ตอนที่ 74 จริงใจ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 74 จริงใจ
ต๭นที่ 74 จริงใจ ชูเซี่ยไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหญิงสาวตรงหน้าจึงได้โกหก ในหัวของนางจำความทรงจำที่เหลืออยู่ของหลิวหยิงหลงได้อย่างชัดเจน ซึ่งในนั้นไม่มีความทรงจำยามที่หลิวหยิงหลงผลักฉ่ายเวินเลยแม้แต่น้อย “หยิงหลงเป็นคนผลักเจ้าด้วยมือของนางเองหรือนางสั่งให้ผู้อื่นเป็นคนผลักเจ้าตกน้ำหรือ” ชูเซี่ยยังไม่หายคลางแคลงใจจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของฉ่ายเวินที่จ้องมองมาที่ชูเซี่ยฉายแววไม่เป็นมิตรขึ้นมา ดวงตากลมโตจ้องมาที่นางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเคียดแค้น “นางเป็นคนผลักข้าตกน้ำด้วยมือของนางเอง เวลานั้นก็มีสาวใช้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย หากศิษย์พี่ไม่เชื่อข้าก็ไปถามคนเหล่านั้นดูเถิด” ชูเซี่ยส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “แต่ว่า...” ทันใดนั้นฉ่ายเวินก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ร้องไห้จนใบหน้าแดงก่ำดูน่าสงสาร “ทำไมพวกท่านจึงไม่ยอมเชื่อข้า หรือว่าเป็นเพราะยามนี้นางกลายเป็นพระชายาไปแล้ว พวกท่านจึงคิดว่าข้าต้องกุเรื่องขึ้นมาป้ายสีนางงั้นหรือ ศิษย์พี่เจ้าคะ ข้าไม่ได้โกหกนะ ข้าไม่ได้โกหกท่านจริงๆนะเจ้าคะ นางเป็นคนผลักข้าตกน้ำจริงๆ นางบอกกับข้าว่าหากข้าตายไปสักคนศิษย์พี่ก็จะรักนางได้แค่คนเดียว” หลี่เฉินเย่นเอ่ยคำพูดปลอบประโลมนาง “ศิษย์พี่เชื่อเจ้า ศิษย์พี่เชื่อที่เจ้าพูดมาทุกคำ อย่าร้องอีกเลย เห็นเจ้าร้องแล้วศิษย์พี่ปวดใจเหลือเกิน” ชูเซี่ยยังอยากจะพูดอะไรอีกแต่หลี่เฉินเย่นกลับหันศีรษะกลับมาปรามนางเสียงดุ “พอได้แล้ว เจ้าเลิกเซ้าซี้นางเดี๋ยวนี้ นางเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก” ชูเซี่ยจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกบรรยายไม่ถูก แม้ว่านางจะรู้ว่าเขาเป็นห่วงฉ่ายเวินมากแต่นางก็นึกไม่ถึงว่าจะเกินกว่าที่นางคิดไปมาก ท้ายที่สุดหญิงสาวก็จำต้องถอยออกมาจากห้องช้าๆ เมื่อนางเดินออกมาจากประตูก็ได้ยินเสียงโหร่วเฟยดังขึ้นมา เชื่อว่าโหร่วเฟยคงได้ยินคำพูดของฉ่ายเวินแล้ว นางถอนหายใจออกมาหนักๆ “เป็นฝีมือของพี่สาวจริงๆหรือนี่ แม้ว่าในใจของข้าจะสงสัยมาตลอดแต่ก็ไม่เคยมั่นใจมากนัก แต่มาวันนี้...” สีหน้าของนางสลดลงยามที่มองไปที่ร่างทั้งสองที่อยู่ภายในห้องจากนั้นก็เดินจากไป แสงสลัวของคบไฟตามทางเดินสะท้อนลงบนแผ่นหลังบอบบางในชุดสีเหลืองนวล เท้าที่ก้าวแต่ละก้าวของนางดูอ่อนหวานเชื่องช้า ข้างกายมีเพียงสาวใช้ที่คอยพยุง แสงไฟนวลที่ทอดลงมาให้เกิดเงาในสายตาของชูเซี่ยนั้นมันแลดูเหงาและโดดเดี่ยวยิ่งนัก ชูเซี่ยนั่งลงมันเก้าอี้ม้าหินเพราะรู้สึกว่าขาทั้งสองของนางเมื่อยขึ้นมา เมื่อนางเลิกชายกางเกงขึ้นก็พบว่าบาดแผลของนางที่หกล้มมาก่อนหน้ายังไม่หายดีแต่ทว่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะอักเสบขึ้นมา นางรู้สึกอับจนหนทางขึ้นมา ยามที่นางเคยอยู่ในร่างของหลิวหยิงหลงขาของนางก็เคยเป็นเช่นนี้ มาตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ขึ้นอีก เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจหลุดพ้นโชคชะตาของตนเองไปได้ “คิดอะไรอยู่หรือ” เบื้องหลังของนางมีเสียงอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากนั้นก็มีร่างสูงของใครบางคนนั่งลงข้างกาย นางเงยหน้าขึ้นมองจูเก๋อหมิง คาดว่าเขาคงได้ข่าวว่าฉ่ายเวินฟื้นแล้วจึงมาเยี่ยมเยียน “ท่านไม่เข้าไปหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยถาม จูเก๋อหมิงยิ้ม “จะเข้าไปทำไมเล่า เวลานี้พวกเขาคงไม่อยากให้คนนอกเข้าไปกวนนักหรอก” ริมฝีปากของชูเซี่ยยิ้มขมขื่น “มันก็เป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรือ” “เจ้าเสียใจงั้นหรือ” จูเก๋อหมิงถามนางอย่างเป็นห่วง ดวงตาคมสีดำสนิทจับจ้องนางอย่างพิจารณา ชูเซี่ยส่ายศีรษะ “ท่านก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าช้าหรือเร็วข้าก็ต้องจากไปอยู่ดี เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยตอนที่ข้าตายจากไปเขาก็ยังมีคนคอยอยู่เคียงข้าง เขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานแบบครั้งที่ผ่านมาอีกแล้ว” “จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังใจกว้างอีกงั้นหรือ แต่ทว่าข้ากลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่คำพูดที่ออกมาจากใจจริงของเจ้าหรอกนะ” จูเก๋อหมิงเอ่ยออกมาเสียงทุ้มนุ่ม “ความรักมันก็เห็นแก่ตัวเช่นนี้” ชูเซี่ยยิ้มฝืนดวงตาของนางมองจูเก๋อหมิงด้วยแววตาที่ขมขื่น เห็นแก่ตัวงั้นหรือ นางเองก็อยากจะเห็นแก่ตัวเหมือนกัน แต่ทว่านางจะเห็นแก่ตัวได้จริงๆน่ะหรือ เพียงแค่คิดถึงรอยแผลบนร่างกายมากมายของเขาที่เกิดจากการทรมานตนเองของเขา หัวใจของนางก็เจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว ชูเซี่ยปล่อยชายกางเกงให้กลับลงไปเช่นเดิม “เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าสุดแล้วแต่คนจะรู้ได้ อย่าคิดอะไรมากนักเลย” แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่ทว่าจูเก๋อก็ยังสังเกตเห็นบาดแผลที่ขาของนางได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มมีสีหน้าตื่นตระหนก “เหตุใดขาของเจ้าถึงได้มีบาดแผลร้ายแรงถึงเพียงนี้” หัวใจของเขารู้สึกหวั่นวิตกขึ้นมาคล้ายกับเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนกำลังจะย้อนกลับมาอีกครั้ง ชูเซี่ยถอนหายใจเอ่ยออกมา “ข้าไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เจ็บก็คงมีเพียงแต่หัวใจของข้าเท่านั้น ตอนนี้ต่อให้เจ้าเอาเข็มมาทิ่มแทงร่างกายของข้าข้าก็หาได้รู้สึกอันใดไม่” “ต่อให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเจ้าก็ไม่สมควรปล่อยปละละเลยจนมันกลายเป็นแผลใหญ่เช่นนี้” จูเก๋อหมิงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ ชายหนุ่มดึงร่างของนางให้ลุกขึ้นจากนั้นก็ถลกกระโปรงของนางเพื่อจะดูบาดแผล ชูเซี่ยพยายามหยุดยั้งมือของเขาไว้แต่กลับโดนจูเก๋อหมิงดุ “เวลานี้เจ้ายังจะมาอายอะไรอีก ไม่กลัวตายหรืออย่างไร” ชูเซี่ยจึงได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มทำตามใจชอบ ท่านหมอหนุ่มคุกเข่าลงตรงหน้านางจากนั้นก็สำรวจบาดแผลที่ขาของนางจึงได้เห็นว่านอกจากบาดแผลใหญ่ที่ยาวจากข้อเท้าถึงหัวเข่าแผลหนึ่งแล้วก็มีบาดแผลเล็กๆน้อยๆเต็มไปหมด “ไปทำอะไรมา” จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นถามนาง ชูเซี่ยส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ก็มีบางเวลาที่ซุ่มซ่ามชนนู่นชนนี่ แต่ทว่าเพราะข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดจึงไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ จากแผลเดียวก็ดูเหมือนจะค่อยๆเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ อ่อ จริงสิ ยามที่ข้าเดินทางมาจากมณฑลกวางตุ้งระหว่างทางก็หกล้มหลายต่อหลายครั้ง ข้าคิดว่าอาจจะได้แผลมาจากตอนนั้นแน่ๆ” จูเก๋อหมิงฉุดมือของนางให้ลุกขึ้น “กลับกันเถิด ข้าจะช่วยใส่ยาให้เจ้า ตอนนั้นเองที่หลี่เฉินเย่นเดินออกมาจากห้องก็เห็นว่าร่างของทั้งสองกำลังยื้อยุดกันอยู่จึงเอ่ยถามเสียงเย็น “พวกเจ้าทำอะไรกัน” จูเก๋อหมิงยังไม่ได้ปล่อยมือไปจากนางแต่ใบหน้าฉายแววไม่พอใจ “เฉินเย่น เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน ขาของนางบาดเจ็บถึงเพียงนี้แต่เจ้ากลับไม่รู้และไม่เคยสังเกตเห็นมันหรือ” ดวงตาคมของหลี่เฉินเย่นเบิกกว้าง ชายหนุ่มก้าวมาคุกเข่าลงตรงหน้านางก่อนจะเลิกชายกระโปรงขึ้นจากนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดช้าๆ เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก็เอ่ยถามเสียงอ่อน “เจ็บหรือไม่” ชูเซี่ยส่ายหน้า ดวงตาดำสนิทของเขาฉายแววตระหนกจนนางรู้ว่าในใจของเขาจะต้องหวั่นวิตกมากเป็นแน่ “ไม่เจ็บเลย” หลี่เฉินเย่นช้อนร่างของนางไว้ในอ้อมแขน “ไปกันเถิด เปิ่นหวางจะกลับไปใส่ยาให้เจ้า” จูเก๋อหมิงมองตามหลังของคนทั้งคู่ด้วยสายตาเศร้าโศก เขายืนนิ่งอยู่ที่ม้านั่งหินเป็นเวลานาน ท่านหมอหนุ่มถอนหายใจออกมาแผ่วเบาจากนั้นก็หมุนกายเข้าไปในห้องของฉ่ายเวิน เมื่อครู่หลี่เฉินเย่นบอกให้นางนอนพักผ่อนระหว่างนี้ก็อย่าเพิ่งพูดหรือคิดอะไรมากมายนัก นางเองก็หลับตาลงอย่างว่าง่ายแต่ไหนเลยจะหลับลงได้ ภาพตอนที่นางถูกผลักตกน้ำยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่หายไปไหนทำให้จิตใจของนางหวาดกลัวยิ่งนักแต่ก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้น หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมองก่อนจะพบว่าผู้มาเยือนในยามวิกาลนี้ก็คือชายหนุ่มที่อ่อนโยนนามว่าจูเก๋อหมิง “ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” จูเก๋อหมิงเอ่ยถามเสียงเบา ฉ่ายเวินยังคงจดจำรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของคนตรงหน้าไม่เคยลืม “ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ศิษย์พี่บอกกับข้าว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาท่านเป็นคนที่คอยดูแลรักษาข้ามาโดยตลอด ขอบคุณท่านมากเลยเจ้าค่ะ!” “กล่าวราวกับข้าเป็นคนนอกเช่นนี้ได้อย่างไร ขอแค่เจ้าฟื้นขึ้นมาได้ไม่ว่าอย่างไรก็คุ้มกับที่ข้าเหนื่อย แต่ครั้งนี้ข้าไม่ได้เป็นคนทำให้เจ้าฟื้นหรอกนะ คนที่ช่วยเจ้าคือท่านหมอเวินต่างหากเล่า” ใบหน้าของจูเก๋อหมิงเคร่งเครียด ดวงตาของเขาฉายแววเศร้าสลดออกมา ฉ่ายเวินเป็นคนที่เอาใจใส่ผู้คนอยู่เสมอมีหรือนางจะฟังไม่ออกว่าน้ำเสียงของเขาไม่มีความสุข แต่หญิงสาวกลับคิดไปว่าคงเป็นเพราะเขารู้สึกว่าฝีมือการแพทย์ของตนเองอ่อนด้อยกว่าหมอหญิงผู้นั้นจึงได้เศร้า นางจึงรีบเอ่ยขอบคุณเขาจากใจจริง อีกครั้ง “แม้ว่าผู้ที่ทำให้ข้าฟื้นขึ้นมาได้จะเป็นท่านหมอเวิน แต่ทว่าหากหลายปีมานี้ไม่ได้ท่านคอยออกเทียบยาให้ข้า ข้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เพื่อรอนางมารักษาหรอกนะเจ้าคะ” จูเก๋อหมิงยิ้มอย่างอบอุ่น “ไม่ว่าอย่างไรขอแค่เจ้าฟื้นขึ้นมาก็พอ” จากนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ “จริงสิ ตอนนั้นใครเป็นคนผลักเจ้าตกลงไปในน้ำ” ฉ่ายเวินถอนหายใจออกมา แววตาเป็นประกายแค้นเคือง “เป็นหยิงหลงที่ผลักข้า ข้าไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้นางแค้นเคืองข้าถึงเพียงนั้น นางจึงได้ลงมือกับข้าได้อย่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น แต่ทว่ายามนี้นางเป็นถึงพระชายาของศิษย์พี่ไปแล้ว ต่อให้นางเป็นผู้ลงมือทำจริงก็ใช่ว่าศิษย์พี่จะลงโทษนาง” จูเก๋อหมิงชะงักกึก “เป็นนางที่ทำจริงๆหรือ” ฉ่ายเวินจ้องมองมาที่เขา “ฟังจากน้ำเสียงของท่าน ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็คิดว่าข้าใส่ร้ายป้ายสีนางงั้นสินะ ศิษย์พี่ไม่เคยสืบสวนเรื่องนี้งั้นหรือ” จูเก๋อหมิงรีบเอ่ย “”จะไม่สืบสวนได้อย่างไรกัน เจ้าก็รู้ว่าศิษย์พี่ของเจ้าเอาใจใส่เจ้าเพียงใด แม้ว่าเจ้าจะมีฐานะเป็นศิษย์น้องของเขาแต่ทว่าในใจของเขาก็ยกให้เจ้าเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า หลักฐานและสาวใช้ที่เป็นพยานต่างก็บ่งบอกว่าหลิวหยิงหลงเป็นผู้ลงมือทำร้ายเจ้า แต่ทว่ากลับไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่านางเป็นผู้ที่ลงมือทำจริงๆ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่อาจทำอะไรนางได้ ฉ่ายเวินตกใจอย่างยิ่ง “ไม่สามารถทำอะไรนางได้ ทั้งๆที่นางตกเป็นผู้ต้องสงสัยแต่ทำไมศิษย์พี่จึงยอมตบอต่งนางเข้าจวนอีก ผู้หญิงร้ายกาจถึงเพียงนั้น ศิษย์พี่กลับยอมแต่งนางเป็นชายา นั่นเป็นความสุขทั้งชีวิตของเขาเชียวนะ” จูเก๋อหมิงเอ่ยอย่างหมดหนทาง “เฉินเย่นเองก็ไม่มีทางเลือก เรื่องงานมงคลนี้เป็นราชโองการของฝ่าบาท หลักฐานที่มีก็ไม่แน่ชัด คำให้การจากสาวใช้เล็กๆคนหนึ่งก็ไม่อาจทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงเชื่อพระทัยได้ สุดท้ายเฉินเย่นก็ต้องแต่ง” “ถ้าเช่นนั้นยามนี้ข้าฟื้นขึ้นมาแล้วบอกว่านางเป็นผู้ร้ายที่ลงมือผลักข้าตกน้ำเล่า ท่านคิดว่าศิษย์พี่จะจัดการนางให้ข้าหรือไม่” ฉ่ายเวินมองสีหน้าของจูเก๋อหมิง นางสลบไสลไปสี่ปี ระหว่างนี้ความสัมพันธ์ของผู้หญิงคนนั้นและศิษย์พี่ของนางจะแน่นแฟ้นเพียงใดนางก็สุดจะรู้ นางไม่กล้ามั่นใจอะไรทั้งสิ้น จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ช่างมันเถิด ต่อให้สืบเรื่องนี้ต่อไปก็เปล่าประโยชน์” ดวงตากลมฉายแววอัดอั้น “แม้แต่ท่านก็พูดเช่นนี้หรือเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าข้าต้องเสียเวลาเปล่าๆไปถึงสี่ปีเลยไม่ใช่ หรือเจ้าคะ” จูเก๋อหมิงเอ่ยตอบนางเสียงต่ำ “หยิงหลงนางตายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว” ใบหน้าของฉ่ายเวินเปลี่ยนสี “อะไรนะ ตายไปแล้ว? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้” “ถ้าจะให้เล่าก็นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องเล่ากันยาว ความจริงแล้วตอนที่เฉินเย่นตบแต่งนางเข้ามาในจวนก็มึนตึงและเฉยชากับนางมาโดยตลอดเพราะเฉินเย่นเขาคิดว่านางเป็นคนที่ผลักเจ้าตกน้ำ ต่อมาเขาและมี่เหอก็เกิดความรู้สึกดีต่อกันจึงแต่งมี่เหอเข้ามาเป็นสนมในจวนอ๋อง ตลอดระยะเวลาสามปีมานี้เฉินเย่นไม่ได้ตบแต่งหญิงใดมาแทนที่ตำแหน่งพระชายาเลยสักคน มี่เหอเองก็ไม่ได้ขึ้นมาครองตำแหน่งแทนพี่สาวของตน แต่ทว่ามี่เหอเป็นนางสนมเพียงผู้เดียวในจวนนางจึงได้สิทธิ์ในการดูแลจวนอ๋องภายในทั้งหมดแทบจะเทียบเท่าตำแหน่งพระชายาเลยก็ว่าได้” แม้ว่าเสียงของจูเก๋อหมิงจะไม่ได้ดังมากนักแต่ฉ่ายเวินกลับได้ยินทุกถ้อยคำที่ท่านหมอหนุ่มเอ่ยออกมา เป็นเวลานานทีเดียวกว่านางจะหาเสียงของตนเองพบ “คนก็ตายไปแล้วสิบสวนต่อไปก็ไร้ประโยชน์!” ท้ายที่สุดนางก็เอ่ยปากอย่างปมดเรี่ยวแรง “พี่จูเก๋อเจ้าคะ ข้าเหนื่อยแล้วอยากพักแล้วเจ้าค่ะ” จูเก๋อหมิงลุกขึ้นยืนก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ได้ เจ้าก็นอนพักผ่อนให้เยอะๆเถิด เมื่อตื่นขึ้นมาก็ถือเสียว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่” ชายหนุ่มค่อยๆเป่าแสงเทียนที่อยู่บนโต๊ะให้ดับมอดลงจากนั้นก็หมุนหายออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้อย่างแผ่วเบา หลี่เฉินเย่นอุ้มร่างของชูเซี่ยจนมาถึงเรือนหรูอี้ ด้วยความที่เขาบาดเจ็บมาหลายต่อหลายครั้งนับไม่ถ้วน ต่อให้ฝีมือการรักษาของเขาจะไม่เข้าขั้นแต่ทว่าการรักษาบาดแผลเบื้องต้นของเขาเรียกได้ว่าชำนาญอย่างยิ่ง เขาสั่งการให้เสี่ยวซานจื่อไปนำยาจินชวงมาทั้งยังให้เอาน้ำอุ่นมาให้หนึ่งอ่างเพื่อทำความสะอาดบาดแผล ชายหนุ่มใส่ยาให้นางอย่างระมัดระวัง ยาชนิดนี้ยามที่ใส่บาดแผลจะแสบอยู่ไม่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นมาและถามนางอย่างใส่ใจ “เจ็บหรือไม่” ชูเซี่ยส่ายหน้า “ไม่เจ็บเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นถอนหายใจออกมา “จะไม่เจ็บได้อย่างไร เจ้ากลัวเปิ่นหวางจะเป็นห่วงใช่หรือไม่” กล่าวจบเขาก็เป็นฝ่ายที่ชะงักเสียเอง เขาหวนนึกไปถึงเมื่อครั้งก่อนที่นางเคยบอกว่าไม่มีความรู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย ความเจ็บปวดและหวาดกลัวก็เข้ามาครอบคลุมทั้งจิตใจของเขา ชายหนุ่มใส่ยาให้นางอย่างแผ่วเบา และหลังจากนั้นก็หยิบถ้วยน้ำให้นาง “กินน้ำสักหน่อยเถิด วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว นอนพักเร็วสักหน่อยก็แล้วกัน” ชูเซี่ยรับถ้วยชาในมือเขามาถือไว้เองจากนั้นก็ยกขึ้นดื่มอีกคำโต “ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด” หลี่เฉินเย่นวางถ้วยน้ำชาในมือนางลงจากนั้นก็เอ่ยเสียงทุ้ม “คืนนี้เปิ่นหวางจะไม่ไปไหน เปิ่นหวางจะอยู่ที่นี่กับเจ้า” ชูเซี่ยรับคำ “เจ้าค่ะ!” ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดคืนนี้นางจึงรู้สึกว่าจิตใจกระวนกระวายนัก นางอยากให้เขาคอยอยู่เคียงข้างนางเพื่อให้จิตใจของนางรู้สึกสงบใจลงมาได้บ้าง การมีเขาอยู่ข้างกายเช่นนี้ทำให้หัวใจของนางสามารถสะกดกลั้นความหวาดกลัวที่ปะทุขึ้นมาได้มากทีเดียว หลังจากที่ทั้งคู่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็จแล้ว ชูเซี่ยก็มานั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือบางดึงปิ่นปักผมออกจนเส้นผมยาวสลวยทิ้งตัวลงมากลางหลัง ทำให้นางดูงดงามและอ่อนหวานขึ้นหลายส่วน หลี่เฉินเย่นโอบกอดนางจากด้านหลังด้วยร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาคมมองภาพสะท้อนในกระจกทองเหลือง รูปลักษณ์ภายนอกแม้จะเปลี่ยนไปแต่ความรู้สึกในสายตาของเขาไม่เคยแปรเปลี่ยน เมื่อก่อนเป็นเช่นไรยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น ชูเซี่ยกุมมือของเขาไว้ ใบหน้าของนางส่งยิ้มหวานให้เขา “อย่าได้คิดมากเลย ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นแนบริมฝีปากลงบนเส้นผมที่ยาวสลวยของนางไม่ได้เอ่ยคำพูดใดใดขึ้นมาอีกเลย 
已经是最新一章了
加载中