ตอนที่ 72 รักๆใคร่ๆ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 72 รักๆใคร่ๆ
ต๭นที่ 72 รักๆใคร่ๆ หลังจากฝังเข็มลงไปแล้ว ชูเซี่ยก็ยังคงค่อยๆนวดตรงขมับให้พระองค์ต่อไปอีกสักพักทั้งยังให้เสี่ยวเต๋อจื่อนำนำชามาถวายฮ่องเต้ เสี่ยวเต๋อจื่อค่อยๆพยุงพระวรกายของฝ่าบาทขึ้นมาช้าๆก่อนเอ่ยถาม “ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ทรงเอื้อมพระหัถ์ไปสัมผัสพระนลาฎก่อนจะปิดพระเนตรลงเพื่อสำรวจอาการเจ็บปวดและกดเบาๆอีกครั้ง จากนั้นก็เปิดพระเนตรและตรัสอย่างดีพระทัย “ดูเหมือนว่าเราจะไม่เจ็บแล้วล่ะ!” ชูเซี่ยยิ้มออกมาในที่สุด “เช่นนั้นก็ดีแล้วเพคะ แต่ทว่าพระองค์เป็นโรคลมตะกังนี้มานานแล้ว หม่อมฉันจึงยังต้องฝังเข็มให้พระองค์อีกหลายวันทั้งยังต้องดื่มยาต้มควบคู่ไปด้วยจึงจะหายในที่สุดเพคะ” “ได้ เราเชื่อฟังทุกคำที่ท่านหมอพูด” จากนั้นก็ร้องเรียกเสี่ยวเต๋อจื่อ “เสี่ยวเต๋อจื่อ มอบรางวัล” เสี่ยวเต๋อจื่อที่เห็นว่าองค์เหนือหัวของตนอารมณ์ไม่ดีมาตลอดหลายวันมานี้ในที่สุดก็สามารถแย้มสรวลออกมาได้ก็ดีใจอย่างยิ่ง “ฝ่าบาทจะทรงให้รางวัลก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วพะย่ะค่ะ แต่ทว่าหากให้รางวัลเป็นเงินทองก็คงไม่ถูกต้องนัก อย่างไรเสียนางก้เป็นถึงสตรีโฉมงาม” เมื่อทรงลองไตร่ตรองก็พบว่าคำพูดของเสี่ยวเต๋อจื่อมีเหตุผล “อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เมื่อวันก่อนเครื่องบรรณาการของเมืองอันหนานมีสร้อยข้อมือปะการังส่งมาด้วยไม่ใช่หรือ มอบให้ท่านหมอเวินเป็นรางวัลก็แล้วกัน” เสี่ยวเต๋อจื่อยิ้มรับทราบ “ฝ่าบาทช่างพระทัยกว้างยิ่งนัก วันก่อนกุ้ยเฟยเห็นสร้อยข้อมือปะการังนี้ก็ถูกพระทัยยิ่งนักทว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้มอบให้ แต่มาวันนี้พระองค์กลับมองให้ท่านหมอเวินแสดงว่าฝ่าบาทจะต้องทรงโปรดท่านหมอเวินมากเป็นแน่” ชูเซี่ยไม่อยากได้รางวัลอะไรทั้งนั้น แต่ก็ไม่อาจไม่รับได้จึงทำได้เพียงยิ้มแย้ม “หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ” ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยจากการหายปวดครั้งนี้ถึงขนาดรั้งชูเซี่ยให้อยู่ทานมื้อค่ำด้วยกันที่วัง แต่ทว่าชูเซี่ยไม่อาจทำเช่นนั้นได้ “พระองค์ทรงพระทัยดีกับหม่อมฉันยิ่งนัก แต่ทว่าหม่อมฉันยังมีหน้าที่ที่ต้องกลับไปรักษาฉ่ายเวินอยู่เพคะ” ฮ่องเต้ทรงผิดหวังเล็กน้อย “”เรายังอยากฟังนิทานจากหมอเวินอีกสักหน่อยแท้ๆ แต่ว่าผู้เป็นหมอมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ผู้ป่วยย่อมสำคัญที่สุด อีกอย่างเจ้าก็มาที่นี่เกือบค่อนวันแล้วควรกลับได้แล้วจริงๆ ชูเซี่ยขอบพระทัยจากนั้นก็ทูลลา เมื่อออกมาจากห้องบรรทม หลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงก็รีบร้อนพุ่งเข้ามาหานาง หลี่เฉินเย่นถามขึ้น “เสด็จพ่อได้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่” ชูเซี่ยส่ายหน้าถอนหาใจอย่างโล่งอก “ไม่มีเจ้าค่ะ ทั้งยังพระราชทานรางวัลให้ข้าอีกด้วย” นางชูสร้อยข้อมือปะการังสีแดงระยิบระยับให้ชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้านางดู หลี่เฉินเย่นเองก็ผ่อนลมหายใจอย่างโลงอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” จูเก๋อหมิงเอ่ยปากถามนาง “ฝ่าบาททรงถามอะไรเจ้าอีกหรือไม่” ชูเซี่ยเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย “วางใจเถิด พระองค์ไม่ได้ระแวงสงสัยอะไรข้าทั้งนั้น” จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ครั้งนั้นเพียงแค่ฝ่าบาทพบเจ้าครั้งแรกก็เรียกข้ามาถามถึงเจ้าแล้ว แม้ว่าครั้งนั้นข้าจะโกหกจนรอดมาได้ แต่ทว่าฝ่าบาทเป็นผู้เฉลียวฉลาด เกรงว่าไม่นานจะต้องจับได้แน่ จากนี้ไปเจ้าก็ต้องระมัดระวังการพูดจาให้ดีอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด” ชูเซี่ยมองซ้ายมองขวาก่อนหันกลับมาเอ่ยเสียงเบา “พวกเรากลับไปค่อยคุยกันดีหรือไม่” หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ย “ไปเถิด รถม้ารออยู่ที่ประตูฝั่งใต้” ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถม้า จูเก๋อหมิงก็เอ่ยขึ้นมาอีก “ยามนี้ฝ่าบาทมีปัญหาเรื่องฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เกิดอุทกภัยและดินถล่ม ถ้าหากฝ่าบาททราบเรื่องที่เจ้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ล่ะก็ เริ่มแรกก็คงดีพระทัยมากเป็นแน่ แต่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกคนใส่สีตีไข่จนเกิดเป็นเรื่องร้ายขึ้นแน่ๆ” หลี่เฉินเย่นก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน “ยามนี้คนที่รู้เรื่องตัวตนของเจ้ามีไม่มากนัก นอกจากมามาและเสี่ยวจี๋ก็มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเก็บไว้ให้เป็นความลับ” “ยังมีชายที่ชื่อว่าจูฟางหยวนอีกคนหนึ่ง ชูเซี่ย ที่แท้แล้วจูฟางหยวนผู้นั้นเป็นใครกันแน่” จูเก๋อหมิงเอ่ยถาม ชูเซี่ยรีบเอ่ย “ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ เขาคือสหายรักของข้าเอง ตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันหักหลังข้าได้” “ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้นก็ดี กลับจวนไปข้าจะรีบส่งมามาและเสี่ยวจี๋ออกจากจวนไปและเปลี่ยนคนรับใช้ใหม่มาให้เจ้า” ชูเซี่ยร้อนใจ “อย่านะเจ้าคะ ข้าเชื่อใจพวกนาง ข้าเชื่อว่าหากพวกเราค่อยๆอธิบายถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้พวกนางย่อมไม่มีทางปล่อยให้ความลับรั่วไหลแน่เจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าไม่ยินยอม “ไม่ได้ ชูเซี่ย เรื่องนี้เราจะสะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด นี่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของเจ้า เปิ่นหวางจะไม่ยอมให้เกิดอันตรายขึ้นกับเจ้าแน่ แม้ว่าโอกาสที่จะเกิดมีน้อยเพียงใดก็ต้องกำจัดทิ้ง” จูเก๋อหมิงก็เห็นด้วย “ไม่ผิด แม้ว่าพวกนางจะไม่ตั้งใจพูดออกไปแต่ทว่าก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่ามันจะไม่ลั่วไหลออกไป เรื่องนี้เราไม่อาจล้อเล่นได้ หากมีคนล่วงรู้ความลับนี้เข้าและฝ่าบาททรงคาดโทษขึ้นมาเกรงว่าแม้แต่จวนอ๋องหนิงอานก็คงพังพินาศ” ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นบุตรชายแท้ๆนะเจ้าคะ คงไม่กล้าอะไรหรอกเจ้าค่ะ” จูเก๋อหมิงยิ้มเย็น “ลูกชายแท้ๆกับความสงบสุขของปวงประชา เจ้าคิดว่าพระองค์จะเลือกสิ่งใดเล่า” เวิ่นอี้นิ่งไป พวกเขารู้จักฮ่องเต้ดีกว่านางมาก หากพวกเขาจะกังวลเรื่องนี้ก็แสดงว่ามันก็มีความเป็นไปได้มากพอสมควร เมื่อกลับมาถึงจวนหลี่เฉินเย่นก็จัดการส่งมามาและเสี่ยวจี๋ออกนอกจวนไปทันที เสี่ยวจี๋และมามาร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ แต่แม้ว่าจะโศกเศร้าเพียงใดท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ต้องยอมจากไปแต่โดยดี หลี่เฉินเย่นมอบเงินก้อนหนึ่งให้แก่พวกนางเพื่อให้ออกไปใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายในภายภาคหน้า เรื่องของชูเซี่ยก็ถูกสั่งให้เก็บเป็นความลับห้ามเอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำ เสี่ยวจี๋และมามาไม่มีทางเอ่ยความลับของนางออกมาอยู่แล้ว แต่ทว่าพวกนางก็กลัวว่าอาจจะมีสักวันที่พวกนางเผลอหลุดปากพูดออกมาเองจึงไม่คิดจะขอร้องอ้อนวอนท่านอ๋องอีก พวกนางยอมออกไปจากจวนอ๋องแต่โดยดี อาการของฉ่ายเวินนับวันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่สาวรับใช้ที่คอยดูแลปรนนิบัตฉ่ายเวินก็ยังสังเกตเห็นว่านิ้วของนางขยับเล็กน้อย ชูเซี่ยก็รู้สึกได้เช่นกันว่ายามนี้สมองของฉ่ายเวินเริ่มทำงานแล้ว นางจึงค่อยๆคลายเข็มที่ตึงไว้ตามเส้นชีพจร ระยะนี้นางเองก็เข้าวังเพื่อฝังเข็มให้ฮ่องเต้ตลอด ทุกครั้งที่นางเข้าวังหลี่เฉินเย่นก็จะกระวนกระวายทุกครั้ง ยามที่นางออกมาจากวังเขาก็มักจะถามนู่นถามนี่แม้กระทั่งท่าทีและสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ไม่คิดจะปล่อยผ่าน เมื่อฟังชูเซี่ยเล่าทุกอย่างแล้วเขาจึงจะยอมคลายกังวลที่มีมาตลอดทั้งวัน แต่ในใจของเขาก็มีความรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้องนัก แต่ส่วนใดไม่ถูกต้องเขาก็ไม่อาจบรรยายออกมาได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเข้าวังไปด้วยกันกับนาง ชูเซี่ยก็เข้าไปในห้องทรงอักษรเพื่อฝังเข็มให้ฝ่าบาท ส่วนเขาเสด็จพ่อก็ทรงมอบฎีกาให้เขาอ่านอยู่ด้านข้างเพื่อรอ ชายหนุ่มได้เห็นประกายบางอย่างยามที่เสด็จพ่อทอดพระเนตรมองที่ชูเซี่ย มันเป็นสายพระเนตรที่อ่อนโยนอย่างยิ่งจนหัวใจเขาหล่นวูบไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ เขารู้เพียงแค่ว่าอยากพาชูเซี่ยออกไปจากวังเดี๋ยวนี้ ไปให้ไกลจากที่นี่ ชูเซี่ยเองก็สนใจเพียงแค่อาการประชวรของฝ่าบาทเท่านั้น นางไม่มีกระจิตกระใจจะมาคิดอะไรมากมาย ทุกครั้งที่นางฝังเข็มให้แก่ฝ่าบาทนางก็จะช่วยนวดขมับให้พระองค์เสมอ ด้านฮ่องเต้ก็จะหลับพระเนตรลงใบหน้าของพระองค์จะอ่อนลงและมีรอยยิ้มประดับอยู่บนพระโอษฐ์เสมอ บนรถม้าที่เคลื่อนตัวออกจากวัง หลี่เฉินเย่นก็ไม่ได้แต่ตีหน้าเหม็นเบื่อใส่ชูเซี่ยมาตลอดทาง ชูเซี่ยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้อารมณ์ไม่ดี นางจึงเอื้อมมือไปดึงเขาเบาๆ “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ เมื่อครู่เสด็จพ่อก็ไม่ได้ดุด่าอะไรท่านเสียหน่อย แล้วท่านโมโหอะไรหรือเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นสะบัดแขนเสื้อให้หลุดจากการเกาะกุมจากนั้นก็จ้องนางเขม็ง “เหตุใดเมื่อครู่เจ้าต้องนวดขมับให้เสด็จพ่อด้วย” ชูเซี่ยชะงักไป “เรื่องนี้ เพราะว่าหลังจากฝังเข็มไปแล้วจำเป็นต้องนวดให้เลือดมันไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ท่านมีปัญหาหรือเจ้าคะ ทุกครั้งที่ข้าฝังเข็มให้ท่านข้าก็นวดให้ท่านตลอดนี่” “เสด็จพ่อกับเปิ่นหวางไม่เหมือนกัน ต่อให้เจ้านวดเปิ่นหวางทั้งตัวก้เป็นเรื่องสมควรแล้ว” หลี่เฉินเย่นเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด “แต่เสด็จพ่อของเปิ่นหวางกับเจ้าเป็นชายแปลกหน้า การที่เจ้าและชายแปลกหน้ามีท่าทีสนิทสนมกันถึงเพียงนั้น เปิ่นหวางเกรงว่า...” ชายหนุ่มยังคงใช้สายตาจับจ้องนางไม่กล้าเอ่ยคำพูดต่อไปอีก ดวงตาของชูเซี่ยค่อยๆเบิกกว้างขึ้น “เกรงว่าอะไรเจ้าคะ อีกอย่างเรื่องแค่นี้จะถือเป็นเรื่องสนิทสนมได้อย่างไร สำหรับข้าแล้ว การเป็นหมอหญิงต่อให้มีบุรุษถอดเสื้อผ้าอยู่ตรงหน้าจนหมดข้าก็สามารถตรวจร่างกายเขาอย่างไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย” ครั้งนี้เป็นคราวที่หลี่เฉินเย่นเบิกตากว้างแทน จากนั้นก็ดึงมือนางไว้ก่อนเอ่ยถามเสียงดุ “แท้จริงแล้วเจ้ามาจากที่ใดกันแน่ อีกอย่าง เจ้าเคยเห็นบุรุษแก้ผ้าตรงหน้างั้นหรือ” ชูเซี่ยยิ้มให้เขาทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่ดูซุกซนยิ่ง “ก็ไม่มากเจ้าค่ะ เพียงแค่สามร้อยห้าสิบเจ็ดคนเห็นจะได้เจ้าค่ะ” ใบหน้าหลี่เฉินเย่นเขียวคล้ำ “เปิ่นหวางต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆที่มาหลงรักผู้หญิงเช่นเจ้า” ชูเซี่ยซบหน้าลงตรงไหล่ของเขา “เจ้าค่ะ อย่าโวยวายสิเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นยกแขนขึ้นโอบไหล่บอบบางของนางไว้ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม “จากนี้ไปก็อย่าได้กลับบ้านเดิมของเจ้าอีกเลยนะ แม้ว่าเปิ่นหวางจะไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แบบใดกันแน่ถึงได้ยอมให้หมอหญิงสามารถตรวจร่างเปลือยเปล่าของบุรษได้” กล่าวถึงตรงนี้ชูเซี่ยก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา “ต่อให้ฝันข้าก็ยังอยากจะกลับไปที่บ้านอีกสักครั้ง” หลี่เฉินเย่นหันหน้ามามองนาง “เจ้าอยากกลับหรือ ถ้าเช่นนั้นก็กลับเถิด เปิ่นหวางจะกลับไปกับเจ้า จะไปเยี่ยมเยียนว่าที่พ่อตาแม่ยายเสียหน่อย” ชูเซี่ยยิ้มขืน “กลับไปไม่ได้อีกแล้วเจ้าค่ะ” “เหตุใดจึงกลับไปไม่ได้ ไกลมากเลยหรือ หรือเจ้ากลัวว่าพวกเขาจะจำเจ้าไม่ได้ วางใจเถิด เปิ่นหวางยังจำเจ้าได้แม้ว่ารูปโฉมเจ้าจะเปลี่ยนไป พวกเขาเป็นบิดามารดาของเจ้า พวกเขาต้องรับเจ้าได้แน่” หลี่เฉินเย่นเห็นท่าทางโศกเร้าของนางก็ปวดใจขึ้นมา ชายหนุ่มกอบกุมมือของนางไว้ราวกับต้องการปลอบประโลม “ท่านราชครูบอกว่าข้าเป็นหญิงสาวที่มาจากโลกต่าง ท่านเข้าใจหรือไม่เจ้าคะว่ามันหมายความว่าเช่นไร” ชูเซี่ยถามเขา หลี่เฉินเย่นนิ่งงันไป “ใครจะไปรู้เล่า” “หญิงสาวจากโลกต่างก็คือหญิงสาวที่มาจากอีกโลกหนึ่งเจ้าค่ะ บ้านของข้าไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้เจ้าค่ะ บ้านของข้าอยู่อีกช่วงเวลาหนึ่ง อีกหนึ่งพันปีต่อจากนี้” ชูเซี่ยพยายามจะอธิบายให้ชายหนุ่มข้างกายฟัง หลี่เฉินเย่นตระหนกมองนางอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “เจ้าล้อเล่นอะไรอยู่ อีกหนึ่งพันปีต่อจากนี้งั้นหรือ” ชูเซี่ยยิ้มออกมา “แปลกมากเลยหรือเจ้าคะ ท่านไม่ใช่ใช่หรือไม่ อย่าว่าแต่ท่านเลยเจ้าค่ะตอนที่ข้ามาถึงโลกใบนี้ข้าเองก็ยากจะทำใจยอบรับได้เช่นกัน” หลี่เฉินเย่นเงียบไปนาน นานทีเดียวกว่าจะหาเสียงของตนเองเจอ “เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าเป็นวิญญาณจากโลกในอีกหนึ่งพันปีต่อจากนี้แต่ย้อนอดีตมางั้นหรือ” “ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หลี่เฉินเย่นตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก จากนั้นก็เหมือนจะมีคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป “ถ้าเช่นนั้นตอนที่เจ้าย้อนอดีตมาหลิวหยิงหลงก็ตายไปแล้วใช่หรือไม่ นางตายไปเมื่อใดกันและเจ้า เจ้ามาเข้าร่างนางตั้งแต่เมื่อใดกัน” ใบหน้าของชูเซี่ยแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ลืมไปแล้ว!” “ลืมไปแล้ว? เหตุใดจึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้นไปได้ ขอเปิ่นหวางคิดย้อนกลับไปสักครู่ ตั้งแต่เมื่อใดกันนะที่พระชายาของเปิ่นหวางมีนิสัยเปลี่ยนไป” เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบเขาก็นิ่งเงียบไปราวกับกำลังย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นจริงๆ ชูเซี่ยดันเขาแรงๆ ใบหน้าแดงก่ำไปหมด “ท่านจะพยายามย้อนกลับไปคิดทำไม เรื่องมันผ่านไปนานแล้วใครจะไปจำได้เล่า!” เดิมทีหลี่เฉินเย่นก็ยังนึกไม่ออกแต่ทว่าเมื่อเห็นท่าทางและสีหน้าของนางที่แดงก่ำไปหมดก็รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็ลองคิดทบทวนอย่างจริงจังอีกครั้ง ในที่สุดก็ลอบยิ้มและเอนกายพิงกับผนังรถม้าอย่างสบายใจ “คงไม่ใช่วันที่หลิวหยิงหลงวางยาปลุกกำหนัดเปิ่นหวางใช่หรือไม่ ที่แท้แล้วตอนนั้นหญิงสาวที่ร่วมรักกับเปิ่นหวางเป็นเจ้าไม่ใช่นางสินะ” ชูเซี่ยหน้าแดงไปหมด หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มอย่างโกรธเคือง “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” หลี่เฉินเย่นยิ้มขำกับท่าทางของนาง มือหนาเอื้อมไปกอบกุมใบหน้าเล็กๆของนางไว้ รอมฝีปากหนาทาบทับลงบนริมฝีปากอิ่มของนางอย่างอ่อนโยนก่อนจะผละออกและโอบกอดนางไว้กระซิบข้างใบหูเล็กๆ “เปิ่นหวางดีใจที่ผู้หญิงในวันนั้นเป็นเจ้าไม่ใช่หลิวหยิงหลง” หัวใจของชูเซี่ยเต้นแรง นางค่อยๆเอื้อมมือไปโอบรอบตอของเขาจากนั้นก็เป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงไป ยามนี้ชูเซี่ยตกอยู่ภวังค์แห่งความรักที่น่าหลงไหล หลี่เฉินเย่นโอบกอดนางไว้ รสจูบที่อ่อนหวานค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ามือของเขาค่อยๆลดลงไปกอบกุมหน้าอกของนางช้าๆ และค่อยๆล้วงฝ่ามือเข้าไปตามรอยแยกสาบเสื้อโดยที่แม้แต่นางเองก็ยังไม่รู้สึกตัว รถม้าที่วิ่งไปตามถนนท่ามกลางสายฝนภายนอกช่างหนาวเย็นยะเยือกแต่บรรยากาศภายในรถม้าช่างอบอุ่นและเร่าร้อนไปด้วยไฟแห่งความรัก ในที่สุดรถม้าก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนอ๋อง แต่หลี่เฉินเย่นก็ยังไม่อาจระงับความปราถนาของตนที่ปะทุขึ้นมาได้จนเวิน อี้ต้องเป็นฝ่ายผลักร่างสูงของเขาออก “ถึงแล้วเจ้าค่ะ!” หลี่เฉินเย่นทำสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก “เส้นทางจะสั้นเกินไปแล้ว!” กล่าวจบชายหนุ่มก็เปิดม่านขึ้นและกระโดดลงจากรถม้า ชายหนุ่มรับร่มมาจากสารถีจากนั้นก็ส่งมือประคองร่างบอบบางของชูเซี่ยให้ลงมาจากรถม้าช้าๆ จากนั้นร่างของทั้งสองก็ค่อยๆจับจูงกันเดินหายเข้าไปในจวน
已经是最新一章了
加载中