ตอนที่ 79 หญิงงามชั่วร้าย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 79 หญิงงามชั่วร้าย
ต๭นที่ 79 หญิงงามชั่วร้าย หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้วหันกายไปด้านข้างมองชูเซี่ยที่ยังคงหลับไหลแต่สีหน้าดูเคร่งเครียดราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้ายอยู่ข้างกายเขา ชายหนุ่มยกมือหนาขึ้นตบที่ไหล่บอบบางเบาๆราวกับกำลังขับกล่อมนางให้หลับฝันดี จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มใบหน้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มเบาๆ “นอนต่อเถิดเด็กดี!” คิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นของชูเซี่ยค่อยๆคลายลงช้าๆและใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายมากขึ้นช้าๆ จากนั้นหญิงสาวก็หลับลึกอีกครั้ง หลี่เฉินเย่นลุกขึ้นมาแต่งกายให้เรียบร้อย ภายนอกห้องมีเยงฉิงที่ทำสีหน้าลำบากใจคอยห้ามไม่ให้โหร่วเฟยเข้ามาในห้อง “ท่านหมอเวินยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ พระสนมค่อยมาอีกครั้งตอนเย็นดีหรือไม่เจ้าคะ” “ยังไม่ตื่น? นางไม่สบายหรือเปล่า เจ้าไม่ได้ดูแลท่านหมอเวินหรืออย่างไรกัน” น้ำเสียงของโหร่วเฟยแฝงไปด้วยความเข้มงวด “ไม่ใช่เจ้าค่ะ หาไม่ได้ พระสนมค่อยมาอีกทีตอนเย็นเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉิงไม่กล้าบอกว่าหลี่เฉินเย่นอยู่ข้างในห้องจึงได้คอยห้าม โหร่วเฟย “ก็ได้ ให้นางพักผ่อนให้เยอะหน่อยก็ดี” เสี่ยวฉิงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “หม่อมฉันน้อมส่งพระสนม!” หลี่เฉินเย่นเปิดประตูออกมา โหร่วเฟยที่กำลังจะหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูนางก็หันกลับมาดู เมื่อเห็นว่าผู้เปิดประตูเป็นใครรอยยิ้มงามที่แย้มอยู่ก็กลายเป็นแข็งค้าง “ท่านอ๋อง?” หลี่เฉินเย่นพยักหน้า “เจ้ามาหานาง มีธุระอะไรงั้นหรือ” โหร่วเฟยส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย “ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะมาพูดคุยกับนางเท่านั้น แต่ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่ที่นี่ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอตัวก่อนนะเพคะ!” จากนั้นนางก็หุนหันเดินจากไป แต่ทว่าแข้งขานางกลับอ่อนแรงจนสาวใช้ข้างกายรีบถลามาพยุง “พระสนมระวังเพคะ” หลี่เฉินเย่นหันมาถามเสี่ยวฉิง “นางมาที่นี่ทุกวันเลยหรือ” เสี่ยวฉิงเอ่ยตอบท่านอ๋อง “ทูลท่านอ๋อง โหร่วเฟยมักจัมาหาท่านหมอเวินอยู่เสมอเลยเพคะ นางดีต่อท่านหมอเวินมากเลยเพคะ” หลี่เฉินเย่นหันไปมองเงาเบื้องหลังของโหร่วเฟยก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “สามปีมานี้ เปิ่นหวางปล่อยปละละเลยนางมากไปจริงๆ” สามปีมานี้เขานึกว่าตลอดว่านางเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชูเซี่ยต้องตาย ทำให้เขาเย็นชากับนางมากเหลือเกิน ในเมื่อชูเซี่ยก็กลับมาแล้วเขาก็คงต้องถึงเวลาที่เขาต้องยอมให้อภัยนางเสียที สายคมเหลือบไปเห็นห่อกระดาษในมือของเสี่ยวฉิงก็สงสัยจึงเอ่ยปากถาม “นี่คืออะไร” เสี่ยวฉิงยิ้มอย่างนอบน้อม “นี่เป็นชาสมุนไพรที่พระสนมมอบให้ท่านหมอเวินเพคะ ท่านหมอเวินชื่นชอบชาสมุนไพรยิ่งนัก เมื่อโหร่วเฟยทราบก็มักจะนำใบชาสมุนไพรมามอบให้ท่านหมออยู่เสมอเพคะ” หลี่เฉินเย่นบังเกิดความสงสัยขึ้นมา ชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบชาสมุนไพร จากนั้นก็เปิดออกมาพิจารณาดู “เจ้าไปเชิญท่านหมอจูเก๋อมาเดี๋ยวนี้” เสี่ยวฉิงเห็นว่าใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเคร่งเครียดแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามออกไปได้แต่หมุนกายวิ่งออกไปตามท่านหมอจูเก๋ออย่างรวดเร็ว เมื่อจูเก๋อหมิงมาถึงชูเซี่ยก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยจึงออกมาพูดคุยกันที่ห้องโถงด้านนอก ท่านอ๋องยื่นห่อใบชาไว้ตรงหน้าสหายรักของตน “เมื่อวานชูเซี่ยหมดสติในวังหลวง หมอหลวงกล่าวว่านางถูกพิษทั้งยังถูกพิษนี้มาหลายวันแล้ว เปิ่นหวางจึงสงสัยว่ามีคนตั้งใจเอาชีวิตนาง” จูเก๋อหมิงนิ่งอึ้งไปจากนั้นก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “แล้วนางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” “หมอหลวงจัดเทียบยาขับยาพิษให้นางแล้ว แต่นางจำเป็นต้องใช้เวลาหลายวันในการขับพิษนี้ออกจากร่างกายจนหมดเจ้าช่วยตรวจดูห่อชาใบนี้หน่อย มียาพิษเจือปนอยู่ในนี้หรือไม่” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม จูเก๋อหมิงเปิดห่อชาสมุนไพรออกจากนั้นก็ตรวจดูและพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดจากนั้นก็ให้เสี่ยวฉิงนำใบชาเหล่านี้ไปต้มมา ท่านหมอหนุ่มจ้องมองถ้วยชาในมือของตนจากนั้นก็จุ่มเข็มเงินลงไป สุดท้ายก็ส่ายศีรษะออกมา “ไม่มีพิษ!” หลี่เฉินเย่นมองเขาอย่างไม่เชื่อายตา “เจ้าตรวจดูละเอียดแล้วหรือ ในจวนนี้นอกจากมี่เหอแล้วยังจะมีผู้ใดกล้าลงมือลอบทำร้ายนางอีก” จูเก๋อหมิงยืนกราน “ไม่มีพิษจริงๆ ข้ายืนยันได้!” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นลึกล้ำลงหลายส่วน “หากไม่ใช่นางจะเป็นผู้ใดไปได้ เห็นที่จะต้องเริ่มสืบจากคนใกล้ตัวนาง” จูเก๋อหมิงหันมาเอ่ยกับสหาย “รอให้นางฟื้นขึ้นมาข้าจะลองตรวจชีพจรนางดูอีกครั้งเพื่อที่จะตรวจสอบให้แน่ชัดว่านางถูกพิษตั้งแต่เมื่อใด พวกเราจะได้เริ่มสืบหากันอีกครั้ง แต่ทว่าเราจะทำให้เรื่องนี้เอิกเกริกไม่ได้เป็นอันขาด” หลี่เฉินเย่นก็เห็นด้วย ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ดูท่าเปิ่นหวางต้องหาองครักษ์ที่ไว้ใจได้มาคอยอารักขาข้างกายนางเสียแล้ว ไม่มีใครคอยดูแลนางเปิ่นหวางอดห่วงไม่ได้จริงๆ” จูเก๋อหมิงเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าคงจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น “เกิดเรื่องขึ้นหรือ?” ดวงตาคมของหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเย็นเยียบ “เสด็จพ่อทรงหลงรักนางและต้องการให้นางเข้าวังเป็นพระสนม” จูเก๋อหมิงตกใจจนผุดลุกขึ้นมามองหน้าของหลี่เฉินเย่นอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “นี่เขา...ทำไมถึงกล้า? ชูเซี่ยเป็นถึงหลานสะไภ้ของพระองค์ไม่ใช่หรือไงกัน” หลี่เฉินเย่นเงยหน้ามองเขา “แต่ทว่าเรื่องนี้มีเพียงพวกเราที่รู้” “แล้วเหตุใดจึงไม่สารภาพออกไปตามตรง ต่อให้มีความผิดอยู่บ้างแต่สถานการณ์มันก็คงไม่แย่ไปกว่านี้หรอก” จูเก๋อหมิงไม่อาจรับได้จริงๆ เขามองหลี่เฉินเย่นอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย หลี่เฉินเย่นเอ่ยอย่างหมดหนทาง “ไม่ทันแล้วล่ะ เสด็จพี่ของข้าซื้อตัวท่านราชครูไว้ทั้งยังทูลต่อเสด็จพ่อว่าต้องมอบตำแหน่งพระชายาองค์ราชทายาทให้พระชายาหนิงอานที่เสียชีวิตไปเพื่อแก้ไขภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น คำทำนายของราชครูเหมือนเป็นการบีบบังคับเสด็จพ่อกลายๆว่าให้แต่งตั้งเปิ่นหวางขึ้นเป็นรัชทายาท หากเสด็จพ่อรู้ว่าชูเซี่ยยังไม่ตายเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไรเล่า อย่างไรเสียเรื่องนี้เสด็จพี่กับราชครูก็คงปรึกษากันมาอย่างดีแล้ว เปิ่นหวางไม่อาจเสี่ยงให้ชูเซี่ยต้องมาตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง เมื่อวันก่อนเสี่ยวเต๋อจื่นบอกกับเปิ่นหวางว่าท่านราชครูมาทำนายว่าท่านหมอเวินผู้นี้เป็นผู้มีวาสนาสูงส่ง เด็กที่เกิดจากนางในภายภาคหน้าจะเป็นยอดกษัตริย์อันเกรียงไกร ดังนั้นเสด็จพ่อจึงทรงดำริว่าชูเซี่ยจะต้องเป็นเนื้อคู่ของเขาเป็นแน่ หรืออีกในแง่หนึ่งก็คือพระองค์ไม่มีทางยอมให้นางได้ออกเรือนกับใครอื่นแน่ เพราะว่าหากคำทำนายเป็นเช่นนั้นจริง บุตรชายของนางจะเป็นกษัตริย์อันเกรียงไกรที่ได้ยึดครองใต้หล้า หากนางแต่งกับคนแซ่อื่นก็เท่ากับว่าย่อมเป็นภัยกับตระกูลซ่งที่ครองแคว้นของเราเป็นอย่างยิ่ง” จูเก๋อหมิงยิ้มเย็น “นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเหนื่อยล้าไปหมด “เสด็จพ่อทรงเป็นคนหัวรั้น แม้ว่าเปิ่นหวางและเสด็จพี่จะเป็นบุตรชายแท้ๆแต่พระองค์ทรงไม่ยอมให้มอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่พวกเราเพราะในพระทัยลึกๆของพระองค์ก็ยังทรงระแวงพวกเราอยู่เสมอ ความจริงพระดำริของพระองค์พวกเราก็พอจะรู้อยู่บ้าง นั่นก็คือหากมีท่านอ๋องน้อยที่เพิ่งคลอดออกมา พระองค์ก็คงมอบตำแหน่งให้เป็นรัชทายาท จากนั้นพระองค์ก็ยังสามารถยืดเวลาครองราชได้อีกหลายปี ทั้งยังสามารถควบคุมรัชทายาทไว้ในมือของตนได้อีกด้วย” จูเก๋อหมิงนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ “ไม่แปลกที่พระองค์จะทรงมีความคิดเช่นนี้” ที่มาของบัลลังก์ฮ่องเต้ในอดีตเดิมทีก็มีคนไม่น้อยที่รู้ถึงความเป็นมาของมัน หลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ในสมัยที่ฝ่าบาทยังเป็นเพียงรัชทายาทนั้น ยังนุ่มและเลือดร้อน พระองค์ทรงเคยพยายามสร้างผลงานมากมาย แต่ก็ผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ทรงได้รับคำตำหนิจากอดีตฮ่องเต้อยู่หลายต่อหลายครั้งเช่นกัน บางครั้งถึงขนาดทรงกริ้วจนเกือบจะถูกถอนออกจากตำแหน่งรัชทายาทเลยก็มี แต่เบื้องหลังของรัชทายาทก็มีขุนนางที่มากด้วยอำนาจมากมายคอยหนุนหลัง และยังช่วยกันหาหนทางบีบให้อดีตฮ่องเต้ทรงลงจากบัลลังก์มังกร อดีตฮ่องเต้ก็ทรงไม่เคยนึกถึงว่ารัชทายาทจะเป็นผู้มีส่วนในการหวังยึดครองอำนาจของตนทำให้ไม่ทันได้ตั้งรับ สุดท้ายเหล่ากองกำลังทหารก็ไม่อาจกลับมาจากค่ายเพื่อปกป้องบัลลังก์ของอดีตฮ่องเต้ได้ทันการณ์ หลังจากที่ฮ่องเต้ถูกบีบให้ลงจากบังลังก์แล้ว หนึ่งเดือนหลังจากนั้นก็ทรงสวรรคต แม้ว่าจะถูกป่าวประกาศออกไปทั่วทั้งแว่นแคว้นว่าพระองค์ทรงประชวรแต่ทว่าก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าความจริงแล้วพระองค์ทรงเลือกที่จะปลิดชีพของตนเองไปต่างหากเล่า และแน่นอนว่าเรื่องที่คนนอกต่างรู้ก็คือพระองค์ทรงประชวรอย่างหนักจนจำเป็นต้องสละบัลลังก์มังกรให้แก่องค์รัชทายาท อีกทั้งก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะสวรรคตนั้น องค์รัชทายาทก็ยังคงดูแลอยู่ข้างๆสามวันสามคืนไม่ยอมออกห่างไปไหน ทำให้พระองค์ถูกสรรเสริญจากเหล่าชาวบ้านว่าเป็นลูกยอดกตัญญู เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีตคงจะทำให้พระองค์เกิดความฝังใจไม่มากก็น้อย จนป่านนี้ก็ยังทรงไม่ยินยอมมอบตำแหน่งรัชทายาทให้โอรสเลยสักคน เพราะเกรงว่าหากแต่งตั้งตำแหน่งนี้ขึ้นมาจะมีการก่ออำนาจไว้เบื้องหลังเพื่อมาโค้นล้มอำนาจของพระองค์ และเพราะเรื่องนี้เองเจิ้นหยวนอ๋องจึงสบโอกาสในการใช้การตายของชูเซี่ยมาบีบฮ่องเต้ให้มอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่หลี่เฉินเย่นก็เพื่อที่จะให้พระองค์เกิดความสงสัยหวาดระแวงในตัวของหลี่เฉินเย่นนั่นเอง ในยามนี้หลี่เฉินเย่นเป็นแม่ทัพที่รบชนะมาหลายสงคราม ทั้งยังมีสมญานามว่าแม่ทัพอินทรีย์ ครอบครองกองกำลังทหารมากมาย ฮ่องเต้ที่ทรงหวาดระแวงในตัวของเขาอยู่แล้ว แต่ทว่าเมื่อมีคำทำนายของท่านราชครูเข้ามาอีก ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ของหลี่เฉินเย่นอันตรายยิ่งนัก “นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเราก็ทำได้เพียงแค่รองั้นหรือ มันต้องมีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้บ้างสิ” จูเก๋อหมิงรู้สึกหมดหนทาง สถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้พวกเขาเริ่มหมดหนทางมากขึ้นทุกขณะ หลี่เฉินเย่นวางมือลงบนหัวเข่าของตนเองจากนั้นก็บีบมันไว้แน่นจนขึ้นเส้นเอ็น ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ่มต่ำ “เมื่อวานพระองค์บอกให้เปิ่นวางสมควรหาพระชายาใหม่ได้แล้ว ทั้งยังจะให้เสด็จแม่ฮองเฮาเป็นผู้เฟ้นหาสตรีมาให้เปิ่นหวาง ในพระทัยของเสด็จพ่อคิดอย่างไร เปิ่นหวางรู้ดีที่สุด แต่ทว่าเปิ่นหวางจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาได้สมปรารถนาแน่” จูเก๋อหมิงจ้องมาที่เขาเขม็ง “ไม่ยอมอ่อนข้อ? เจ้าจะทำอะไรได้เล่า เฉินเย่น ในตอนนี้พระองค์พยายามหาทางกำจัดเจ้าอยู่นะ ถ้าหากเจ้ากล้าขัดรับสั่ง ผลจะเป็นอย่างไร เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจไม่ใช่หรือไงกัน” ความรู้สึกไร้อำนาจและอ่อนแอเช่นนี้ทำให้หลี่เฉินเย่นรู้สึกด้อยค่าเหลือเกิน เขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ในสมัยก่อนเสด็จพ่อก็ทรงมีพี่น้องมากมาย แต่ท้ายที่สุดก็ถูกกำจัดไปหมด ที่เหลือรอดมาได้ก็มีเพียงเสด็จลุงเก้าเท่านั้น ความจริงแล้วพระองค์ทรงรักเสด็จลุงผู้นี้มากที่สุด แต่ทว่าสิ่งที่เขารักมากกว่าก็คือบัลลังก์มังกรต่างหาก หากมีผู้ใดกล้าหมายปองในบัลลังก์ของพระองค์ พระองค์ก็จะเสียสติคุ้มคลั่งขาดความยั้งคิดขึ้นมา แม้แต่สายเลือดแท้ๆเขาก็ยังสละได้ สระคนรัก สละครอบครัว สละบุตร แต่ไม่อาจสละบัลลังก์ได้ อำนาจทำให้คนที่ได้ครอบครองมันเปลี่ยนไปได้เป็นคนละคน ความจริงแล้วยามที่จูเก๋อหมิงเดินเข้ามาชูเซี่ยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว แม้ว่าทั้งคู่จะเดินออกไปคุยกันที่ระเบียงที่ค่อนข้างห่างไกล แต่ทว่าบทสนทนาของพวกเขา นางก็สามารถได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ เมื่อเสี่ยวฉิงเข้ามาเห็นชูเซี่ยลืมตาขึ้นมาแล้วก้เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ท่านหมอเวินเจ้าคะ ดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อคืนตอนที่ชูเซี่ยกลับมาที่เรือนก็เป็นท่านอ๋องที่อุ้มนางกลับมา อีกทั้งวันนี้ท่านหมอยังนอนหลับถึงสายก็ยังไม่ตื่นทำให้นางคิดไปเองว่าอีกฝ่ายจะต้องป่วยเป็นแน่ เวอนอี้เอ่ยออกมาเสียงเบา “ข้าไม่เป็นอะไร แค่เมื่อวานเหนื่อยเกินไปหน่อยจึงนอนยาวไปหน่อยก็เท่านั้น” “ถ้าเช่นนั้นข้าไปเรียนท่านอ๋องก่อนนะเจ้าคะ ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าหากท่านหมอตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ให้ไปเรียนเจ้าค่ะ” เมื่อกล่าวจบเสี่ยวฉิงก็เดินออกไปที่ระเบียงอีกฝั่งทันที ครู่ต่อมาหลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงก็เข้ามาในห้องพร้อมกัน จูเก๋อหมิงสั่งให้เสี่ยวฉิงออกไปจากห้องก่อนเพื่อที่ตนจะได้ตรวจชีพจรให้แก่ชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นก็ยืนอยู่ข้างๆคอยมองสลับระหว่างนางและจูเก๋อหมิงไปมา คิ้วขมวดด้วยความเคร่งเครียด “เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่เฉินเย่นถามขึ้นทันทีที่จูเก๋อหมิงตรวจชีพจรให้นางเสร็จ จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเครียด “พิษชนิดนี้มีชื่อว่า ดวงใจนารี เป็นพิษเรื้อรัง หากรัในปริมาณมากก็จะทำให้คลื่นไส้อาเจียน ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต กลับกันหากว่าได้รับในปริมาณน้อยๆพร้อมกับอาหารในทุกๆวัน นานเข้าจะทำให้พิษกระจายเข้าสู่ปอดเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้” “ดวงใจนารี?” ชูเซี่ยหวาดกลัวเล็กน้อย “ชื่อไพเราะถึงเพียงนี้แต่ทว่ากลับถูกนำมาตั้งชื่อยาพิษเสียนี่ ช่างน่าเสียได้” จูเก๋อหมิงยิ้มเย็น “ไพเราะหรือ ดวงใจนารีเป็นพิษที่ร้ายกาจชนิดหนึ่ง พิษชนิดนี้มักจะแพร่หลายอยู่ในวังหลังของเหล่านางสนมแคว้นต่างๆ พิษเรื้อรังชนิดนี้จะทำให้คนที่รับพิษค่อยๆตายไปอย่างช้าๆ ทำให้ผู้ที่วางยาพิษรอดตัวไปได้เสียทุกครั้ง เพราะว่าพิษชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในวังหลวงมันจึงถูกตั้งชื่อว่าดวงใจนารีอย่างไรเล่า” ชูเซี่ยที่ได้ยินก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว เรื่องพวกนี้ปกตินางเคยได้ยินได้ดูมาจากโทรทัศน์หรือในนวนิยายเท่านั้น ไม่เคยนึกว่าจะได้มีโอกาสเจอกับตัวเอง เมื่อมาคิดดุแล้ววังหลังของเหล่านางสนมก็ช่างน่ากลัว เพราะพวกนางต่างก็ชิงดีชิงเด่นทำทุกวิถีทางให้ตนเองอยู่รอดและโดดเด่นให้ได้ ถึงแม้ว่าเรื่องพวกนี้จะไม่ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ แต่คนรุ่นหลังเช่นนางต่างก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันมีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ ความจริงแล้วหากไม่มีเรื่องที่ฝ่าบาทหมายมาดจะให้นางไปถวายตัวเป็นสนมในวังแล้วล่ะก้ นางเองก็คงไม่เคยนึกเก็บเรื่องพวกนี้มานใจนักหรอก แต่ทว่านางยังจำคำพูดที่ฝ่าบาททรงตรัสกับนางหลังจากที่ทรงทราบว่านางถูกวางยาพิษได้ทุกคำ หากว่านางเข้าวังไปแล้ว คนอย่างนางที่ขาดความระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้คงตายแบบไม่รู้ตัวแน่ๆ แต่พระองค์ก็ยังยืนกรานว่าจะให้นางเป็นสนมของพระองค์อยู่ดี หลี่เฉินเย่นกอบกุมมือของนางเอาไว้ สิบนิ้วประสานกันมั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “ไม่ต้องกลัวไปหรอก มีจูเก๋ออยู่ตรงนี้ เจ้าไม่มีทางเป็นอะไรไปได้หรอก” ดวงตาของชูเซี่ยฉายแววซาบซึ้ง หญิงสาวยิ้มออกมา ความหวาดกลัวและความเศร้าหมองในจิตใจมลายหายไปจนสิ้น “ข้าทราบเจ้าค่ะ!”
已经是最新一章了
加载中