริงก็เพียงแค่ทรงพระราชทานรางวัลให้ก็พอแล้วพะย่ะค่ะ ให้นางมารักษาพระองค์อย่างไรเสียก็ย่อมดีกว่าใช้ผงเบญจศิลาอยู่แล้ว” ฮ่องเต้ทรงระดำริอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสขึ้น “เสี่ยวเต๋อจื่อ จงรีบไปโรงหมอกังหยูเชิญท่านหมอเวินเข้าวังมาเดี๋ยวนี้” จูเก๋อหมิงรีบเอ่ยทูลอีกครั้ง “ทูลฝ่าบาท ในยามนี้ท่านหมอเวินพำนักอยู่ที่จวนอ๋องหนิงอานพะย่ะค่ะ หากจะมีบัญชาให้ทรงรับท่านหมอเวินเข้าวังจำต้องไปจวนหนิงอานจึงจะถูก!” ฮ่องเต้นิ่งไป “นางพำนักอยู่ที่จวนอ๋องงั้นหรือ” จูเก๋อหมิงจึงอธิบาย “ยามนี้นางจำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องเพราะต้องรักษาฉ่ายเวินอย่างใกล้ชิดพะย่ะค่ะ” เมื่อพระองค์สดับฟังเช่นนั้นสีพระพักตร์ก็ค่อยๆอ่อนโยนลง “หากนางสามารถรักษาฉ่ายเวินให้หายได้จริงก็แสดงว่าฝีมือ การแพทย์ข้างนางสูงส่งสมค่ำเล่าลือ เสี่ยวเต๋อจื่อ เจ้ารีบไปจวนอ๋องรับนางเข้าวังมาหาเราทันที” จูเก๋อหมิงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าเขาจะไม่ปราถนาให้ชูเซี่ยเข้าวังเลยก็ตาม แต่ทว่าหากปล่อยให้ฝ่าบาทใช้ผงเบญจศิลามาระงับอาการปวดมันจะเป็นการทำร้ายพระวรกายทางอ้อม หากเรื่องนี้ทรงถึงพระกรรณของไทเฮา พระองค์จะต้องสั่งลงอาญาเหล่าหมอหลวงและเขาเป็นแน่ ผ่านไปไม่นานนักชูเซี่ยก็รีบร้อนตามเสี่ยวเต๋อจื่อเข้าวังและยังมีหลี่เฉินเย่นมาพร้อมกันอีกด้วย ชูเซี่ยเข้ามาในเขตพระราชวังที่กว้างใหญ่ ภายในพระราชวังได้รับการตกแต่งอย่างสวยหรูและปราณีต เรือนและตำหนัก หรือรูปปั้นต่างก็เป็นสีทองระยิบระยับสวยงามทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และมั่งคั่งของฮ่องเต่และราชวงศ์นี้ ชูเซี่ยรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างแต่จูเก๋อหมิงก็กระซิบกับนางเสียงเบา “ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวไปหรอก อย่าให้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเปิดเผยก็พอ” ยามที่ร่างบอบบางเดินผ่านท่านราชครูที่มายื่นฎีกาต่อฝ่าบาท ชูเซี่ยตระหนักดีว่าอย่างไรก็ตามเธอไม่อาจให้ความลับของเธอรั่วไหลไปได้อีกเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะต้องมีปัญหามากมายตามมาอย่างแน่นอน ฮ่องเต้ทรงเอนพระวรกายอยู่บนแท่นบรรทม พระวรกายถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มสีเหลืองสดใสปักลายมังกรทองคำ ดวงพระเนตรปิดสนิทแต่พระขนงกลับขมวดด้วยความเจ็บปวด เสี่ยวเต๋อจื่อเอ่ยทูลฝ่าบาทอย่างดีใจ “ฝ่าบาท ท่านหมอเวินมาแล้วพะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ค่อยๆลืมพระเนตรขึ้นมาจับจ้องมองที่ใบหน้าของชูเซี่ย ชูเซี่ยเคยพบฮ่องเต้มาหลายครั้ง แต่ทว่าก็ในฐานะที่นางเป็นสะใภ้ของพระองค์ ดังนั้นสายพระเนตรของเขาที่มองมามักจะมีแววเอ็นดูอบอุ่นอยู่เสมอ หากแต่ตอนนี้นางมีฐานะเป็นเพียงท่านหมอหญิงที่ถูกเชิญเข้าวังมารักษาพระอาการเท่านั้น แม้ว่านางจะรู้อยู่แก่ใจว่าพระองค์สงสัยในตัวนางอยู่ไม่น้อยแต่นางไม่มีทางเลือก พระองค์จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากนาง ถึงแม้ว่าจะเป็นยามเจ็บป่วยที่น้ำเสียงของฝ่าบาทก็ยังเปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจ “เจ้ามานี่!” ชูเซี่ยก้าวเท้ามาข้างหน้าก่อนจะย่อกายถวายบังคม “ถวายบังคมฝ่าบาท” ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์ “จูเก๋อหมิงกล่าวว่าฝีมือการฝังเข็มของเจ้าล้ำเลิศนัก!” ทุกถ้อยคำที่ตรัสออกมาสั้นๆและแฝงไปด้วยความอดกลั้น ดูท่าแล้วความเจ็บปวดจะเล่นงานพระองค์หนักกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก ชูเซี่ยทูลเสียงเบา “ขอพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมาให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันจะตรวจชีพจรให้ฝ่าบาท” ห้องเต้ยื่นพระหัตถ์ให้นางแต่โดยดี ชูเซี่ยค่อยๆหยิบเบาะใบเล็กออกมาวางไว้ใต้พระหัตถ์จากนั้นก็ใช้นิ้วมือสามนิ้วบรรจงตรวจชีพจรที่ข้อพระหัตถ์ หลังจากที่ตรวจดูชีพจรแล้วชูเซี่ยก็ค่อยๆหยิบกระเป๋าเข็มออกมาจากระเป่ายาที่นางนำมาด้วย หญิงสาวดึงเข็มเงินเล่มยาวออกมาจากในนั้นสองเล่ม พระเนตรของฝ่าบาทเบิกกว้าง ทรงตกพระทัยจนพระพักตร์เปลี่ยนสี “เจ้า...เจ้าไม่มีเข็มที่สั้นกว่านี้แล้วหรือ” ชูเซี่ยอดตกใจไม่ได้ นางคิดไม่ถึงว่าบุรุษที่องอาจและสูงส่งเช่นฝ่าบาทจะกลัวเข็มเล่มน้อยแบบนี้ หญิงสาวแย้มยิ้มเหมือนแสงอาทิตย์ที่เบ่งบานท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง สีพระพักตร์ที่แสดงความหวาดกลัวออกมาทำให้หญิงสาวนึกไปถึงเด็กน้อยที่กำลังกลัวคุณหมอฉีดยาไม่มีผิด สีหน้าของหญิงสาวอ่อนโยนขึ้น น้ำเสียงเอ่ยราวกับปลอบใจเด้กน้อยก็ดูอ่อนหวานขึ้นด้วย “เด็กดี เข็ยาวหน่อยแต่ไม่เจ็บแม้แต่น้อย ฝังเสร็จเดี๋ยวพี่สาวให้ขนม” กล่าวจบหญิงสาวก็สะดุ้งสุดตัว รีบร้อนลงไปคุกเข่าลงกับพื้น “ขอฝ่าบาททรงอภัยให้หม่อมฉันด้วย ม่อมฉันลืมตนกล่าววาจาไร้สาระออกมาเพคะ” สีหน้าพระพักตร์ยังนิ่งเฉย แต่พระเนตรแฝงไปด้วยความประหลดใจยามจับจ้องมาที่นาง “ช่างเป้นเด็กสาวที่ขวัญกล้าไม่เบา แต่ทว่าเข็มนี่สมควรเปลี่ยนจริงๆ” ชูเซี่ยเอ่ยอย่างยากลำบาก “เช่นนั้นก็ได้เพคะ” นางเอาเข็มยาวทั้งสองเล่มใส่กลับคืนและหยิบเข็มที่บางราวเส้นผมออกมาแทน แต่ทว่าก็ยังความยาวเหมือนตะเกียบ เรียกได้ว่ายาวกว่าเมื่อครู่เกือบสามส่วนเลยทีเดียว ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองนางอยากตกตะลึง ชูเซี่ยเอ่ย “เข็มก็เปลี่ยนแล้ว ขอพระองค์ทรงหลับพระเนตรลงด้วยเพคะ หม่อมฉันจะทำการฝังเข็มแล้ว” ฮ่องเต้ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นก่อนตรัสขึ้น “รอสักเดี๋ยว เรารู้สึกกระหายน้ำ เสี่ยวเต๋อจื่อ ไปเอานำช้ามาให้เรา” ชูเซี่ยยอมถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งก่อนยิ้มขำ “ฝ่าบาทกลัวหรือเพคะ” ฮ่องเต้ทรงรับถ้วยน้ำชามาจากเสี่ยวเต๋อจื่อ ทรงยกมาจิบคำหนึ่งก่อนตรัสเสียงเย็น “เราหรือจะกลัว ครั้งที่เรายังเป็นเพียงองค์ชายสู้รบในสนามฆ่าฟันศัตรูมาเป็นร้อย เรายังไม่เคยหวาดกลัวแม้แต่น้อย มาวันนี้เจ้าคิดว่าแค่เข็มเล่มเล็กๆเล่มเดียวจะทำให้เรากลัวได้งั้นหรือ” ชูเซี่ยพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้ข้างเตียงพระบรรทม “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีนิทานเรื่อง ไม่ทราบว่าทรงอยากฟังหรือไม่เพคะ” ฮ่องเต้เห็นว่าชูเซี่ยยังไม่ได้ลงเข็ม พระพักตร์ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้นจากนั้นก็ตรัสขึ้นเพื่อถ่วงเวลาให้ยาวไปอีกเสียหน่อย “ดี เช่นนั้นก็เล่ามาเถิด เราชอบฟังนิทาน แต่ถ้านิทานของเจ้ามันน่าเบื่อเราจะสั่งตัดหัวเจ้าเสีย” ชูเซี่ยแอบเข็มไว้ในแขนเสื้อ “เพคะ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะนวดขมับของพระองค์พลางและเล่านิทานพลางนะเพคะ” หลังจากกล่าวจบนางก็เอื้อมมือทั้งสองข้างวางลงบนขมับทั้งสองข้างของฮ่องเต้เบาๆและนวดช้าๆ “เมื่อนานมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งนามว่าเถียนจี้ เขาและท่านอ๋องแคว้นฉีแข็งม้ากัน ใช้ทองจำนวนมากเป็นเดิมพัน โดยแข่งกันทั้งหมดสามครั้ง เถียนจี้อยากชนะการแข่งม๊าครั้งนี้มาก แต่ทว่าชายหนุ่มก็รู้ดีว่าม้าของท่านอ๋องแคว้นฉีเก่งกาจและวิ่งได้ไวกว่าม้าของเขามากโข เขาไม่รู้จะทำเช่นไรจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากชายผู้หนึ่งที่มีนามว่าซุนเหว่ย ซุ่นเหวายผู้นี้เป็นผู้ที่มีปัญญาล้ำเลิศที่สุด แผนของเขาคือให้เถียนจี้ใช้ม้าที่มีคุณภาพแย่กว่าท่านอ๋องแคว้นฉีที่มีคุณภาพสูง เมื่อแพ้ครั้งแรก ในตาที่สองก็ให้ใช้ม้าคุณภาพกลางแข่งกับม้าคุณภาพต่ำของท่านอ๋อง จนท้ายที่สุดให้ใช้ม้าคุณภาพสูงของตนเองไปแข่งกับม๊าคุณภาพกลางของท่านอ๋อง แคว้นฉี จนในท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าเถียนจี้เป็นผู้ได้รับชัยชนะในการแข็งขันม้าครั้งนี้ ฝ่าบาทว่า ซุนเหว่ยผู้นี้เป็นคนฉลาดหรือไม่” หลังจากที่ฝ่าบาททรงนิ่งไปนานราวกับกำลังดำริตามคำพูดของนาง ทันใดนั้นก็ตบพระหัตถ์ลงบนเตียงอย่างแรง “ฉลาดยิ่งนัก! แผนดียิ่ง!” ชูเซี่ยรีบรั้งพระหัตถ์ไว้ “ฝ่าบาทอย่าขยับวรกายส่งเดชนะเพคะ หม่อมฉันฝังเข็มไว้อยู่!” ฮ่องเต้ทรงตกพระทัย ดวงพระเนตรของพระองค์กระตุกก่อนจะรับรู้ว่าบริเวณขมับมีเข็บฝังอยู่จริงๆ หญิงสาวผู้นี้ฝังเข็มเข้าที่ขมับทั้งสองข้างของพระองค์ตั้งแต่เมื่อใดกัน ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรมองชูเซี่ยอย่างแปลกพระทัย “เจ้าเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก” ชูเซี่ยยิ้มแย้ม “ฝ่าบาททรงชมหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ ทรงปิดพระเนตรสักครู่ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วเพคะ!” ฮ่องเต้ทรงปิดพระเนตรตามคำบอกของนาง ชูเซี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหันไปสบกับสายตาของเสี่ยวเต๋อจื่อที่มองมาที่นางด้วยประกายชื่นชม นางจึงยิ้มตอบให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร 
已经是最新一章了
加载中