ตอนที่ 73 ก่อกบฏ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 73 ก่อกบฏ
ต๭นที่ 73 ก่อกบฏ ความสนิทสนมของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาของโหร่วเฟยที่กำลังยืนถือกรรไกรจัดแต่งกระถางดอกไม้อยู่ในสวนตลอดเวลา ความจริงแล้วเรื่องของคนทั้งคู่มีคนนำเรื่องมารายงานนางตั้งแต่แรกแล้ว นางกำนัลมารายงานว่าหลี่เฉินเย่นและท่านหมอเวินมีความสนิทสนมกันอย่างยิ่ง แต่ทว่านางไม่เคยเชื่อ เพราะนางทราบดีว่าหัวใจของหลี่เฉินเย่นไม่เหลือที่ว่างให้กับผู้ใดอีกแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงรูปโฉมของท่านหมอเวินที่เพียงแค่สบายตาน่ามองเท่านั้น แต่ถึงนางจะมีรูปโฉมงามพิลาศ หลี่เฉินเย่นก็คงไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเป็นแน่ เพราะในหัวใจของชายผู้นี้มีแต่พี่สาวของนางอยู่เต็มหัวใจ คนที่มีชีวิตอยู่ไม่มีทางเทียบเคียงคนที่ตายไปแล้วได้ หลายปีมานี้นางรู้ดีว่าต่อให้พยายามเพียงใดก็ไร้ผล แต่ทว่ายามนี้นางเห็นกับตาว่าพวกเขาทั้งคู่จับมือกันเดินอย่างไร้ยางอาย ชูเซี่ยเหลือบมันเห็นสายตาของโหร่วเฟยที่จับจ้องมาที่นางด้วยแววตาน่ากลัวก็รีบปล่อยมือจากหลี่เฉินเย่นทันที นางรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “โหร่วเฟยก็อยู่ด้วยหรือเจ้าคะ!” น้อยครั้งนักที่โหร่วเฟยจะออกมาจากเรือนของตนนอกจากจะเดินทางไปหาฉ่ายเวิน แต่ทว่าวันนี้นางเกิดอารมณ์ดีออกมาชมสวนตัดแต่งดอกไม้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันจริงๆ สีหน้าของโหร่วเฟยยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง นางค่อยๆย่อกายเล็กน้อย “ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ!” หลี่เฉินเย่นใบหน้านิ่งเฉย “ร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรงเหตุใดจึงไม่อยู่ในห้องของตนเองเล่า ออกมาทำอะไรข้างนอกกัน ฝนก็เพิ่งหยุดตก อากาศก็หนาวเย็นยิ่งนักระวังลมหนาวจะเข้ากระดูกได้” โหร่วเฟยเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องทรงเป็นห่วงหม่อมฉัน หลายวันมานี้ฝนตกหนักเหลือเกิน ยากนักทราจะหยุดได้ ข้าเพิ่งจะได้ออออกมาตัดแต่งดอกไม้ได้เพียงคณู่เดียวเท่านั้น แต่ทว่าน่าเสียดายเหลือเกินเดิมทีดอกไม้กระถางนี้เป็นดอกไม้ที่ออกดอกสวยงามยิ่งนักแต่กลับโดนพายุฝนพัดกระหน่ำจนดอกร่วงเกือบทั้งหมด” กล่าวจบ นางก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ดวงตาเป็นประกายล้ำลึกแต่สายตาไม่ได้มองมาที่ชูเซี่ยแม้แต่น้อย ชูเซี่ยหวนคิดถึงเรื่องสมัยก่อน นางยังไม่อยากตั้งตนเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายเหมือนอย่างครั้งก่อนอีกแล้วจึงรีบร้อนเอ่ยขึ้น “พวกท่านคุยกันไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปดูฉ่ายเวินเสียหน่อย” กล่าวจบนางก็เตรียมจะก้าวเดินอออกไป แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นกลับรั้งมือของนางไว้ จากนั้นก็เออ่ยเสียงเบา “เปิ่นหวางจะไปกับเจ้า” ชูเซี่ยเหลือบมองโหร่วเฟยอย่างอึดอัด นางพยายามดึงมือของตนออกจากการเกาะกุมของเขา “ท่านอ๋องอยู่เป็นเพื่อนโหร่วเฟยเถิดเจ้าค่ะ” นางพยายามดึงมือของตนออกจากมือหนาของเขาอีกครั้งแต่มีหรือชายหนุ่มข้างกายจะยอมปล่อยมือนางง่ายๆ ท้ายที่สุดนางก็หยุดใช้กำลังและช้อนสายตามองเขาอย่างหมดหนทาง หลี่เฉินเย่นไม่สนใจท่าทางอึดอัดของนางแม้แต่น้อย “ไปกันเถิด!” กล่าวจบชายหนุ่มก็ประสานมือเข้ากับนิ้วเล็กๆทั้งสิบของนางอย่างแนบแน่นและดึงร่างของนางให้ออกเดินไปพร้อมกัน ชูเซี่ยลอบถอนหายใจพลางกระซิบบอกเขาเสียงเบา “ท่านไม่ควรทำกับนางเช่นนี้” หลี่เฉินเย่นเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ “หัวใจของเปิ่นหวางสามารถเก็บหญิงสาวได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น หากไม่ใช่เจ้าก็เป็นนาง เจ้าก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน” ชูเซี่ยเดินนำหน้าเขาไปไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆเอ่ยออกมา “ถ้าหากเลือกได้ข้าก็หวังอย่างยิ่งว่าให้คนที่ท่านรักเป็นนาง” หากเป็นเช่นนั้นแล้วยามที่นางตายจากเขาไปหัวใจของเขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน แต่ถึงจะเอ่ยเช่นนั้นออกไป หัวใจของนางก็รู้สึกขมขื่นเหลือเกิน ราวกับว่าเท้าที่เปรออะเปื้อนคราบดินโคลนที่ไม่ไหวนางจะเดินไปถึงไหนก็ฝากรอยไว้ในทุกๆที่ที่นางเหยียบย่ำ หลี่เฉินเย่นก้าวไปข้างหน้ารั้งนางไว้ ดวงตาคมถลึงตามองมาที่นางทั้งๆที่ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาคมกวาดมองใบหน้านางอย่างต้องการค้นหาคำตอบ “เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าชายหนุ่มโมโหเสียแล้วก็รีบยิ้มซุกซนออกมา “แน่นอนว่าข้าโกหก ท่านฟังไม่ออกหรือเจ้าคะ ในใจของข้าย่อมปรารถนาให้ทั้งชีวิตท่านมีเพียงข้าแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้วเจ้าค่ะ”คำพูดเช่นนี้สิถึงจะออกมาจากใจจริงของนาง เป็นความจริงที่นางพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บมันไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่นางไม่อาจทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ได้ไม่ใช่หรือ ชูเซี่ยยิ้มฝืน “เจ้าค่ะ ข้าจะไม่กล่าวคำพูดเช่นนี้อีกแล้ว” หลังจากการฝังเข็มเสร็จสิ้น ชูเซี่ยก็ทำการนวดให้ฉ่ายเวินเพื่อทำการกระตุ้นจุดที่นางฝังเข็มลงไป นางจ้องมองใบหน้าที่งดงามของฉ่ายเวิน ในฐานะที่เป็นหมอนางย่อมต้องการให้ผู้ป่วยฟื้นขึ้นมาอยู่แล้ว แต่ในฐานะที่นางเป็นผู้หญิงของหลี่เฉินเย่น นางก็หวังอีกเช่นกันว่าฉ่ายเวินจะฟื้นขึ้นมาได้ในเร็ววัน เพราะว่านางไม่สามารถรู้ได้จริงๆว่ายามใดที่จะถึงช่วงเวลาสุดท้ายของนาง หากว่าก่อนหน้าที่เวลาของนางสิ้นสุดนางสามารถทำให้ฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาได้อย่างน้อยนางก็คงตายตาหลับ ดังนั้นในสองวันนี้ยามที่นางมาฝังเข็มในฉ่ายเวินนางมักจะแอบป้อนเลือดของตนเองให้ฉ่ายเวินดื่มอีกด้วย เพราะในร่างกายของนางมียาวิเศษที่อาจารย์เทวดาเคยมอบให้นาง นางได้แต่หวังว่าวิธีนี้จะสามารถแบ่งยาวิเศษที่อยู่ในร่างกายนางมอบให้อีกฝ่ายได้บ้าง แม้ว่าผลที่ได้จะไม่ชัดเจนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นผลเลย สีหน้าของฉ่ายเวินนับวันยิ่งมีเลือดฝาดขึ้นมา ใบหน้าที่เคยขาวซีดเผือดยามนี้ดูแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมากโข มีอยู่บ้างที่บางครั้งปลายนิ้วของนางจะมีการขยับแต่นางก็คิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะหัวสมองนางเริ่มทำงานทำให้เกิดเส้นกระตุกบ้างในบางครา แต่จากที่ชูเซี่ยสังเกตมาหลายครั้งนางก็รู้ได้ว่าการที่จะทำให้ฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เมื่อตกค่ำโหร่วเฟยก็เดินทางมาหาชูเซี่ยถึงเรือนหรูอี้ เดิมชูเซี่ยนึกว่านางจะมาเพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ทว่าทันทีที่นางนั่งลงกลับกวาดสายตามองไปรอบๆ ชูเซี่ยที่นั่งลงตรงข้ามนางจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “โหร่วเฟยมองหาอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” โหร่วเฟยจึงเอ่ยถามนางขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ข้าแค่สงสัยว่าสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติเจ้าเหตุใดจึงมีเพียงเสี่ยวฉิงเท่านั้น มามาและเสี่ยวจี๋เล่าไปไหนเสียแล้ว” ชูเซี่ยยิ้มออกมา “มามาอายุอานามก็มากแล้วเจ้าค่ะข้าจึงให้เงินนางไว้ก่อนหนึ่งเพื่อให้นางกลับไปบ้านเดิมใช้ชีวิตอยู่กับลูกหลานของตนเอง” โหร่วเฟยผุดยิ้มออกมา “ท่านหมอเวินช่างมีจิตใจดีงามยิ่งนักถึงกับส่งมามาให้กลับบ้านเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับครอบครัว แล้วเสี่ยวจี๋เล่าเหตุใดนางจึงไม่อยู่ที่นี่ด้วยเล่า ท่านหมอเวินไม่ชอบนิสัยของนางหรือเจ้าคะ ความจริงแล้วนิสัยของเสี่ยวจี๋ว่านอนสอนง่ายมากเลยทีเดียว นางเป็นสาวใช้ที่พี่สาวข้ารักและเอ็นดูมากเลยทีเดียว ท่านหมอเวินควรจะให้ความสำคัญกับนางมากกว่านี้” ชูเซี่ยยิ้มพลางเอ่ย “เสี่ยวฉิงเองก็ไม่เลว ท่านพ่อบ้าน/แม่บ้าน/แม่บ้านบอกกับข้าว่าอีกสองวันจะทำการคัดเลือกสาวใช้ใหม่มาให้ข้าอีกสองนาง แต่ข้าขงไม่ขอรับอีกแล้ว เพราะแค่สาวใช้ข้างนอกนั่นกับสาวใช้ข้างกายข้าอย่างเสี่ยวฉิงก็คงเพียงพอแล้วเจ้าค่ะ เพราะข้างกายข้าคงไม่ต้องการคนปรนนิบัติมากถึงเพียงนี้” โหร่วเฟยดึงมือของนางไว้ ใบหน้ามีรอยยิ้มจริงใจ “เด็กโง่ ยามนี้เจ้าไม่เป็นเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ท่านอ๋องชอบเจ้าเข้าแล้วในไม่ช้าเขาจะต้องรับเจ้าเข้ามาเป็นสนมในจวนแน่ ข้างกายไม่มีสาวใช้ให้มากหน่อยได้อย่างไรกัน เรือนจื่อยี่แห่งนี้เดิมทีเคยมีชื่อว่าเรือนหรูอี้มาก่อนทั้งยังเป็นเรือนที่พี่สาวของข้าเคยอยู่ สถานที่ที่เคยมีคนตายเช่นนี้อาจจะไม่มงคลเท่าใดนัก เช่นนี้ดีหรือไม่เดี๋ยวข้าจะหาเรือนหลังใหม่ให้เจ้าดีหรือไม่” ชูเซี่ยเงยหน้ามองโหร่วเฟยอย่างตกอกตกใจ แม้ว่าใบหน้าของนางจะดูอ่อนหวานแต่ทว่าดวงตาของนางกลับมีประกายคมบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ แต่ทว่านางก็ไม่อาจบอกได้ว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง นางไม่คิดว่าที่ผ่านมาใบหน้าที่อ่อนโยนและรอยยิ้มอ่อนหวานของโหร่วเฟยเป็นสิ่งที่แสร้งทำขึ้นมา แต่ดูจากท่าทีของนางยามนี้ทำให้นางอดรู้สึกแปลกประหลาดไม่ได้ “ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ลำบากเสียเปล่าๆ นอกจากนั้นข้าก็ไม่คิดที่จะเป็นสนมอีกด้วย” ชูเซี่ยยิ้มปฎิเสธ ใบหน้าของโหร่วเฟยแข็งค้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างอ่อนหวานแทบจะทันที “แต่ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู้หน้าหนาวแล้ว เรือนหรูอี้ทั้งมืดและชื้นไม่เหมาะจะอยู่อาศัยนักหรอก อย่างไรเสียข้าก็คิดว่าจะหาที่อยู่อาศัยใหม่ให้เจ้าจะดีกว่า” โหร่วเฟยยังยืนยันคำเดิม น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและไม่เปิดโอกาสให้ชูเซี่ยปฏิเสธได้ ชูเซี่ยไม่รู้ว่าจะตอบหญิงสาวตรงหน้าอย่างไรดี ในระหว่างที่ลังเลอยู่นั้นเสี่ยวฉิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำชาในมือ กาน้ำชายังมีไอร้อนสีขาวพวยพุ่งออกมาอยู่ เสี่ยวฉิงยิ้มอย่างนอบน้อม “โหร่วเฟยเจ้าคะ วันนี้เสี่ยวฉิงต้มชากุหลาบ เสี่ยวฉิงทราบว่าพระสนมโปรดชากุหลาบยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นดื่มสักถ้วยหรือไม่เจ้าคะ” โหร่วเฟยเงยหน้ามองนางก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “อืม!” ชูเซี่ยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกพลางเงยหน้ามองเสี่ยวฉิงก็เห็นว่านางกำลังส่งสัญญาณให้จากนั้นเสี่ยวฉิงก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ว “ท่านหมอเวินเจ้าคะ เมื่อครู่มีสาวใช้จากเรือนคุณหนูฉ่ายเวินมาส่งข่าวคราวว่าคุณหนูฉ่ายเวินเริ่มจะรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะเลยให้ข้ามาตามท่านหมอเวินโดยด่วน” ชูเซี่ยรู้ว่าเสี่ยวฉิงกำลังช่วยเหลือนางจึงส่งสายตาขอบคุณกลับไปให้ จากนั้นก็รีบร้อนลุกขึ้น “ได้ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้ เจ้าจงดูแลโหร่วเฟยให้ดีๆ” นางมาที่เรือนฉ่ายเวินนั่งอยู่ที่นี่นานมาก นางรู้ดีว่าหากโหร่วเฟยกลับไปแล้วเสี่ยวฉิงจะต้องมาหานางที่นี่แน่ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดโหร่วเฟยจึงมา ว่ากันตามจริงแล้วหากโหร่วเฟยแสดงท่าทีร้ายกาจกับนางนางก็คงไม่หวั่นกลัว แต่ทว่าท่าทางอ่อนหวานของนางที่แสดงออกมาทำให้ชูเซี่ยวางตัวไม่ค่อยถูกนัก หญิงสาวกุมมือของฉ่ายเวินไว้คอยนวดมือให้นาง สาวรับใช้ข้างกายออกไปข้างนอกแล้ว ภายนอกระเบียงที่ติดอยู่กับทะเลสาปมีหิ่งห้อยส่องแสงวิบวับ น้ำตาเทียนที่ไหลลงมากองอยู่ที่พื้นโต๊ะไม้จนกลายเป็นรูปร่างประหลาด หญิงสาวจ้องมองน้ำตาเทียนและหันไปมองแสงไฟวิบวับจากหิ่งห้อยตัวน้อยเหล่านั้น ชีวิตของหิ่งห้อยช่างสั้นเหลือเกิน แต่ทว่าก็ในยามที่มีชีวิตอยู่ของพวกมันก็ช่างเปร่งประกายงดงาม แล้วตัวของนางเล่า ใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นปกติยิ่งไม่มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ แม้ว่าในชีวิตนี้นางจะช่วยเหลือคนมามากมายก็ตาม แต่สำหรับคนที่เป็นหมอการช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว นางจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องที่วิเศษอะไร “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงอ่อนหวานดังขึ้นมาภายในห้องที่เงียบสงบ ชูเซี่ยรู้สึกว่ามือที่นางกอบกุมอยู่มีการขยับเขยื้อน แต่เนื่องจากนางคิดว่าอาจเป็นเพราะนางนวดแรงเกินไปจึงไม่ทันสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวอันน้อยนิดนั้น ชูเซี่ยนิ่งงันไป จากนั้นก็ค่อยๆเบือนสายตาขึ้นไปสบกับร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของหญิงสาวบนเตียงยังคงงดงามเช่นเคย ริมฝีปากบางปิดอยู่ ผิวกายที่ขาวใสจนแทบจะโปร่งแสงนั่นกับคิ้วโก่งได้รูป แต่ต่างจากเดิมตรงที่ว่ายามนี้ดวงตาที่ปิดสนิทเกือบสี่ปีกำลังเบิกกว้างมองมาที่นางอย่างตกใจเล็กน้อย ฉ่ายเวินฟื้นแล้ว! หัวใจชูเซี่ยเต้นแรงขึ้นก่อนจะกลั้นใจเอ่ยออกมาเสียงเบา “เจ้าฟื้นแล้วหรือ ไม่ต้องกลัวนะ ข้าเป็นท่านหมอ ตอนนี้เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง” ฉ่ายเวินกะพริบตาปริบๆมองมาที่นางจากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าช่วยข้าไว้หรือ” ชูเซี่ยแย้มรอยยิ้มอบอุ่นให้ “มีคนตั้งมากมายช่วยเหลือเจ้า” ฉ่ายเวินส่งเสียง ‘อ่อ’ ออกมาจากนั้นก็ถามขึ้นอีก “ข้าสลบไปกี่วันแล้วหรือ” ชูเซี่ยถอนหายใจยาวๆ “สี่ปีแล้วล่ะ!” ใบหน้างดงามแข็งค้าง นางถามอย่างตกตะลึง “สีปี่? นี่ข้าสลบไปสี่ปีเชียวหรือ” ดวงตาของนางฉายแววแตกตื่น พยายามจะพยุงกายลุกขึ้นมาแต่ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง เพียงแค่ขยับกายขึ้นมาเล็กน้อยสุดท้ายก็ตัวอ่อนปวกเปียกล้มลงไปที่เตียงเช่นเดิม ชูเซี่ยรีบมาหยุดนางไว้ “อย่าเพิ่งขยับ ร่างกายเจ้ายังอ่อนแออยู่นะ” ฉ่ายเวินเริ่มร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมา “ข้า...ศิษย์พี่เล่า เจ้าช่วยเรียกศิษย์พี่มาให้ข้าได้หรือไม่” ชูเซี่ยรีบลุกขึ้นทันทีก่อนเอ่ยปากบอก “เจ้ารอข้าเดี๋ยวนะ ข้าจะรีบส่งคนไปเรียกเขาให้มาเดี๋ยวนี้” กล่าวจบนางก็วิ่งไปเรียกคนข้างนอก ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างนอกเมื่อได้ยินว่าฉ่ายเวินฟื้นแล้วก็ดีรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องเพื่อแสดงความยินดีจากนั้นก็รีบวิ่งไปส่งข่าวให้แก่หลี่เฉินเย่นทันที ผ่านไปสักพักหลี่เฉินเย่นก็วิ่งปราดเข้ามาด้วยความเร็วดุจแสง ดวงตาคมเปร่งประกายยินดีอย่างปิดไม่มิด แม้แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นด้วยความดีอกดีใจ “ศิษย์น้องในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว” ฉ่ายเวินที่นอนอยู่บนเตียงยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อกอบกุมมือหนาของเขาก่อนจะส่งเสียงร้องไห้ออกมา “ศิษย์พี่ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมข้าจึงสลบไปนานได้ถึงเพียงนี้” หลี่เฉินเย่นนั่งลงข้างเตียงก่อนจะซับน้ำตาที่ข้างแก้มให้นางอย่างอ่อนโยน “เจ้าลืมไปแล้วหรือ เจ้าตกลงไปในน้ำหมดสติไป ผ่านมาตั้งสี่ปีแล้วนะ แต่ทว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ฟื้นขึ้นมาก็พอแล้วล่ะ” น้ำตาของฉ่ายเวินยังหยดลงมาหยดแล้วหยดเล่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ข้าหลับไปแค่ตื่นเดียวก็ล่วงเลยไปถึงสี่ปีแล้วหรือ แล้วท่านกับหลิวหยิงหลงแต่งงานกันแล้วหรือเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้ว!” ใบหนาของฉ่ายเวินซีดขาวขึ้นทันควัน นางมองมาที่หลี่เฉินเย่นอย่างไม่เชื่อสายตา หลี่เฉินเย่นกอบกุมมือของนางไว้พลางเอ่ยปากถาม “บอกศิษย์พี่มาว่าใครเป็นคนผลักเจ้าตกน้ำ” ฉ่ายเวินมองสบตาเขานิ่งๆจากนั้นก็พยุงกายขึ้นมาช้าๆ ใบหน้าซีดค่อยแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ท่านจะแก้แค้นให้ข้าใช่หรือไม่” ดวงตาหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเย็นยะเยือก จากนั้นก็กัดฝันเอ่ย “ข้าจะฆ่ามัน” ฉ่ายเวินถอนหายใจอย่างโล่งอกจากนั้นก็ค่อยๆเอ่นกายลงบนเตียงช้าๆ หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยคำพูดขึ้นมาสามคำ “หลิวหยิงหลง!” ใบหน้าของชูเซี่ยแข็งค้างก่อนจะถามขึ้นอย่างตกใจ “เป็นนางหรือ เจ้าจำไม่ผิดใช่ไหม” ดวงตาฉ่ายเวินเป็นประกายเย็นเยียบ นางหันกลับมามองชูเซี่ยก่อนจะผุดรอยยิ้มเย้ยหยัน “เรื่องเช่นนี้ใครจะจำผิดได้เล่า”
已经是最新一章了
加载中