ตอนที่ 80 หยีบดาวคว้าจันทร์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 80 หยีบดาวคว้าจันทร์
ต๭นที่ 80 หยีบดาวคว้าจันทร์ ร่างกายของฉ่ายเวินฟื้นตัวได้ไวมาก ภายในเวลาเพียงแค่สิบวันนางก็สามารถลงจากเตียงเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว แต่เพราะร่างกายจะยังอ่อนแออยู่บ้างจึงได้รับอนุญาติเพียงแค่เดินไปมาในเรือนของตนเท่านั้น แต่เพียงเท่านั้นก็ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีของใครหลายๆคนอยู่ดี วันนี้ชูเซี่ยก็มาฝังเข็มให้นางตามปกติ ฉ่ายเวินเมื่อรู้ว่าชูเซี่ยจะมาก็สั่งให้สาวใช้เตรียมขนมและสำรับไว้รอต้อนรับชูเซี่ย หญิงสาวนั่งลงตรงหน้าชูเซี่ย วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวธรรมดา แต่เพราะว่าอากาศค่อนข้างหนาวจึงถูกสาวใช้ข้างกายบังคับให้สวมผ้าคลุมสีแดงปักลาดลายสีเงินทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อความอบอุ่น ใบหน้างามแดงระเรื่อเข้ากันได้ดีกับสีของเสื้อคลุมยิ่งนัก ฉ่ายเวินมองใบหน้าของท่านหมอหญิงตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง “ท่านหมอเวิน หากไม่ได้ท่านจนป่านนี้ข้าก็คงนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆนะเจ้าคะ” กล่าวพลางนางก็ยื่นมือไปให้ชูเซี่ยตรวจชีพจรของตนเอง ชูเซี่ยเอื้อมมือมาตรวจชีพจรของอีกฝ่าย “จะกล่าวเช่นนี้ไปทำไมกัน ข้าเป็นท่านหมอ นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว นอกจากนี้ท่านอ๋องก็มอบข้าตอบแทนให้ข้าสูงลิ่วเชียวล่ะ” ฉ่ายเวินก้มลงมองมือของตนที่อีกฝ่ายกำลังตรวจก็เอ่ยขึ้นมา “อ่อ จริงสิ ท่านกับศิษย์พี่ของข้าเป็นอะไรกันหรือ” ชูเซี่ยกล่าวยิ้มๆ “จะเป็นอะไรไปได้ ก็เป็นเพียงสหายธรรมดาๆเท่านั้น” “ถ้าเช่นนั้นท่านจะรับข้าเป็นสหายด้วยอีกคนได้หรือไม่เจ้าคะ หากว่าข้ามีสหายเป็นถึงหมอเทวดาจะต้องเป็นเกียรติมากแน่ๆเจ้าค่ะ” ฉ่ายเวินถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ชูเซี่ยชื่นชอบในความไร้เดียงสาของนางยิ่งนัก “เช่นนั้นก็ดี แต่ข้าว่าเจ้ามาเป็นน้องสาวของข้าดีกว่า” ฉ่ายเวินดีใจอย่างยิ่ง “จริงหรือ ท่านยอมให้ข้าเป็นน้องสาวของท่านหรือเจ้าคะ” ชูเซี่ยปล่อยมือของนาง “มีน้องสาวที่ทั้งงดงามและเฉลียวฉลาดเช่นเจ้าเป็นโชคของข้าแล้วล่ะ” ฉ่ายเวินลุกขึ้นยืนจากนั้นก็โค้งกายคำนับนาง “เช่นนั้นน้องขอคารวะพี่สาว!” ชูเซี่ยยิ้มแย้มอย่างมีความสุข นางเอื้อมมือไปดึงร่างของฉ่ายเวินไว้ “ลุกมานั่งนี่เถิด ระหว่างพี่น้องจะมีพิธีรีตรองให้มากความไปทำไมกันเล่า ร่างกายเจ้าฟื้นตัวเร็วมาก อีกไม่กี่วันก็คงออกไปเดินเล่นนอกจวนได้แล้วล่ะนะ” ฉ่ายเวินยิ้มอย่างยินดี “ข้าอดทนรอไม่ไหวที่จะออกไปเที่ยวแล้วล่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างหนึ่งข้าเบื่อพวกโจ๊ะและน้ำแกงจะแย่ ข้ากินทุกมื้อกินทุกวันจนตัวข้าจะกลายเป็นถังน้ำอยู่แล้ว น่าเบื่อยิ่งนัก หากว่าตอนนี้มีเนื้อชิ้นใหญ่วางอยู่ตรงหน้าข้าจะต้องกินมันคำเดียวหมด” ชูเซี่ยยิ้มขำ “เด็กโง่ ช่วงนี้ท้องของเจ้างดกินของคาวและของมันไปก่อน กินได้แค่โจ๊กกับน้ำแกงเพียงเท่านั้น ผ่านไปอีกไม่กี่วันจึงจะเริ่มกินข้าวได้ เข้าใจหรือไม่” ฉ่ายเวินมองขนมที่ถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะสวยงาม “อ้า ถ้าเช่นนั้นอาหารพวกนี้ข้าก็ได้แต่มองแต่ไม่อาจกินได้สินะ พี่สาว ท่านก็รีบๆกินเถิด หากว่าข้าไม่ได้กินแต่ถ้าเห็นท่านกินก็คงจะมีความสุขมากขึ้นแน่ๆเจ้าค่ะ” เดิมทีชูเซี่ยก็ไม่อยากอาหารเท่าใดนัก แต่เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายออดอ้อนของอีกฝ่ายนางก็อดที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมากินไม่ได้ ฉ่ายเวินถามขึ้นอย่างอิจฉา “อร่อยหรือไม่เจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันข้าคงจะได้กินบ้างแล้ว” ชูเซี่ยเห็นท่าทางไร้เดียวสาของนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “จริงสิ ถ้าเช่นนั้นก็ให้จูเก๋อออกยาเคลือบกระเพาะให้เจ้า เจ้าจะได้กินข้าวได้เร็วขึ้นดีหรือไม่” ฉ่ายเวินเอื้มมือมากุมมือของนางไว้ “เมื่อก่อนข้าใฝ่ฝันอยากมีพี่สาวมาตลอด ตอนนี้ก็มีแล้ว ข้ารู้สึกดีมากเลยเจ้าค่ะ” ตอนที่นางพูดออกมาหลี่เฉินเย่นก็เดินเข้ามาพอดี ชายหนุ่มได้ยินบทสนทนาของสาวสาวทุกคำตั้งแต่พ้นประตูเรือนเข้ามา “ทำไมหรือ ตอนนี้มีพี่สาวแล้วก็ลืมศิษย์พี่อย่างข้างั้นหรือ มีศิษย์พี่อย่างข้าให้ความรู้สึกไม่ดีงั้นหรือ” ฉ่ายเวินยิ้มประจบ “ผู้ใดจะลืมท่านได้ ผู้อื่นข้าก็ลืมได้แต่ศิษย์พี่ข้าไม่มีวันลืมแน่นอนเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ข้าอาจจะเรียกท่านหมอเวินว่าพี่สาว แต่ในภายภาคหน้าข้าอาจจะต้องเรียกนางว่าอาซ้อก็เป็นได้” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นมีความสุขขึ้นมาทันตา “หืม เรื่องนี้เจ้าจะพูดส่งเดชไม่ได้นะ ไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากไหนกัน ต่อให้ศิษย์พี่อยากแต่งก็ไม่แน่ว่านางจะยอมออกเรือน” พูดพลางชายหนุ่มก็เดินไปนั่งลงข้างๆชูเซี่ย มือหนาเอื้อมไปโอบที่ไหล่บอบบางของชูเซี่ย “จริงหรือไม่ท่านหมอเวิน” ชูเซี่ยหัวเราะขำขณะที่ปัดมือของเขาออก “พอได้แล้ว ท่านไม่กลัวฉ่ายเวินล้อท่านหรือ!” ใบหน้าของฉ่ายเวินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างเขาหรือจะกลัวผู้อื่นล้อ เมื่อก่อนเขาก็เคยแสดงท่าทางเช่นนี้กับชิงเอ๋อเช่นกัน แต่ทว่าน่าเสียดายที่คนที่ชิงเอ๋อชอบกลับเป็นพี่หนิวเสียนี่ ไม่ใช่เขา” หลี่เฉินเย่นอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเขกหน้าผากของสาวน้อยช่างจ้อ “เรื่องก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเจ้าจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาเพื่ออะไรกัน แต่พูดขึ้นมาแล้ว เปิ่นหวางก็ไม่ได้ข่าวคราวของชิงเอ๋อมานานมากแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้นางกับอาหนิวจะเป็นเช่นไรบ้าง” ชูเซี่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “ชิงเอ๋อคือผู้ใดหรือเจ้าคะ ข้าไม่เคยได้ยินท่านกล่าวถึงนางมาก่อน” ฉ่ายเวินชิงตอบกลับก่อน “ชิงเอ๋อเป็นศิษย์พี่หญิงของข้า นางเป็นสตรีที่งดงาม ทั้งยังจิตใจกว้างขวาง เมื่อหลายปีก่อนศิษย์พี่ไปสารภาพรักกับนางแต่กลับทำให้นางตกใจจนหนีไปพี่หนิว จนป่านนี้ก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวของคนทั้งคู่อีกเลยเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยเหลือบไปมองหลี่เฉินเย่นอย่างไม่น่าเชื่อ “นึกไม่ถึงว่าท่านก็มีช่วงเวลาเช่นนี้!” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นแดงระเรื่อ “เมื่อก่อนเปิ่นหวางเพิ่งจะสิบกว่าปีเท่านั้นจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือความรัก แต่ยามนี้มาย้อนกลับไปนึกก็อดที่จะขำไม่ได้ ตอนนั้นชิงเอ๋อเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนใจดี นางยิ้มง่าย ชอบช่วยเหลือผู้คน เปิ่นหวางเห็นว่านางเป็นหญิงสาวที่ดีก็คิดว่านั่นเป็นความรัก” ชูเซี่ยเอ่ยออกมาเสียงดัง “นั่นเขาเรียกว่าความรักที่บริสุทธิ์ไงล่ะเจ้าคะ!” “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร” หลี่เฉินเย่นปรายตาดุ ชูเซี่ยพูดออกมาด้วยท่วงท่าสบายๆ “เหตุใดจะไม่รู้เล่า ข้าก็เคยเป็นเด็กสาวมาก่อนนะเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นนิ่งไป “เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เคยชอบผู้อื่นมาก่อน?” “แน่นอนเจ้าค่ะ ตอนข้ายังเป็นสาวน้อยก็มีคนมาชื่นชอบถึง สาม ห้า ไม่สิ เจ็ดคนเจ้าค่ะ ความรักพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดามากนะเจ้าคะ” ความจริงแล้วชูเซี่ยก้กล่าวเกินจริงไปบ้าง เวลาว่างของนางมักจะหมดไปกับหนังสือในห้องสมุดเสียมากกว่า แม้ว่าจะมีคนมาจีบนางไม่น้อยก็จริงแต่สุดท้ายคนพวกนั้นก้หนีไปเองเพราะนางมักจะบังคับให้อีกฝ่ายมาใช้เวลาอ่านหนังสือในห้องสมุดกับนางเสียส่วนใหญ่ ดวงตาคมเบิกกว้าง “มีมากกว่าหนึ่งคนอีกหรือ สวรรค์ เจ้านี่ช่างเป็นหญิงสาวเจ้าชู้จริงๆ!” ฉ่ายเวินหัวร่อจนแทบจะหงายตกเก้าอี้ “มีคนหึงเสียแล้ว กินน้ำส้มเปรี้ยวไปหมด พอได้แล้วเจ้าค่ะ พวกท่านเลิกมาทะเลาะกันและแสดงความรักกันต่อหน้าข้าได้แล้วเจ้าค่ะ เคยนึกถึงข้าบ้างหรือไม่เจ้าคะ ข้ายังเป็นสาวน้อยที่ยังไม่มีคู่นะเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นก็หันกลับมามองนาง “ถ้าเจ้าอยากออกเรือน ศิษย์พี่ย่อมหาชายหนุ่มที่ดีพร้อมมาให้เจ้าเลือกอย่างแน่นอน” ชูเซี่ยหัวเราะ “ท่านไม่ยุติธรรมเลย ข้าเองก็อยากเลือกนะเจ้าคะ!” หลี่เฉินเย่นปั้นหน้าหล่อเหลา “ไม่จำเป็นหรอก ทั่วทั้งแคว้นนี้บุรุษที่เหมาะกับเจ้าที่สุดและเพียบพ้อมที่สุดก็คือชายหนุ่มตรงหน้าเจ้านี่แล้ว” ชูเซี่ยและฉ่ายเวินพร้อมใจกันยกมือขึ้นตีไปที่ร่างของชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ “ไร้ยางอาย!” หลี่เฉินเย่นหลบทันแต่กลับคว้ามือของฉ่ายเวินไว้ “แต่ว่ากันตามจริงแล้วเจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้วจริงๆ สมควรหาครอบครัวดีๆไว้ออกเรือนได้แล้ว” ฉ่ายเวินชักมือกลับมองไปที่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่าข้าจะไม่ออกเรือน!” หลี่เฉินเย่นส่งสายตาดุ “เจ้าจะไม่ออกเรือน? หากเจ้าไม่ออกเรือนแล้วศิษย์พี่จะมีหน้าไปพบท่านอาจารย์ได้อย่างไร เปิ่นหวางไม่สนใจว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ยอม เปิ่นหวางจะจัดการเอง!” เริ่มแรกก็ยิ้มหัวเราะกันดีๆอยู่แต่จู่ๆกลับกลายเป็นเรื่องจริงจังเสียอย่างนั้น ดวงตาของฉ่ายเวินแดงก่ำ “ท่านคงเห็นว่าข้าเป็นตัวเกะกะใช่หรือไม่ ท่านไม่อยากดูแลข้าแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้พยายามขับไล่ไสส่งข้าไปให้ผู้อื่นเพื่อที่จะมีหน้ากลับไปพบท่านพ่อข้าใช่หรือไม่” หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย พี่เพียงแต่ห่วงความสุขของเจ้าในภายภาคหน้าเพียงเท่านั้น” ฉ่ายเวินเงยหน้ามองเขา “ความสุขของข้าข้าย่อมไปไขว่คว้ามาเอง ท่านรู้หรือว่าสำหรับข้าแล้วความสุขคืออะไร ท่านไม่เคยรู้อะไรเลยต่างหากเล่า ถ้าหากเปลี่ยนเป็นข้าที่จะหาหญิงสาวมาแต่งเป็นพระชายาของท่านบ้างเล่า ท่านยินยอมหรือไม่” หลี่เฉินเย่นถูกคำพูดของนางย้อนจนจุก ชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าเด็กดื้อคนนี้ เจ้ากล้ายอกย้อนศิษย์พี่งั้นหรือ” จู่ๆชูเซี่ยก็เอ่ยห้ามทัพขึ้นมา “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องทั้งชีวิตของหญิงสาว ไม่ใช่ว่าจะเลือกมั่วๆได้ สำหรับหญิงสาวแล้วผู้ที่เข้ากับนางได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นผู้ชายที่เหมาะกับเราที่สุดต่างหากเล่า ข้าเชื่อว่าหากว่าท่านยอมให้ฉ่ายเวินเป็นผู้เลือกเอง นางจะต้องเจอคนที่เหมาะสมกับนางที่สุดแน่นอนเจ้าค่ะ!” ฉ่ายเวินเม้มปากตวัดสายตามองหลี่เฉินเย่นอย่างขัดเคือง “มีแต่พี่สาวที่เข้าใจข้าที่สุด” กล่าวจบนางก็ผุดลุกขึ้นทันที “เอาล่ะเจ้าค่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว พวกท่านมีเรื่องที่จะพูดคุยหรืออยากไปทำอะไรก้ไปเถิดเจ้าค่ะ คุยเรื่องพวกนี้ทำให้ข้ารู้สึกอารมณ์ไม่ดี!” หลี่เฉินเย่นทำสีหน้าเหม็นเบื่อ “พวกเจ้าสองคนรวมกำลังกันขนาดนี้เปิ่นหวางจะเอาที่ไหนไปสู้เล่า ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องแต่งงานใครว่าเป็นเรื่องที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีกันเล่า เด็กโง่ เจ้านี่มันดื้อรั้นจริงๆ” “งั้นค่อยคุยกันครั้งหน้าดีหรือไม่เจ้าคะ” ชูเซี่ยเห็นท่าทางของเขาก็เริ่มหมดทนหางเกลี้ยกล่อม หลี่เฉินเย่นเห็นชูเซี่ยกล่าวออกมาเช่นนี้ก็ยอมแต่โดยดี “เอาเถิด เจ้าก็นอนพักไป ถือเสียว่าศิษย์พี่ไม่เคยพูดเรื่องนี้!” กล่าวจบร่างสูงก็สาวเท้ามาช่วยพยุงร่างของฉ่ายเวินไปนอนบนเตียงทั้งยังห่มผ้าห่มให้เสร็จสรระ หลี่เฉินเย่นจูงมือของชูเซี่ยให้เดินออกไปจากห้องพร้อมกัน ใบหน้าของชูเซี่ยยังคงประดับประดาไปด้วยรอยยิ้ม ฉ่ายเวินเป็นเด็กสาวที่ทำให้นางรู้สึกสงสารและเอ็นดูไปได้พร้อมกัน ยามที่นางอยู่โลกเดิมนางเป็นน้องสาวคนเล็กสุด นางเอกก็ใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากมีน้องสาวไว้ให้ดูแลและใส่ใจบ้าง มาตอนนี้นางมีฉ่ายเวินแล้ว เป็นเด็กสาวที่ทั้งงดงามและเฉลียวฉลาด นางรู้สึกยินดีจนบรรยายไม่ถูก หลี่เฉินเย่นกุมมือน้อยๆของนางจากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “เรื่องของฉ่ายเวินทำให้เปิ่นหวางเป็นห่วงมากจริงๆ” “มีอะไรให้น่าห่วงหรือเจ้าคะ ให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเองเถิด” ชูเซี่ยไม่เห็นด้วยกับเขาเท่าใดนัก หลี่เฉินเย่นเอ่ย “เจ้าไม่รู้อะไร ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เคยฝากฝังนางให้เปิ่นหวางดูแล ปีนี้นางเองก็อายุยี่สิบสองแล้ว เป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว หากยังไม่ยอมออกเรือนผ่านไปอีกหลายปีก็จะเป็นสาวทึนทึกแล้ว ถึงตอนนั้นจะหาครอบครัวดีๆให้นางออกเรือนไปก็ยากยิ่งแล้วนะ” ชูเซี่ยถึงกับพูดไม่ออก “ยี่สิบสองนี่ถือเป็นสาวทึนทึกได้แล้วหรือเจ้าคะ ที่โลกเดิมของข้า ยี่สิบสองถือว่าเป็นสาวน้อยแรกแย้มเสียด้วยซ้ำ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม “จริงสิ เปิ่นหวางแทบไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงโลกเดิมของเจ้าเลย เล่ามาให้ฟังบ้างเถิด” จู่ๆใบหน้าของชูเซี่ยก็เศร้าหมองลง “จะเล่าทำไมล่ะเจ้าคะ ยิ่งข้าพูดถึงข้าก็ยิ่งนึกถึงบ้านมากกว่าเดิมน่ะสิเจ้าคะ!” หลี่เฉินเย่นจ้องมองนาง “ความจริงแล้วเปิ่นหวางไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเจ้าเป็นวิญญาณในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า เปิ่นหวางนึกภาพไม่ออกจริงๆ” ชูเซี่ยยิ้มขำ “มีอะไรไม่น่าเชื่อกันเล่าเจ้าคะ เรื่องวิญญาณที่หลุดออกมาจากร่างอย่างข้าเป็นอะไรที่พบเจอได้ง่ายมากเลยนะเจ้าคะ ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่หลุดมาอยู่โลกนี้ได้แบบคนเป็นๆเสียด้วยซ้ำ เป็นการย้อนอดีตกลับมาโดยผ่านอุโมงค์กาลเวลาน่ะเจ้าค่ะ ถึงพวกเขาจะไม่รู้สาเหตุที่เกิดอุโมงค์กาลเวลาก็ตาม แต่ใต้หล้านี้มีเรื่องที่บังเอิญและน่าเหลือเชื่อมากมายจริงๆนะเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นทำสีหน้าครุ่นคิด ใบหน้าหล่อเหลาทำสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้าบอกว่าวิญญาณย้อนยุคมาเป็นเรื่องที่พบเจอกันง่ายมากนี่เท่ากับว่ามีเยอะเลยงั้นหรือ แล้วเจ้ารู้จักคนที่ข้ามมายุคนี้ได้แบบคนเป็นๆหรือไม่” ชูเซี่ยไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของจูฟางหยวนออกไป นางจึงสายหน้าเบาๆ “ข้าไม่รู้จักเจ้าค่ะ รู้เพียงแค่ว่ามีเท่านั้น” หลี่เฉินเย่นถามต่อไป “เปิ่นหวางอยากไปเห็นโลกของเจ้าด้วยตาตัวเองสักครั้ง อยากรู้ว่าที่นั่นเป็นเช่นไร” ชูเซี่ยก็เอ่ยขึ้นมา “การปกครองระบอบประชาธิปไตย ความอิสระเสรี เทคโนโลยี...” “อะไรคือการปกครองระบอบประชาธิปไตย ยังมีอีกอะไรคือเทคโนโลยี” หลี่เฉินเย่นคล้ายกับเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยก็ไม่ปาน ยังไม่รอให้ชูเซี่ยตอบคำถามแรกเขาก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก “การปกครองระบอบประชาธิปไตยน่ะหรือเจ้าคะ หากให้ข้าพูดกับคนที่ปกครองระบอบราชวงศ์เช่นท่านก็คงไม่เข้าใจ ส่วนเทคโนโลยี...” ชูเซี่ยแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า “ท่านเห็นพระจันทร์หรือไม่ พระจันทร์เป็นเช่นไรท่านรู้หรือไม่เจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นหัวเราะออกมา “หรือว่าเจ้ารู้เล่า?” ชูเซี่ยเอ่ยออกไป “แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นกับตาตนเอง แต่ทว่าในโลกของข้าก็มีคนขึ้นเหยียบบนดวงจันทร์ได้แล้วนะเจ้าคะ...” “พูดจาไร้สาระ ถ้าพูดถึงขนาดนี้เจ้าไม่บอกมาเลยเล่ามาคนในโลกของเจ้าสามารถเด็ดดวงจันทร์มาเก็บไว้ได้น่ะ” หลี่เฉินเย่นท้วงอย่างไม่เชื่อ สิ่งที่ชูเซี่ยกล่าวมาทำให้เขาไม่อาจทำใจเชื่อหรือยอมรับได้เลยจริงๆ ชูเซี่ยยักไหล่จากนั้นนางก็เงียบไม่เล่าอะไรให้อีกฝ่ายฟังอีก 
已经是最新一章了
加载中