ตอนที่ 76 ลำบากใจ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 76 ลำบากใจ
ต๭นที่ 76 ลำบากใจ แม้ว่าหลี่เฉินเย่นจะไม่ชอบสุนัขแต่ทว่าในยามนี้เจ้าถ่านป่วย ดังนั้นชูเซี่ยจึงต้องรับมันมาเลี้ยงในเรือนหรูอี้ชั่วคราว ตลอดสองวันมานี้หลี่เฉินเย่นไม่ยอมมาที่เรือนหรูอี้เลยสักครั้งทำให้ชูเซี่ยรู้สึกประหลาดใจนัก แต่ทว่านางก็คิดว่าเขาคงมีเรื่องยุ่งที่ต้องจัดการหรืออาจจะหาหนทางในการขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทอยู่ก็เป็นได้นางจึงไม่คิดจะสนใจอะไรมากนัก เสี่ยวฉิงชื่นชอบเจ้าถ่านอย่างยิ่ง ตอนที่อาการของเจ้าถ่านดีขึ้นแล้วนางก็ใช้น้ำอุ่นอาบน้ำให้เจ้าถ่านอย่างดี ระหว่างอาบน้ำก็อาบไปเล่นไป มองดูเจ้าถ่านสะบัดขนที่เปียกปอนนางก็หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ในวันที่สามมีคนจากวังหลวงมาหานางถึงจวนอ๋องกล่าวว่าโรคลมตะกังของฝ่าบาทกำเริบ ทรงมีรับสั่งให้ชูเซี่ยเข้าวังทำการรักษาให้พระองค์โดยด่วน ชูเซี่ยรู้สึกหวาดกลัว หากว่ากันตามจริงแล้วอาการของฝ่าบาทก็ดีขึ้นมากแล้ว ต่อให้อาการจะกำเริบก็ไม่สมควรจะกำเริบในช่วงนี้ นางรู้ดีว่านี่อาจเป็นแผนแต่ทว่าต่อให้รู้นางก็ไม่อาจถอยหนีได้ ตอนนี้คงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากหลี่เฉินเย่น แต่วันนี้หลี่เฉินเย่นเข้าค่ายทหารไปตั้งแต่เช้าแล้วกว่าจะกลับมาก็คงช่วงหัวค่ำ นางไม่มีทางเลือกนอกจากจำต้องตามข้าหลวงเดินทางเข้าวัง นางข้าหลวงนำทางชูเซี่ยมาจนถึงหน้าห้องทรงพระอักษร สีพระพักตร์ของฝ่าบาทไม่สู้ดีนัก ยามที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรมายังนางก็มีแต่ประกายเย็นเยียบ ชูเซี่ยย่อกายถวายบังคมรอให้ฝ่าบาทตรัสอะไรออกมาสักอย่าง ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้จึงจะค่อยๆตรัสคำพูดขึ้นมา “สองวันมานี้เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าวังมาหาเรา” ชูเซี่ยเอ่ยทูล “หม่อมฉันเห็นว่าอาการของพระองค์ดีขึ้นมากแล้วอีกทั้งยังไม่มีผู้ใดมารายงาน หม่อมฉันจึงคิดว่าวรกายของพระองค์แข็งแรงดียิ่ง ช่างเป็นเรื่องดี!” ฮ่องเต้ส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา “เรารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก คงเป็นเพราะโรคลตะกังกำเริบอีกแล้วเป็นแน่ เจ้ามาช่วยเรานวดสักหน่อยเถิด” สรุเสียงของพระองค์เต็มไปด้วยความเผด็จการและไม่พอพระทัยทำให้ชูเซี่ยไม่รู้จะทำเช่นไรดี ร่างบอบบางเดินไปหยิบกระเป๋าเข็มออกมาจากกล่องยาของตนแต่กลับถูกฮ่องเต้ตรัสห้ามไว้ “ไม่จำเป็นต้องใช้เข็ม เจ้าแค่มานวดให้เราก็พอ” “หากโรคลมตะกังของฝ่าบาทกำเริบจริงการนวดอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เลือดลมไหลเวียนได้เพคะ หม่อมฉันจำเป็นต้องฝังเข็มควบคู่ด้วย” ฮ่องเต้ขมวดพระขนง “เราบอกว่าไม่จำเป็นก็คือไม่จำเป็น!” ชูเซี่ยยืนกรานดังเดิม “ฝ่าบาทเพคะ ตอนนี้พระองค์ให้หม่อมฉันเข้าวังมาก็เพื่อรักษาอาการให้พระองค์ ในเมื่อเป็นการรักษาก็ขอให้พระองค์โปรดฟังคำที่หม่อมฉันเอ่ยออกมาด้วยเพคะ” ฝ่าบาททรงขมวดพระขนงจากนั้นก็ตรัสถามเสียงเย็น “เราขอถามเจ้า เจ้ากับเฉินเย่นเป็นอะไรกัน” ชูเซี่ยนิ่งงันไป ในใจก็คิดว่าพระองค์จะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สงสัยนางมาตลอดตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกเช่นนี้ หญิงสาวก้มหน้าลง จากนั้นก็ทูลตอบพระองค์ด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “หม่อมฉันและท่านอ๋องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเพคะ” ฝ่าบาททอดพระเนตรนางอย่างพิจารณา “เงยหน้าขึ้นมองเรา!” ชูเซี่ยหายใจลึกๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบพระเนตรของฮ่องเต้ ฮ่องแต่เพ่งพินิจมองหญิงสาวตรงหน้าเป็นสตรีที่อ่อนโยนแต่ก็ดื้อรั้น นางไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสาวงามเลยด้วยซ้ำ ในวังหลังแห่งนี้มีหญิงสาวที่งดงามเฉิดฉายกว่านางมากมาย แต่ทว่านางกลับเป็นสตรีที่ทำให้พระองค์เฝ้าฝันถึงทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านราชครูมาทำนายว่าพระองค์จะรักใคร่ในตัวหญิงผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทว่าก็ในวันนั้นเองที่อวิ่นกังเข้าเฝ้าพระองค์และบอกว่าพบเห็นนางและหลี่เฉินเย่นสนิทสนมกันอย่างยิ่ง ดวงตาของทั้งคู่ต่างก็แสดงความรักใคร่ชอบพอซึ่งกันและกัน นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้พระองค์อดตกพระทัยไม่ได้ จากนั้นความตกใจก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ พระองค์พยายามหักห้ามใจไม่ให้โกรธกริ้วโดยไร้เหตุผลถึงสองวัน แต่ในสองวันมานี้นางก็ไม่เข้าวังมาอีกเลย พระองค์ทรงครองบัลลังก์มาเกือบยี่สิบปี ตลอดระยะเวลายี่สิบปีมานี้ไม่เคยเลยสักครั้งที่พระองค์ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์กระวนกระวายเช่นนี้ ดังนั้นแม้ว่าพระองค์จะพยายามรักษาศักดิ์ศรีแห่งความเป็นกษัตริย์มากเพียงใดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความห่วงหานาง ท้ายที่สุดก็ทรงแสร้งป่วยเพื่อหลอกล่อให้นางเข้าวังมาหาตัวพระองค์เอง วรกายสูงยืนขึ้นก่อนจะสาวพระบาทไปหยุดอยู่ตรงหน้านางคล้ายกับวันนั้นที่พระองค์ตั้งใจจะบีบบังคับนางให้หนีไปไหนไม่ได้ ชูเซี่ยจ้องมองพระองค์ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางเอาแต่ถอยหนีไม่ยอมเผชิญหน้ากับปัญหาตรงหน้า แต่ในเมื่อพระองค์ทรงมีพระทัยให้นางจริงๆดูท่าแล้วนางคงต้องเอ่ยออกไปตามตรงจะดีที่สุด “ความหมายของฝ่าบาทหม่อมฉันเข้าใจดี หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระทัยที่พระองค์มอบให้แก่หม่อมฉัน แต่ทว่าครั้งหนึ่งหม่อมฉันเคยเอ่ยคำสาบานไปแล้วว่าชีวิตนี้จะขออุทิศให้แก่ผู้ป่วย อุทิศให้แก่วิชาการแพทย์ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวเพคะ” ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยอย่างยิ่ง “เหตุใดจึงได้เอ่ยถ้อยคำสาบานเช่นนี้ออกมาได้กัน ยิ่งไปกว่านั้นคำสาบานเช่นนี้ดูจะไร้สาระเกินไปหน่อยกระมัง เจ้ายังเป็นหญิงสาวอายุยังน้อยนักจะไม่คิดออกเรือนเลยได้อย่างไร” ชูเซี่ยทูลตอบ “แต่สำหรับหม่อมฉันแล้ว ความรักของบุรุษต่างก็เหมือนๆกันหมด ในวังหลังมีพระสนมมากมายนับไม่ถ้วน ครั้งหนึ่งพวกนางแต่ละคนต่างก็เคยมีช่วงเวลาความรักที่หอมหวาน เป็นหญิงสาวอ่อนวัยที่แสนน่ารักและงดงาม พวกนางต่างก็มอบกายถวายใจให้แก่ฝ่าบาท ได้แต่เฝ้าภาวนาให้ฝ่าบาทชายตามองสงสารพวกนางบ้าง แต่เมื่อนานวันเข้าความหวังเหล่านั้นก็ดับไปพร้อมกับความสาวและความงดงามของพวกนาง พวกนางยอมสละชีวิตทั้งชีวิตของตนเองเพื่อฮ่องเต้ เหตุใดจึงต้องใช้ชีวิตที่น่าสงสารถึงเพียงนี้กันนะ สำหรับหม่อมฉันแล้ว ชีวิตคนเรามีค่านัก ชีวิตที่มีค่ามักจะสั้นและคาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ หม่อมฉันไม่ต้องการเสียคุณค่าทั้งชีวิตเพื่อบุรุษเพียงผู้เดียว เสียเวลาอันมีค่าเพื่อความรักในช่วงสั้นๆเพียงเท่านั้น หม่อมฉันอยากใช้ชีวิตที่แสนสั้นของตนเองทำในสิ่งที่หม่อมฉันรักและมีคุณค่ามากกว่าเพคะ ขอให้ฝ่าบาททรงเมตตาหม่อมฉัน ให้หม่อมฉันได้เลือกทางเดินของตนเองด้วยเพคะ ทรงอย่าได้พระทัยร้ายกังขังหม่อมฉันไว้ในกรงทองที่แสนล้ำค้าแต่น่าหดหู่เช่นนี้เลย” เมื่อฝ่าบาททรงสดับฟังเช่นนั้นพระทัยก็กระตุก พระองค์ทอดพระเนตรมองชูเซี่ยอยู่นานแต่ก็ไม่อาจตรัสอะไรออกมาได้ ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจของนางออกมาจนหมด นางเพียงแค่เอ่ยคำพูดที่ตนเองตระเตรียมมาไว้อย่างดีแล้วต่างหากเล่า เพราะว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรพระองค์ไม่เพคยต้องพบเจอการถูกปฎิเสธมาก่อนและคงไม่ยินยอมที่จะถูกปฎิเสธเป็นแน่ แต่ทว่าเมื่อนางเอ่ยปากออกไปแล้วนั่นก็เท่ากับว่านางเองก็ต้องยอมรับว่านางได้ลงมือตัดเส้นทางในอนาคตของนางและหลี่เฉินเย่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเวลาเนิ่นนานฝ่าบาทจึงค่อยๆตรัสออกมาอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าคิดว่าการที่เจ้าอยู่กับเราจะเป็นการทำให้เจ้าต้องเสียเวลา เสียช่วงเวลาชีวิตอันมีคุณค่าของตนเองโดยเปล่าประโยชน์งั้นหรือ เจ้าไม่มั่นใจหรือว่าเราจะให้ความสุขกับเจ้าได้ เจ้าคิดจึงหรือว่าสักวันเราจะเบื่อหน่ายเจ้า เรารับรองได้ว่า...” “ฝ่าบาท!” ชูเซี่ยเอ่ยขัดขึ้นมา “ทรงอย่าได้ขัดขวางความตั้งใจของหม่อมฉันอีกเลย หม่อมฉันชื่นชอบชีวิตที่เรียบง่ายของตนเองอยู่แล้ว หม่อมฉันไม่ต้องการความสงสารของบุรุษมาทำให้หม่อมฉันต้องทำเรื่องที่ดูถูกตนเองเช่นนี้ หม่อมฉันไม่ต้องการแบบนี้” “เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง!” ฮ่องเต้ตรัสสุรเสียงทุ้มต่ำ ชูเซี่ยส่ายหน้า “ทว่าหม่อมฉันกลับเห็นว่าการที่คนสองคนได้มีวาสนามาพบกันนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมีความรักใคร่ลึกซึ้งต่อกันเพียงอย่างเดียวนะเพคะ หม่อมฉันเคารพนับถือพระองค์จากใจ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การนับถือหาใช่ความรู้สึกดั่งเช่นที่พระองค์ปรารถนาให้เป็น” ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง “เจ้าอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไปหน่อยเลย ใต้หล้านี้มีหญิงสาวมากมายที่ต้องการจะได้รับความรักจากเรา เจ้าโชคดีถึงเพียงนี้แต่กลับไม่เห็นค่าของมัน อย่าได้ท้าทายความอดทนของเรามากนัก เจ้าไม่รู้หรือว่าหากทำให้เรากริ้วเจ้าจะต้องพบเจออะไรบ้าง” เมื่อตรัสมาถึงตรงนี้ ชูเซี่ยก็ยิ้มผ่อนคลายดูไม่แยแสอย่างสิ้นเชิง “มีโทษอะไรที่หม่อมฉันไม่อาจทนได้เล่าเพคะ อย่างมากก็แค่ตาย!” ฮ่องเต้ทรงกริ้วขึ้นมาจริงๆ “ความหมายของเจ้าก็คือเจ้ายอมตายแต่ไม่ยอมถวายตัวเข้าวังงั้นหรือ ถ้าหากเรายังยืนกรานที่จะให้เจ้าเป็นสนมเล่าเจ้าจะทำเช่นไร” ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยด้วยถ้อยคำเฉียบขาด “เช่นนั้น ชีวิตนี้ของพระองค์ก็คงไม่อาจพบหม่อมฉันได้อีกเพคะ” ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทกลับไปนั่งลงเก้าอี้มังกร ขมวดพระขนงแน่น เส้นเลือดของพระองค์ที่ขมับปูดโปนขึ้นมาด้วยความเคร่งเครียด เมื่อหลายวันก่อนพระองค์ทรงโกนพระมัสสุของตนเองจนบัดนี้เป็นรอยเขียวครึ้มเพื่อให้ตนเองดูเยาว์วัยขึ้น พระองค์ทรงรู้ดีว่าตนเองก็อายุสี่สิบกว่าแล้ว พระทัยก็อดคาดเดาไม่ได้ว่าชูเซี่ยอาจจะไม่ยอมรับพระองค์เพราะด้วยอายุที่มากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตั้งแต่พระองค์ทรงครองราชย์มาไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดรับสั่งและเพิกเฉยต่อรับสั่งของพระองค์มาก่อน ดังนั้นเมื่อเจอหญิงสาวตัวเล็กๆปฎิเสธเช่นนี้ก็ทำให้ไม่รู้ว่าควรจะจัดการนางเช่นไรดี ผ่านไปสักพัก พระองค์ก็ถอนพระปัสสาสะ “เราจะให้เวลาเจ้าสามวัน เจ้าก็ลองกลับไปไตร่ตรองดูให้ถี่ถ้วนเถิด เราจะรอฟังคำตอบของเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวังนะ” ชูเซี่ยยังอยากเอ่ยอะไรอีกแต่ทว่าฝ่าบาทกลับห้ามนางไว้ “ไม่ต้องเอ่ยอะไรอีกแล้ว เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ควรใช้เวลาคิดให้ถี่ถ้วนจึงจะดี” ชูเซี่ยรู้ดีว่าว่าพระองค์ยอมให้นางอย่างถึงที่สุดแล้ว นางเองก็ไม่คิดจะต่อความยามสาวความยืดอีก ด้วยเกรงว่าจะถูกพระองค์ฝืนบังคับแทนการให้โอกาสนางกลับไปคิด หญิงสาวจึงย่อกายลงเล็กน้อย “หม่อมฉันทูลลาเพคะ!” เมื่อชูเซี่ยเดินออกมาจากห้องทรงอักษร ฉับพลันก็ร็สึกราวกับมีก้อนหินมากดทับหน้าอกจนนางหายใจไม่ออก นางพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าได้เพียงก้าวหัวสมองก็พล่าเบลอไปหมด หัวใจของนางหวาดกลัวไปหมด หรือว่าเวลาของนางกำลังจะหมดลงแล้ว? หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น เลือดในกายของนางเย็นเฉียบ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเศร้าเสียใจและเสียดายขึ้นมา นางจะไม่มีโอกาสได้บอกลาหลี่เฉินเย่นงั้นหรือ หญิงสาวค้ำกายลงกับราวระเบียงสักพัก เมื่อเสี่ยวเต๋อจื่อเห็นท่าทางของนางก็เดินมาถามอย่างเป็นห่วง “ท่านหมอเวิน ไม่สบายหรือขอรับ” ชูเซี่ยส่ายหน้า แต่จู่ๆภาพตรงหน้าก็มืดสนิท สองขาไร้เรี่ยวแรง จากนั้นร่างทั้งร่างก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทันที “ท่านหมอเวิน!” เสี่ยวเต๋อจื่อร้องอย่างขวัญเสีย “ใครก็ได้! ทหาร!” ฮ่องเต้ทรงเปิดประตูออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียก เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นภาพตรงหน้าก็ตกพระทัยจนพระพักตร์ซีดขาว ทรงรีบร้อนวิ่งไปโอบกอดร่างของชูเซี่ยไว้จากนั้นก็ตบหน้านางเบาๆ “เวินหน่วน เวินหน่วน เจ้าตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมา!” ชูเซี่ยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ จู่ๆแผลที่ขาของนางก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา ความเจ็บที่ถาโถมยิ่งทำให้นางหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่นางจะตายก็มีความเจ็บเช่นนี้เหมือนกัน นางพยายามจะสูดลมหายใจลึกๆแต่ก็ไม่อาจทำได้ หญิงสาวจับพระหัตถ์ของฝ่าบาทไว้แน่น “ข้า...ไม่อาจปล่อยวางเขาได้” ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบความมืดก็เข้าครอบงำนางอีกครั้งจนหมดสติไป มือของหญิงสาวตกลงข้างกาย ศีรษะของนางซบลลงในอ้อมพระกรของฝ่าบาท พระพักต์ฮ่องเต้ซีดเผือด ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์ไปอังใต้จมูก เมื่อเห็นว่านางยังมีลมหายใจก็ถอนปัสสาสะออกมาอย่างโล่งพระทัย วรกายสูงอุ้มชูเซี่ยขึ้นมาในอ้อมพระกรก่อนรับสั่งเสียงดัง “ตามหมอหลวง!” ฝ่าบาททรงอุ้มร่างของชูเซี่ยเข้ามาในห้องพักผ่อนที่ตั้งอยู่ในห้องทรงพระอักษร พระองค์วางนางไว้ที่ตั่งยาว อีกไม่นานหมอหลวงก็คงจะมาถึง หมอหลวงที่มาสองท่านคือหมอหลวงที่ครั้งหนึ่งชูเซี่ยเคยช่วยชีวิตเขา ท่านหมอซั่งกวนนั่นเอง อีกผู้หนึ่งก็คือหลงเฟย เมื่อหมอหลวงตรวจอาการของชูเซี่ย ฝ่าบาทก็ตรัสถามอย่างร้อนพระทัย “เป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดจู่ๆนางจึงหมดสติไปได้” หมอหลวงซั่งกวนกราบทูลฝ่าบาท “ทูลฝ่าบาท ร่างกายของท่านหมอเวินมีบาดแผลภายนอกอยู่มากมาย แม้แผลบางแผลจะมีโอกาสอักเสบขึ้นมาได้ แต่ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหา บาดแผลพวกนั้นเพียงแค่หมั่นทายารักษาก็สามารถหายได้ในไม่ช้า แต่สาเหตุที่นางหมดสติไปเป็นเพราะนางถูกพิษเรื้อรังพะย่ะค่ะ” “ถูกพิษ? ท่าทางนางเมื่อครู่ยังดีอยู่เหตุใดจึงถูกพิษไปได้” ฮ่องเต้ทรงตื่นพระทัยอย่างยิ่ง “นางถูกพิษอะไร มีวิธีแก้หรือไม่” หมอหลวงซั่งกวนเอ่ยทูล “ทูลฝ่าบาท ในแคว้นฝั่งตะวันตกมีพิษชนิดหนึ่งเรียกว่าพิษเรื้อรัง พิษไม่ร้ายแรงแต่ก็ต้องใช้เวลารักษาอยู่หลายวันจึงจะพ้นขีดอันตรายพะย่ะค่ะ พิษเรื้อรังชนิดนี้ ภายในครึ่งเดือนจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น แต่อาจเป็นเพราะท่านหมอเวินมีบาดแผลตามร่างกาย ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอกว่าคนธรรมดา ดังนั้นพิษจึงสำแดงออกมาได้เร็วขึ้นทำให้นางถึงกับหมดสติไป แต่ก็นับว่าโชคดีเหลือเกินที่นางหมดสติ มิฉะนั้นหากนางยังกินยาพิษชนิดนี้ต่อไปอีกสักสิบวันก็คงไม่สามารถช่วยได้อีกแล้ว” ฮ่องเต้สดับฟังก็ตกพระทัย “ใครกันที่ตั้งใจจะฆ่านาง” หลงเฟยจึงเอ่ยทูล “ฝ่าบาท วินิจฉัยจากอาการของนางแล้วแสดงว่าต้องโดนพิษมาอย่างน้อยครึ่งเดือน หากจะให้สอบสวนก็ไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากพิษชนิดนี้จะมีรสชาติที่แปลกประหลาดจึงต้องผสมกับอาหารเพื่อกลบกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัวของมัน ดังนั้นหากจะตรวจสอบก็ต้องเริ่มจากห้องครัวในที่ที่ท่านหมอเวินอาศัยอยู่!” ฮ่องเต้ทรงออกรับสั่งลงไป “ไปเชิญท่านอ๋องหนิงอานเข้าวังเดี๋ยวนี้!” ซั่งกวนรีบเอ่ยขัดขวาง “ขอฝ่าบาททรงระงับโทสะด้วยพะย่ะค่ะ บางทีท่านหมอเวินอาจจะรู้อยู่แล้ว นางเองก็เป็นถึงท่านหมอ นางย่อมต้องรู้ว่าร่างกายของตนเองต้องพิษ แต่นางอาจจะไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือวางยานาง ถ้าอย่างไรรอให้นางฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยถามไม่ดีกว่าหรือพะย่ะค่ะ ทรงอย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเลยพะย่ะค่ะ” แต่ฝ่าบาททรงไม่เห็นเป็นเช่นนั้น “หากนางรู้จริงมีหรือนางยังจะกินอาหารพวกนั้นลงไป แม้ว่านางจะเป็นหมอแต่ก็เป็นเพียงแค่หมอที่เชี่ยวชาญการฝังเข็ม นางอาจจะไม่รู้เรื่องพิษก็เป็นได้ เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนางแน่” ตรัสด้วยความเคียดแค้นพระทัย 
已经是最新一章了
加载中