ตอนที่ 77 พ่อลูกคุยกัน
1/
ตอนที่ 77 พ่อลูกคุยกัน
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 77 พ่อลูกคุยกัน
ตนที่ 77 พ่อลูกคุยกัน ชูเซี่ยค่อยๆลืมตาขึ้นมาในที่สุด หัวของนางยังมึนงงและเหนื่อยล้า นางจึงเลือกที่จะเอนกายนิ่งๆอยู่เช่นนั้นต่อไป ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ฮ่องเต้จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “หม่อมฉันยังไม่ตายหรือ?” เมื่อทรงเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาแล้วก็คลายพระทัยลง แต่ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้ทรงกริ้วขึ้นมา “เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็เอ่ยคำพูดไม่เป็นมงคลเสียแล้ว เจ้าต้องไม่ตายแน่ เราไม่อนุญาติให้เจ้าตาย” ชูเซี่ยเอื้อมมือมากุมหน้าผากไว้ หญิงสาวพยายามตั้งสติ นางเพิ่งตื่นมาได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไปดี นางหันไปถามหมอหลวงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เหตุใดข้าจึงหมดสติไปได้” อาการปวดที่ขาหายไปแล้ว หัวใจของนางค่อยๆคลายความหวาดกลัวลงไป ดูท่าแล้วเวลานางคงยังพอเหลืออยู่บ้าง ท่านหมอซั่งกวนเอ่ยตอบ “ท่านถูกพิษ” ชูเซี่ยนิ่งอึ้ง “ถูกพิษ? เป็นไปได้อย่างไร” หมอซั่งกวนขมวดคิ้วถามนาง “ท่านไม่รู้หรือ พิษชนิดนี้ไม่ใช่พิษที่ร้ายกาจ ท่านเองก็เป็นถึงหมอ เหตุใดจึงไม่รู้เล่า” ชูเซี่ยส่ายศีรษะช้าๆ “ข้าไม่รู้จริงๆ” ฮ่องเต้สีพระพักตร์มึนตึง “แล้วคนข้างกายของเจ้าเล่าเชื่อถือได้หรือไม่ บางทีอาจจะเป็นพวกนางที่เป็นคนวางยาเจ้าก็เป็นได้” ตั้งแต่มามาและเสี่ยวจี๋ถูกส่งตัวออกจากจวนไป คนที่คอยดูแลปรนนิบัตินางก็เหลือเพียงเสี่ยวฉิงผู้เดียวเท่านั้น แต่ทว่าเสี่ยวฉิงก็พอจะระแคะระคายตัวตนที่แท้จริงของนางอยู่บ้างเพราะฉะนั้นเสี่ยวฉิงคงไม่วางยาพิษนางหรอก ในหัวของนางตีกันสับสนวุ่นวายไปหมด นางไม่เคยคิดระวังตัวคนรอบข้างของนางแม้แต่น้อย ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเห็นท่าทางลังเลของนางก็ถอนพระปัสสาสะออกมา “ผู้หญิงโง่ เจ้าคงไม่เคยสังเกตุเลยใช่หรือไม่ หากวันนี้เจ้าไม่ได้เข้าวังเจ้าคงไม่อาจรักษาชีวิตน้อยๆของตัวเองไว้ได้แล้ว” มีหรือชูเซี่ยจะมีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับฮ่องเต้ หญิงสาวเพียงแค่ฝืนยิ้มออกมา “แต่หม่อมฉันก็ยังยืนกรานคำเดิมนะเพคะ” ฮ่องเต้ทรงตรัสอย่างเหนื่อยหน่าย “ถ้าเจ้าจะห่วงเรื่องนี้ เจ้าลองคิดหาทางจับตัวการที่วางยาเจ้าออกมาไม่ดีกว่าหรือ แต่ช่างมันเถิด หลายวันนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งกลับจวนอ๋องก่อนดีกว่า อยู่ที่วังนี่ พระราชวังกว้างใหญ่เจ้าอยากไปไหนก็ไปชอบอยู่ที่ไหนก็อยู่” ชูเซี่ยเห็นว่าหมอหลวงทั้งสองยังอยู่อีกทั้งฮ่องเต้ยังทรงตรัสกับนางด้วยวาจารักใครนั่นก็รู้สึกยุ่งยากขึ้นมา อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้จะให้นางบันดาลโทสะก็ไม่ควร ดังนั้นหญิงสาวจึงบอกว่านางรู้สึกเวียนหัวต้องการพักเสียหน่อยให้คนออกไปเป็นดีที่สุด ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้หมอหลวงไปจัดยามาให้นางจากนั้นก็ไล่ออกไปให้หมดเหลือเพียงพระองค์ที่ประทับอยู่ข้างกายนาง ชูเซี่ยจึงทำได้เพียงพลิกกายเข้าด้านในจากนั้นก็พยายามฝืนหลับตาลง ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมารบกวนการนอนของนางแม้แต่น้อย ทรงทำเพียงทอดพระเนตรมาที่นางนิ่งๆเท่านั้น จนในที่สุดชูเซี่ยก็ยอมแพ้หันกายกลับมาจ้องมองพระองค์ จากนั้นก็เอ่ยอย่างหมดหนทาง “ฝ่าบาททรงตรัสว่าจะให้เวลาหม่อมฉันสามวันไม่ใช่หรือเพคะ” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมาที่นางอย่างครุ่นคิด “ก่อนที่เจ้าจะหมดสติไป เจ้าบอกว่าเจ้าไม่อาจปล่อยวางเขาได้ เขาคนนั้นคือใคร” ชูเซี่ยนิ่งไป “หม่อมฉันกล่าวเช่นนั้นหรือเพคะ” นางลองย้อนนึกกลับไปก็ดูเหมือนว่าจะเอ่ยออกไปเช่นนั้นจริงๆ ตอนนั้นนางนึกว่าตนเองจะตายเสียแล้วจึงอยากเอ่ยถ้อยคำออกมามากมาย โชคดีเหลือนเกินที่นางไม่ได้เอ่ยออกไป มิฉะนั้นหากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องของนางและหลี่เฉินเย่นก็ไม่รู้จะเกิดปัญหาอะไรตามมา หญิงสาวเอ่ยทูลด้วยสีหน้าใสซื่อ “หม่อมฉันเลี้ยงสุนัขและลาอย่างละหนึ่งตัวเพคะ ลาตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงที่อาจารย์มอบให้หม่อมฉัน มันอยู่ข้างกายหม่อมฉันมานานเหลือเกิน” ฮ่องเต้ทรงสรวลออกมา “ลา? เจ้าเลี้ยงลางั้นหรือ เอาอย่างนี้ หากว่าเจ้าคิดถึงมัน เราจะส่งคนไปรับมันเข้าวังดีหรือไม่” ชูเซี่ยรีบร้อนเอ่ยห้ามทันที “ฝ่าบาทเพคะ ความจริงแล้วให้ข้าพักสักหน่อยก็สามารถออกจากวังได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ นอกจากนี้คนที่วางยาทำร้ายข้าก็ยังหาตัวไม่พบ ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ข้าอยากกลับไปหาตัวผู้ลงมือด้วยตนเองเจ้าค่ะ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุใดจึงต้องลงมือวางยาข้าด้วย ข้าไปทำอะไรให้” นางเอ่ยออกมาด้วยความร้อนรนจนลืมใช้คำว่า ‘หม่อมฉัน’ ไปเสียสนิท เอ่ยคำพูดเช่นนี้เบื้องพระพักตร์ความจริงมีโทษมหันต์ แต่ทว่าโชคดีเหลือเกินที่พระองค์ไม่ได้ถือสาหาความนาง ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย “จะให้เราส่งเจ้ากลับไปพบเจออันตรายอีกงั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้วางยาเจ้า ศัตรูอยู่ในที่มืด เจ้าอยู่ในที่แจ้ง ” ชูเซี่ยได้ยินดังนั้นก็รีบร้อนห้ามพระองค์ไว้ “ฝ่าบาททรงอย่าได้เอ่ยเรื่องที่หม่อมฉันถูกวางยาพิษที่จวนอ๋องให้ท่านอ๋องรู้เลยนะเพคะ” แต่ฝ่าบาทมีหรือจะเชื่อนาง “เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นในจวนอ๋องเราจึงต้องสอบสวนอย่างถึงที่สุด ยังดีที่ยามนี้คนที่ถูกวางยาพิษเป็นเจ้า หากวันหน้ามันเกิดคิดร้ายต่อเฉินเย่นขึ้นมา เฉินเย่นเองก็คงไม่ทันได้ตั้งรับสถานการณ์เช่นนี้แล้วเกิดเหตุร้ายกับบุตรชายของข้าจะทำเช่นไรเล่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เรื่องนี้เจ้าก็ยกให้เป็นหน้าที่ของเราเถิด เราจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้แน่” ชูเซี่ยทราบดีว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ผู้ที่จะถูดนางหลอกได้โดยง่าย ความจริงแล้วนอกจากจะต้องการตามหาผู้ร้ายแล้วนางยังอยากกลับไปพักฟื้นที่จวนอ๋องมากกว่า ในวังหลวงแห่งนี้นางรู้สึกไม่คุ้นเคย นางอยู่แล้วอึดอัดใจยิ่งนัก ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรนาง จากนั้นก็ถอนพระปัสสาสะ “ก็ได้ เราจะให้เวลาเจ้าไปคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน คงต้องให้เวลาเจ้าเสียหน่อยจึงจะดี ตอนนี้เจ้าก็นอนพักฟื้นไปก่อน เราจะสั่งคนให้ไปเชิญเฉินเย่นเข้าวังมารับเจ้าก็แล้วกัน แต่ทว่าเจ้าต้องรับปากเราเสียก่อนว่าจะไม่ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย มิฉะนั้นต่อให้ยังไม่ครบกำหนดเราก็จะรับเจ้าเข้าวังอย่างไม่มีข้อแม้!” หลี่เฉินเย่นเพิ่งเดินทางกลับมาจากค่ายทหาร ชายหนุ่มเพิ่งจะเดินผ่านประตูมาก็ได้ยินจากพ่อบ้านว่ากงกงจากวังหลวงมารออยู่นานแล้ว แต่ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เขาเลือกจะถามถึงหญิงสาวในดวงใจของตนเองก่อนมากกว่า “หมอเวินเข้านอนหรือยัง” เมื่อพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ย “วันนี้หมอเวินเดินทางเข้าวังไปรักษาอาการฝ่าบาทขอรับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย! ท่านหมอเวินมาหาท่านอ๋องเมื่อช่วงเช้าแต่ท่านกลับเดินทางไปค่ายทหารเสียก่อน เพราะเป็นรับสั่งจากฝ่าบาทท่านหมอเวินจึงไม่อาจขัดรับสั่งได้นางจึงยอมเดินทางเข้าวังแต่โดยดี แต่เบื่อบ่ายกงกงกลับเดินทางมาที่จวนอ๋องดูท่าจะมีเรื่องเร่งด่วน ท่านอ๋องก็รีบไปดูหน่อยเถิดขอรับ” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเปลี่ยนสีทันที “เหตุใดจึงเข้าวัง พระอาการของเด็จพ่อดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ แล้วนางยังจะเข้าวังทำไมอีก ไม่มีเรื่องแล้วยังจะหาเหาใส่หัวตนเองอีก” ท่านพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยแก้ตัวให้ “เป็นรับสั่งของฝ่าบาทนะขอรับ ท่านหมอเวินจะขัดขืนได้อย่างไรกันเล่า ท่านหมอเวินจึงสั่งให้ข้ามารอพบท่านเพื่อไม่ให้จวนอ๋องเกิดความวุ่นวายขึ้นขอรับ” หลี่เฉินเย่นรีบร้อนวิ่งเข้าไปที่โถงรับรองทันที เมื่อเสี่ยวเต๋อจื่อเห็นว่าท่านอ๋องมาก็โค้งกายทำความเคารพ “ถวายบังคมท่านอ๋อง ไอหย่า กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับมาได้ กระหม่อมรอท่านเกือบทั้งวันเลยนะพะย่ะค่ะ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” เสี่ยวเต๋อจื่อเอ่ยขึ้น “ขอเชิญท่านอ๋องเร่งเดินทางเถิด ยามนี้ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างยิ่งแล้ว ไว้กระหม่อมค่อยอธิบายให้ท่านอ๋องฟังระหว่างทางจะดีกว่า” กล่าวจบก็รีบร่างสูงของหลี่เฉินเย่นออกเดินทันที เมื่อขึ้นมาบนรถม้าหลี่เฉินเย่นก็ถามขึ้นอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว “เสี่ยวเต๋อจื่อ รีบพูดออกมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าท่านหมอเวินไปทำอะไรให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัยงั้นหรือ” หัวใจของเขาคาดเดาหวาดกลัวไปต่างๆนาๆ เหตุใดวันนี้นางจึงเข้าวังกันนะ หรือเป็นเพราะวันนี้นางเข้าวังไปเพื่อคุยเรื่องของเขาและนางทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้วขึ้นมา? จากนั้นเขาก็คิดขึ้นในใจว่า ‘หากนางพูดเรื่องระหว่างเราไปแล้วก็คงไม่ต้องอ้อมค้อมกันอีก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงต้องบีบบังคับให้เสด็จพ่อถวายสมรสพระราชทานให้ได้’ เสี่ยวเต๋อจื่อเอ่ยขึ้น “ทำอะไรให้ทรงไม่พอใจเรื่องนี้กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ รู้เพียงว่าหลังจากที่ท่านหมอเวินและฝ่าบาทพูดคุยกันอยู่ในห้องทรงอักษรสักพัก กระหม่อมก็ได้ยินเสียงฝ่าบาททรงเกรี้ยวกราดยิ่งนัก จากนั้นเมื่อท่านหมอเวินกลับออกมาเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็หมดสติไป ต่อมาหมอหลวง...” “หมดสติ? แล้วตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง” หลี่เฉินเย่นลนลานจนใบหน้าซีดขาว ฟังจากถ้อยคำของเสี่ยวเต๋อจื่อ สวรรค์ หรือว่า...ไม่ เขาไม่กล้าคิด เขาไม่อยากจะคิดจริงๆ เสี่ยวเต๋อจื่อเห็นท่าทางร้อนใจของท่านอ๋องก็เอ่ยต่อไปอีก “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลพระทัยไปหรอกพะย่ะค่ะ หมอหลวงบอกว่าเป็นเพราะว่านางถูกวางยาพิษ ฝ่าบาทจึงไม่ยินยอมให้นางออกจากวัง แต่ทว่าไม่ว่าอย่างไรท่านหมอเวินก็ยังดึงดันที่จะกลับไปที่จวนอ๋องให้ได้ ฝ่าบาทไม่อาจห้ามนางได้จึงให้กระหม่อมออกมาเชิญท่านอ๋องเข้าวังไปรับนางพะย่ะค่ะ” “ถูกพิษ? เหตุใดจึงถูกวางยาพิษได้ ใครเป็นคนวางยาพิษนาง” ใบหน้าหล่อเหลาของหลี่เฉินเย่นอึมครึมไปถนัดตา “นางถูกวางยาในวังหลวงงั้นหรือ” “ไม่ใช่พะย่ะค่ะ หมอหลวงกล่าวว่านางถูกวางยาในจวนอ๋อง เป็นพิษเรื้อรัง แต่เป็นเพราะระยะนี้ร่างกายของท่านหมอเวินอ่อนแอกอปรกับวันนี้นางอาจมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจทำให้พิษสำแดงได้เร็วขึ้นกว่าเดิม หมอหลวงยังกล่าวอีกว่าโชคดีเหลือเกินที่พิษกำเริบเร็ว ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไว้อีกสักครึ่งเดือนต่อให้เทวดาก็ยังช่วยชีวิตนางไว้ไม่ได้” เสี่ยวเต๋อจื่อในยามนั้นอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยกันจึงได้ยินคำพูดของหมอหลวงชัดทุกถ้อยคำ หลี่เฉินเย่นได้ยินดังนั้นเหงื่อก็ผุดพรายเต็มหน้าผาก สวรรค์ แค่คิดเขาก็หวาดกลัวไปหมด หากว่าวันนี้พิษไม่สำแดงอาการออกมา เขาก็คงไม่มีวันรู้ว่านางกำลังถูกวางยาพิษ หัวใจเขาเต้นแรงจนเจ็บปวดไปหมด เขารอมาสามปีแล้ว คิดมาตลอดว่าคงไม่อาจพบนางได้อีกแล้ว แต่ทว่ายามนี้นางกลับมาข้างกายเขาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องไม่ดีกับนางอีกเป็นอันขาด เมื่อรถม้าวิ่งเข้ามาในวังหลวงก็จอดลงใกล้ๆกับบริเวณท้องพระโรง หลี่เฉินเย่นกระโดดลงมาจากรถม้าเสี่ยวเต๋อจื่อที่ตามลงมาก็เอ่ยเรียกเขาคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงมากว่าปกติเล็กน้อย “แม้ว่ากระหม่อมจะไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาในห้องทรงพระอักษร แต่ทว่ากระหม่อมเองก็รับใช้ฝ่าบาทมาเนิ่นนานหลายปี หม่อมฉันย่อมเข้าพระทัยฝ่าบาทไม่น้อย มันจะเป็นการดีที่สุดหากพระองค์ยอมวางมือเพื่อไม่ให้ทำลายสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนะพะย่ะค่ะ” แม้ว่าเสี่ยวเต๋อจื่อจะไม่ได้อายุมาก แต่ทว่าเขาก็อายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ภายในวังหลวงมาเนิ่นนานทั้งยังจัดได้ว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ หลี่เฉินเย่นเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮา ถือได้ว่าเป็นโอรสสายตรง โอกาสและความเป็นไปได้ที่เขาจะได้รับตำแหน่งรัชทายาทมีสูงกว่าผู้ใด ตัวเขาเองในภายภาคหน้าก็อยากเลือกที่จะติดตามหลี่เฉินเย่นผู้นี้ ยามนี้เขาจึงเลือกที่จะเตือนอีกฝ่ายด้วยความปรารถนาดี หลี่เฉินเย่นได้ยินที่เสี่ยวเต๋อจื่อเอ่ยเตือนในใจก็เกิดความรู้สึกลังเล ชายหนุ่มก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าก่อนหันกลับมากล่าวกับเสี่ยวเต๋อจื่อ “เจ้ากล่าวได้ไม่ผิด ขอบใจที่เอ่ยเตือนสติเปิ่นหวาง” เสี่ยวเต๋อจื่อเห็นว่าท่านอ๋องยอมฟังคำเตือนของตนก็ยิ้มให้อย่างนอบน้อม “ท่านอ๋องก็ทำใจให้สบายเถิดพะย่ะค่ะ หากจะร้อนใจก็เอาไว้ค่อยร้อนใจตอนที่กลับไปถึงจวนอ๋องเถิด” หลี่เฉินเย่นรับคำพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็เดินต่อ เมื่อเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษร เสี่ยวเต๋อจื่อก็เข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ในห้องพักด้านใน เดิมทีนึกว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วที่ปล่อยให้พระองค์ทรงรออยู่นาน แต่ไม่เพียงจะไม่โกรธพระองค์กลับเพียงตรัสออกมาเรียบๆ “มาแล้วหรือ?” “ทูลฝ่าบาท วันนี้ท่านอ๋องเข้าค่ายทหารตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะกลับมาก็ยามไฮ่เข้าแล้ว เพราะเป็นเช่นนั้นจึงเพิ่งเข้ามาในวัง” “อืม เรารู้แล้ว ให้เขาเข้ามาเถิด” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ให้เสี่ยวเต๋อจื่อออกไป ชูเซี่ยหลับไหลไปตั้งแต่เริ่มเข้าช่วงยามจื่อ หญิงสาวง่วงนอนและอ่อนเพลียหลังจากกินยาขับพิษที่หมอหลวงต้มมาให้ ทำให้ใบหน้าของนางยามนี้ซีดขาวดูน่าสงสารและมีเหงื่อผุดพรายตลอดเวลา หลี่เฉินเย่นที่เห็นใบหน้าซีดขาวของนางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา แต่ทว่าเมื่อยอยู่เบื้องพระพักรต์ เขาไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรประเจิดประเจ้อให้มากนัก “ถวายบังคมเสด็จพ่อ!” ฮ่องเต้ทรงตรัสถามบุตรชายอย่างอ่อนโยน “วันนี้เหนื่อยหรือไม่” ในหัวใจของหลี่เฉินเย่นรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา ในใจลึกๆของเขายังคงห่วงหาและรอคอยความรักของเสด็จพ่ออยู่เสมอมา “ทูลเสด็จพ่อ ลูกไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย” ฝ่าบาททรงรับคำ “เราคาดหวังในตัวของเจ้ามาก หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวังนะ” หลี่เฉินเย่นพยักหน้า “ลูกจะทำสุดความสามารถ อุทิศตนเพื่อชาติบ้านเมืองพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าอย่างพอพระทัยอย่างยิ่ง “อืม เช่นนั้นก็ดี เจ้าก็รับท่านหมอเวินออกจากวังเถิด นางถูกวางยาพิษ เจ้าจงสั่งให้จูเก๋อหมิงหาทางรักษาพิษให้นางด้วยเข้าใจหรือไม่ ยังมีอีกเราขอสั่งให้เจ้าตามหาตัวผู้ลงมือวางยานางออกมาให้ได้ เราเกลียดที่สุดก็คือคนที่ใช้วิธีสงปรกในการพรากชีวิตผู้อื่นด้วยวิธีต่ำช้าเช่นนี้” “รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นลูกขอรับตัวท่านหมอเวินออกจากวังเลยนะพะย่ะค่ะ” หลี่เฉินเย่นร้อนใจอยากจะพาชูเซี่ยออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ทว่าเมื่อเขาทำท่าจะไปอุ้มร่างบอบบางขึ้นมาก็ชะงักไป จากนั้นก็รู้สึกว่าไม่สมควรแสดงความสนิทสนมกับนางต่อหน้าเสด็จพ่อจะเป็นเรื่องดีกว่า ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้น “เจ้าปล่อยให้นางพักอีกสักหน่อยเถิด ไม่พักในวังหลวงก่อนสักคืนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางออกจากวังก็ได้” มีหรือหลี่เฉินเย่นจะยินยอม “เสด็จพ่อ เกรงว่าหากให้นางค้างคืนในวังหลวงจะทำให้ผู้ที่ลอบวางยาพิษเกิดความหวาดระแวงได้ มันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นนะพะย่ะค่ะ เมื่อถึงตอนนั้นทางเราจะหาตัวผู้ร้ายได้ลำบาก” แต่เมื่อเห็นพระพักตร์ของเสด็จพ่อย่ำแย่ก็เอ่ยทูลต่อไปอีก “หรือไม่เราก็รอให้ท่านหมอเวินฟื้นขึ้นมาเสียก่อน จากนั้นก็ถามความคิดเห็นของนาง หากนางอยากออกจากวังลูกก็จะพานางออกจากวังไปทันที แต่หากว่าร่างกายของนางยังอ่อนเพลียไม่อาจเดินทางได้ลูกก็จะให้นางอยู่ค้างคืนที่นี่ดีหรือไม่พะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ทรงเห็นด้วยกับเขา “อืม ก็ดี งั้นก็ให้นางตัดสินใจก็แล้วกัน” จากนั้นก็ทรงทอดพระเนตรมาที่หลี่เฉินเย่นจากนั้นก็ตรัสขึ้น “เราสองพ่อลูกไม่ได้พูดคุยกันมานานแล้ว เจ้าก็อยู่พูดคุยกับเราไปพลางๆก็แล้วกันนะ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 77 พ่อลูกคุยกัน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A