ตอนที่ 91 คนที่ช่วยขวางภัย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 91 คนที่ช่วยขวางภัย
ต๭นที่ 91 คนที่ช่วยขวางภัย “เป็นอาการปวดแบบใดกันแน่” หลี่เฉินเย่นทำหน้างุนงง แต่เมื่อเห็นนางข่มตาหลับอย่างคนที่ต้องการข่มความเจ็บปวดก็ไม่อาจทำใจเอ่ยปากถามขึ้นอีก ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอ๋องเก้า ทันใดนั้นชายหนุ่มก็คุกเข่าลงไปกับพื้น อ๋องเก้าตกใจอย่างยิ่งที่จู่ๆชายหนุ่มก็ทำเช่นนี้ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ จะทำอะไรกันแน่” สีหน้าหลี่เฉินเย่นเคร่งเครียด “เสด็จลุง พวกเราสายสัมพันธ์อาหลานกัน แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากสายเลือดโดยตรงแต่ทว่าความสัมพันธ์สายเลือดวงศ์ตระกูลเราก็แน่นแฟ้น หลานมีเรื่องอยากขอร้องให้ท่านช่วย” “บอกมาเถิด อย่าเอ่ยคำว่าขอร้องเลย เจ้าเด็กคนนี้มีเรื่องอะไรจะให้ลุงช่วยก็เพียงแค่เอ่ยออกมาก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าขอร้องเช่นนี้หรอก” อ๋องเก้าถอนหายใจออกมาอย่างระอา ชูเซี่ยเหลือบมองหลี่เฉินเย่น นางไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ หลี่เฉินเย่นมองมาที่อ๋องเก้าอย่างเว้าวอน “เสด็จลุง ยามนี้เสด็จพ่อย่อมต้องทราบข่าวว่าชูเซี่ยเกิดเรื่องแน่แล้ว ยามนี้เสด็จพ่อทรงเกิดความรักใคร่ในตัวนาง พระองค์ย่อมเสด็จมาแน่ หลานอยากขอร้องให้ท่านห้ามปรามเสด็จพ่อ เสด็จลุงช่วยให้หลานสมหวังกับชูเซี่ยด้วยเถิด” อ๋องเก้าย่อมเข้าใจในความหมายของหลี่เฉินเย่นได้เป็นอย่างดี หากฮ่องเต้เสด็จมาถึงนี่เขาก็คงไม่มีสิทธิ์มาแสดงท่าทางห่วงใยได้อีกแล้ว แต่ทว่าจะให้เขาทำการขัดขวางฮ่องเต้ก็หาใช่เรื่องที่ทำได้โดยไม่ง่าย เขายังรู้สึกไม่เข้าใจอยู่หลายส่วน ชูเซี่ยดูออกว่าอ๋องเก้ามีท่าทีลำบากใจ แต่ความจริงก็คือนางไม่อยากจะพบหน้าของฮ่องเต้ในเวลานี้เลยสักนิด นางแค่อยากให้เวลาที่นางเจ็บปวดมีเพียงคนที่นางรักอยู่ข้างกายคอยดูแลนางก็เพียงพอแล้ว หญิงสาวเอ่ยกับอ๋องเก้า “จื่อซวน ท่านมานี่หน่อยข้าจะสอนท่านว่าควรทำเช่นไร” อ๋องเก้าแทบถลาเข้ามา “เจ้าบอกมาได้เลย” “ตอนที่ท่านไปหาเขา หลังจากที่ถวายบังคมเสร็จแล้วก็ให้แสร้งทำเป็นปวดหัวทันที!” อ๋องเก้าขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า...” “ใช่แล้ว!” ชูเซี่ยหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้อ๋องเก้าเข้าเฝ้า ขอเพียงแค่เขาคิดจะหาทางหยุดฝ่าบาทก็มีเพียงอย่างเดียวคืออ๋องเก้าต้องล้มป่วยเท่านั้น หาดเขาป่วยขึ้นมาท่านอ๋องจะต้องเชิญท่านราชครูมาอย่างแน่นอน ท่านราชครูเป็นคนของเขา เขาย่อมสามารถสมคบคิดกับท่านราชครูได้ว่าจะให้ท่านราชครูเอ่ยทูลต่อฝ่าบาทอย่างไร อ๋องเก้าเข้าใจได้ในทันที เดิมทีเขาเองก็รู้สึกผิดที่ลากชูเซี่ยมาพบเจอเรื่องไม่ดีเช่นนี้ ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยเท่านี้หากจะทำให้เขาพอที่จะไถ่โทษนางได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่นางล้มป่วยเช่นนี้ เพียงแค่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เขาอดที่จะปวดใจไม่ได้ หลังจากที่อ๋องเก้ากลับไปแล้ว หมอหลวงก็เข้ามา ชูเซี่ยรู้ว่าหลวงไม่มีทางวินิจฉัยอาการของนางได้แน่ นางจึงเอ่ยกับหมดหลวงว่า “ข้ามีก้อนนิ่วในไต ทุกครั้งที่ข้ากินเต้าหู้หรือดื่มชามากเกินไปอาการปวดก็จะกำเริบขึ้นมา ท่านเพียงแค่จัดยาต้มหญ้าจินเฉียนมาให้ข้าก็พอแล้ว” หมอหลวงเอ่ยอยากลำบากใจ “แตทว่าอย่างไรเสียท่านก็สมควรให้พวกข้าตรวจชีพจรให้ท่านเสียก่อนเถิด หากไม่เช่นนั้นเกิดฝ่าบาททูลถามอาการของท่านพวกข้าจะทูลต่อพระองค์ไม่ได้เอานะขอรับ” “พวกท่านก็แค่ทูลไปว่าข้าหายปวดแล้ว เพียงแค่พักอีกสักวันสองวันก็ดีขึ้นแล้ว ไปทูลเช่นนี้เถิด” หมอหลวงมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่ชูเซี่ยกลับหลับตาลงอย่างไม่คิดจะฟังคำทัดทานอีก “ข้าเป็นหมอ เรื่องร่างกายข้าย่อมชัดเจนที่สุด ไม่ต้องพูดแล้ว กลับไปเถิด” หมอหลวงจึงจำต้องถอดใจและยอมจัดเทียบยาเป็นต้นหญ้าจินเฉียนมาให้นางแต่โดยดี จากนั้นก็ยอมถอยกลับไป หลี่เฉินเย่นเดินกลับมานั่งตรงหัวเตียงนางก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ “เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมให้หมอหลวงรักษาเล่า” ชูเซี่ยดึงมือหนาของเขามาวางไว้บนหน้าอกของตนเอง หลี่เฉินเย่นมีสีหน้าแปลกใจแต่ทว่าเมื่อมือหนาถูกวางทาบลงบนหน้าอกของนาง ใบหน้าก็ถึงกับถอดสี ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและมองมาที่นางด้วยความตื่นตระหนก “หัวใจ...หยุดเต้น?” ชูเซี่ยส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่กี่ชั่วยามก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ตอนที่อ๋องเก้าอยู่ที่นี่ข้าไม่กล้าพูดออกไป แต่ว่าข้ากินยาวิเศษเข้าไป ยาชนิดนี้หลังจากกินเข้าไปแล้วจะฟื้นฟูร่างกายได้เร็วอย่างยิ่ง แต่ทว่าหากกินเข้าไปแล้วผู้ที่กินจะเจ็บปวดอยู่นานหลายชั่วยาม หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปได้ก็จะหายเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นประหลาดใจอย่างยิ่ง “เป็นยาแบบใดกันที่จะฟื้นฟูร่างกายเจ้าได้เร็วเพียงนี้” ชูเซี่ยส่ายหน้าเบาๆ “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ยานี้เป็นยาวิเศษที่อาจารย์มอบให้แก่ข้า หลังจากกินเข้าไปแล้วข้าจะมีกำลังวังชาวิ่งได้รวดเร็วเร็วยิ่งนัก ท่านอาจารย์กล่าวว่ายาชนิดนี้กินเข้าไปจะช่วยปกปักษ์รักษาตัวเองน่ะเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยหลีกเลี่ยงเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณเพราะเกรงว่ามันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปสำหรับคนในยุคนี้มากเกินไปหน่อย แต่นางเพียงแค่อยากให้เขาได้รับรู้ว่านางสามารถดูแลตนเองได้และนางจะไม่เป็นอะไรเพื่อให้เขาคลายความกังวลใจเรื่องนางได้บ้างไม่มากก็น้อย หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามขึ้น “อาจารย์ของเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แต่ทว่าในเมื่อเจ้ามียาวิเศษเช่นนี้อยู่ในมือเหตุใดจึงไม่นำมันออกมาใช้ตั้งแต่แรกเล่า” “ข้าไม่ใช่เพิ่งบอกท่านไปหรือเจ้าคะ ว่ายาตัวนี้หากกินเข้าไปจะทำให้ร่างกายเจ็บปวดอยู่หลายชั่วยาม หากไม่จำเป็นจริงๆ ข้าก็ไม่อยากกินหรอกเจ้าค่ะ แต่ทว่าในยามนี้เราอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเสด็จพ่อของท่านก็ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นข้าจึงจำต้องทนเจ็บปวดกินยาตัวนี้ลงไป” หลี่เฉินเย่นลูบไล้ใบหน้านางอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเวทนาสงสาร “ขอโทษเจ้าด้วยที่เปิ่นหวางไม่ได้เรื่องไม่อาจปกป้องคุ้มครองเจ้าได้” ชูเซี่ยเอื้อมมือไปกอบกุมมือของเขาไว้ จากนั้นก็ยิ้มหวาน “เด็กโง่ ระหว่างพวกเรายังจะพูดจาเช่นนี้กันอีกหรือ” ทั้งสองคนมองสบสายตากันด้วยความเสน่หา ดวงตาเป็นกระกายราวกับมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ในนั้น ความยากลำบากและอุปสรรคมากมายที่คนทั้งคู่เคยเผชิญมาเป็นเหมือนกับด่านพิสูจน์ความรักของพวกเขาทั้งสอง เพราะว่าที่นี่คือโซ่วหนิงกงที่ประทับขององค์ไทเฮา วังหลวงทุกฝ่ายต่างก็อยู่ในอำนาจขององค์ไทเฮาแต่เพียงผู้เดียว แต่เพราะช่วงระยะนี้องค์ไทเฮาประชวนหนักทำให้ไม่ค่อยมีผู้ใดกล้ามารบกวน นอกเสียจากพระองค์จะมีรับสั่งให้ผู้ใดเข้าเฝ้า เวลานั้นฮ่องเต้จึงจะมีรับสั่งเชิญคนผู้นั้นไปพบได้ คนนอกที่ไม่ได้รับเชิญไม่อาจเข้าพบองค์ไทเฮาโดยเด็ดขาด หลังจากที่ท่านอ๋องเก้าออกจากตำหนักของไทเฮาแล้วก็มุ่งตรงไปยังห้องทรงพระอักษรทันที ฮ่องเต้ที่ทรงทอดพระเนตรฎีกาอยู่ในห้องเมื่อทรงได้ยินเสี่ยวเต๋อจื่อมากราบทูลว่าอ๋องเก้าขอเข้าเฝ้าก็ขมวดพระขนง “เขามาทำอะไรกัน?” พอดีกับที่องครักษ์ให้เสี่ยวเต๋อจื่อเข้ามากราบทูลฮ่องเต้ถึงอาการป่วยของชูเซี่ยเข้าพอดี แต่ทว่าเสี่ยวเต๋อจื่อกลับเลือกที่จะเอ่ยทูลเรื่องของอ๋องเก้าเสียก่อน เพราะเขารู้ดีว่าควรเรียงลำดับความสำคัญเช่นไร “ท่านอ๋องเก้าไม่ได้กล่าวไว้พะย่ะค่ะ แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้วดูเหมือนจะมีความสุขมากเลยพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ให้เขาเข้ามา!” เสี่ยวเต๋อจื่อรับคำจากนั้นก็หมุนกายออกไปเพื่อเชิญท่านอ๋องเก้าเข้ามา “น้องขอถวายบังคม...” อ๋องเก้ายังไม่ทันจะเอ่ยคำถวายบังคมเสร็จก็ยกมือกุมขมับจากนั้นก็ยืนซวนเซ “ไอ้หยา...” อ๋องเก้ากุมขมับไว้แน่นจากนั้นก็ร้องออกมาและฟุบลงไปหมอบลงกับพื้น ฝ่าบาททรงตกพระทัยอย่างยิ่ง รีบร้อนตรัสกับเสี่ยวเต๋อจื่ออย่างรวดเร็ว “รีบพยุงอ๋องเก้านั่งลงเดี๋ยวนี้!” เสี่ยวเต๋อจื่อเองก็หัวใจหล่นวูบ รีบร้อนถลาเข้าไปพยุงร่างของอ๋องเก้ามานั่งลงที่เก้าอี้ “อ๋องเก้าไม่สบายหรือพะย่ะค่ะ” มุมปากของอ๋องเก้ามีเลือดไหลออกมา เขาหันหน้ามามองพระพักตร์ของฝ่าบาทอย่างเจ็บปวดทรมาน “เสด็จพี่ น้องรู้สึกปวดหัวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ!” ฮ่องเต้ทรงนิ่งอึ้งไปจากนั้นก็ทรงรับสั่งกับเสี่ยวเต๋อจื่อ “เร็ว รีบไปเชิญท่านราชครูมาเดี๋ยวนี้!” เสี่ยวเต๋อจื่อทั้งนิ่งอึ้งและประหลาดใจ “ฝ่าบาททรงให้กระหม่อมไปเชิญท่านราชครูมาหรือพะย่ะค่ะ เหตุใดจึงไม่ให้ไปเชิญหมอหลวงเล่า” ปวดหัวก็ควรเชิญหมอหลวงมาไม่ใช่หรือ จะเชิญท่านราชครูมาเพราะเหตุใดกัน หรือว่าพระองค์ทรงตื่นตระหนกจนเลอะเลือนไปเสียแล้ว สีพระพักตร์ของฝ่าบาททรงนิ่งขรึม “รีบไปเชิญท่านราชครูมา!” เสี่ยวเต๋อจื่อไม่กล้าทูลถามอะไรอีกได้แต่รีบร้อนวิ่งออกไปตามท่านราชครูอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ทรงพยุงร่างของอ๋องเก้าไว้ก่อนจะตรัสถามอย่างเป็นห่วง “เสด็จน้องเจ็บมากหรือไม่” อ๋องเก้าครางออกมาอย่างเจ็บปวด “ข้าปวดหัวราวกับมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่แบ้ว ปวดเหลือเกิน อ๊า...ปวดเหลือเกิน...” ฮ่องเต้ทรงตื่นตระหนก ทรงนึกถึงยามที่โรคลมตะกังของพระองค์กำเริบ พระองค์ก็เคยลิ้มรสความเจ็บปวดเช่นนี้เช่นกัน พระองค์อดนึกไม่ได้ว่าหรือว่าความพินาศของพระองค์กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว? เมื่อทรงนึกคิดเช่นนั้นก็ทำให้พระขนงขมวดแน่นและพระทัยเต้นแรง อาการปวดศีรษะที่คุ้นเคยดูเหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้งแต่ทว่าพระองค์ก็พยายามควบคุมวรกายของตนเองไว้อย่างสุดความสามารถ ทรงกลั้นหายใจจากนั้นก็สาวพระบาทลงไปนั่งข้างๆอ๋องเก้า เมื่ออ๋องเก้าเห็นว่าสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีก็พยายามเอ่ยอย่างระงับความเจ็บปวด “เสด็จพี่ไม่ต้องกังวลไปหรอกพะย่ะค่ะ น้องไม่เป็นอะไรมาก” พระทัยของฝ่าบาททรงบีบแน่ ทรงพยักหน้าลงอย่างช้าๆ “อืม ดี ดี!” ไม่นานท่านราชครูก็มาถึง ยังไม่ท่านที่จะได้ถวายบังคมฝ่าบาทก็ทรงตรัสขึ้นอย่างร้อนพระทัย “ไม่ต้องทำพิธีรีตรองให้มากมาย รีบดูท่านอ๋องเก้าเร็วเข้าว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ท่านราชครูพยักหน้ารับรู้จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายท่านราชครู อ๋องเก้าเห็นเช่นนั้นก็ผุดยิ้มออกมา “ท่านราชครูรู้วิชาการแพทย์งั้นหรือ” ท่านราชครูผุดรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา “กระหม่อมเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!” จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปตรวจชีพจรท่านอ๋อง แต่ทว่าอ๋องเก้ากลับร้องครวญครางออกมาเสียก่อนทั้งยังดึงเสื้อของท่านราชครูไว้แน่ราวกับว่าเจ็บปวดทรมานหนักหนา จากนั้นร่างทั้งร่างก็ลื่นไถลลงมาสู่พื้นพร้อมดิ้นไปมา ท่านราชครูตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นและจับร่างของอ๋องไว้แน่น อ๋องเก้าที่นอนอยู่บนพื้นก็ดึงชายกางเกงของท่านราชครูไว้แน่นก่อนจะดึงมาข้างหน้า “เปิ่นหวางปวดเหลือเกิน...” ท่านราชครูมองสบตาของเขาจากนั้นก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตัดสินใจได้เขาก็ผุดลุกขึ้นจากพื้นทูลต่อองค์ฮ่องเต้เสียงเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นสมควรส่งท่านอ๋องเก้ากลับพระตำหนักโดยด่วนพะย่ะค่ะ รหหว่างนี้พระองค์ก็สมควรอยู่ใกล้ท่านอ๋องเก้าเข้าไว้จะเป็นดีที่สุด” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรท่านราชครู “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ท่านราชครูส่งสายตาเป็นนัยๆ “กลับไปถึงตำหนักค่อยหารือกันเถิดพะย่ะค่ะ จากนั้นก็ค่อยเรียกหมอหลวงมาดูพระอาการอ๋องเก้า” ฮ่องเต้มีหรือจะกล้าล้าช้า พระองค์ทรงเร่งรับสั่งให้องครักษ์ส่งท่านอ๋องเก้ากลับจวน เสี่ยวเห็นดังนั้นก็รีบร้อนมาทูลต่อฝ่าบาทว่า “ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เมื่อครู่องครักษ์เพิ่งมาทูลว่าท่านหมอเวินไม่ค่อยสบาย...” ฮ่องเต้มีหรือจะมีกระจิตกระใจสนพระทัยเรื่องนี้อีก พระองค์ทรงปัดพระหัตถ์ “เชิญหมอหลวงไปดูนาง!” “หมอหลวงไปดูอาการนางมาแล้วพะย่ะค่ะ บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก อาจจะเพียงกินของผิดสำแดงพะย่ะค่ะ!” เสี่ยวเต๋อจื่อเอ่ยทูล “ไม่มีอะไรกดีแล้ว เจ้าก็ไปดูนางเถิด ไม่มีเรื่องอะไรมากก็อย่ามารบกวนเรา!” ตรัสจบพระองค์ก็ทรงก้าวพระบาทขึ้นเกี้ยวอย่างรีบเร่ง ท่านราชครูก็ช่วยพยุงร่างท่านอ๋องขึ้นเกี้ยว เขาถามไถ่อาการของท่านอ๋องเก้าเล็กน้อย เมื่อทราบเรื่องก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจากนั้นกาวเท้าไปหาฮ่องเต้พร้อมเอ่ยกระซิบเสียงเบา “ฝ่าบาท ก่อนจะพบเคราะห์ใหญ่จะมีเคราะห์เล็กๆเกิดขึ้นมากมาย ภายในสิบสองชั่วยามนี้ทรงอย่าเสด็จออกห่างจากอ๋องเก้าเป็นดีที่สุด เพราะว่าหากท่านอ๋องเก้าออกห่างจากวรกายฝ่าบาทเมื่อใด ความเจ็บปวดทั้งหมดจะตกเป็นของฝ่าบาททั้งสิ้น” ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง “สิบสองชั่วยามเลยหรือ แต่พรุ่งนี้ข้ายังต้องออกว่าราชการ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นท่านราชครูก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กระหม่อมจะกลับไปเข้าฌานเพื่อตรวจดูว่าเคราะห์กรรมครั้งนี้ของพระองค์หนักหนาและยาวนานเพียงใด แต่ทว่าฝ่าบาท อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เราจะประมาทไม่ได้พวกเราต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาพะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ ทางที่ดีพระองค์ก็ทรงป่าวประกาศออกไปว่าเป็นเพราะอาการประชวรของไทเฮาและอ๋องเก้าทำให้พระองค์ไปอาจปลีกตัวออกมาว่าราชการได้ เหล่าขุนนางและปวงประชาจะต้องซาบซึ้งในความกตัญและความห่วงใยของพระองค์เป็นแน่ สำหรับฝ่าบาทแล้วมีแต่เรื่องดี” ฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้นก็สีพระพักตร์ก็พลันผ่อนคลาย “ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล!” เรื่อที่อ๋องเก้าสามารถขัดขวางเสด็จพ่อได้ทำให้หลี่เฉินเย่นประหลาดใจยิ่งนัก หลี่เฉินเย่นอดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามชูเซี่ย “เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าหากเสด็จลุงแสร้งป่วยแล้วเสด็จพ่อจะทรงกังวลยิ่งกว่าอาการป่วยของเจ้า” ชูเซี่ยเล่าเรื่องก่อนหน้าทั้งหมดให้กับหลี่เฉินเย่นฟังแต่ทว่านางก็หลีกเลี่ยงที่จะบอกชายหนุ่มว่าแท้จริงแล้วท่านราชครูเป็นคนของอ๋องเก้า เมื่อได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงรับเสด็จลุงสายเลือดของตนเข้ามาในวังก็เพื่อจะเป็นตัวตายตัวแทนก็ทำให้ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นตะลึงงัน นานทีเดียวกว่าชายหนุ่มจะหาเสียงของตนเองเจอ “น้องแท้ๆสำหรับพระองค์ก็เป็นเพียงแค่สิ่งของที่สามารถสละทิ้งได้ทุกเมื่อ” ในใจของเขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในที่สุด ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักใจ “ในเมื่อลุงเก้าทราบเรื่องนี้แล้วเหตุใดจึงกลับมาเมืองหลวงอีกเล่า” “เขาไม่มีทางเลือกมานักหรอกเจ้าค่ะ เมื่อหลายปีก่อนเสด็จพ่อของท่านทรงไว้ชีวิตเขาไว้แต่ก็ทรงให้เขาดื่มยาพิษเข้าไปเช่นกัน ทุกๆปีพระองค์จะทรงส่งคนนำยาแก้พิษไปให้เขา ไม่ว่าทางใดเขาก็ต้องตาย หากเป็นเช่นนั้นไม่สู้ยอมกลับมาสู้และดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ แม้ว่าเขาจะเป็นตัวตายตัวแทนแต่ก็ใช่ว่าจะต้องตายจริงๆนี่เจ้าคะ เสด็จพ่อท่านเองก็ทำเช่นนี้เพื่อรักษาชีวิตของพระองค์เองเช่นกัน เพราะฉะนั้นพระองค์จึงส่งยาถอนพิษไปให้อ๋องเก้า เป็นยาถอนพิษที่รักษาพิษได้อย่างหมดจริงๆ” หลี่เฉินเย่นนิ่งอึ้งไป “เจ้าหมายความว่าที่เสด็จลุงเดินทางไปที่ดินแดนฉางโซ่วก็เพื่อถอนพิษงั้นหรือ” จิตใจของเขารู้สึกว้าวุ่นขึ้นมา เขาเคยเป็นผู้ไปส่งเสด็จลุงที่ดินแดนฉางโซ่ว แต่ทว่าเขาไม่เคยรู้เลยว่าเสด็จลุงถูกพิษมายาวนานถึงเพียงนี้ อีกทั้งเสด็จลุงยังเดินทางไปที่นั่นเผื่อถอนพิษอีกด้วย ไม่น่าเล่ามาในยามนั้นเสด็จลุงจึงมีสีหน้าย่ำแย่นัก “เจ้าค่ะ พิษชนิดนี้มีชื่อว่าพิษยืนยาวเจ้าค่ะ ผู้ที่ได้รับพิษชนิดนี้เข้าไปในทุกๆปีจะต้องได้รับยาแก้พิษปีละครั้ง มิฉะนั้นพิษก็จะแล่นทำลายอวัยวะภายในจนถึงแก่ชีวิต” จากนั้นชูเซี่ยก็กล่าวต่อไปอีก “ตอนที่ข้ายังอยู่มนฑลกวางตุ้ง ข้าเคยช่วยเขารักษาพิษครั้งหนึ่ง แต่ทว่ายาพิษชนิดนี้มีความซับซ้อนยิ่งนัก สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงแค่ระงับพิษของเขาได้ชั่วคราวเท่านั้น ช่วงที่ข้าระงับพิษให้เขาก็สามารถยืดได้เพียงแค่สองปีเท่านั้น แต่ทว่าก็มีข้อจำกัดมากมายเช่นกัน คือห้ามออกกำลังกาย ห้ามดื่มสุรา ห้ามวิ่ง การที่มีพิษอยู่ในร่างกายของเขาเช่นนี้เขาก็หมดโอกาสที่จะใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติตลอดไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นรู้สึกขยะแขยงกับการกระทำเช่นนี้ยิ่งนัก เป็นเวลานานชายหนุ่มก็ค่อยๆลอบถอนหายใจออกมา “เพื่อบัลลังก์แล้วเสด็จพ่อทำได้ทุกอย่างจริงๆ!” ชูเซี่ยเอ่ยปลอบใจอีกฝ่าย “แต่ทว่าเราก็ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ที่ดีนะเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก “ไม่ต้องมาปลอบใจเปิ่นหวาง หน้าที่ของฮ่องเต้ก็คือการสร้างประโยชน์และความสงบสุขให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว” ชูเซี่ยไม่รู้จะเอ่ยอะไรได้อีก ความจริงแล้วการที่ต้องมารับรู้ว่าเสด็จพ่อของตนเองฆ่าพี่น้องของตนเอง ทั้งยังสังหารอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นเสด็จพ่อของตนเองเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มา สำหรับเขาซึ่งเป็นลูกแล้วจะรู้สึกลำบากใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด 
已经是最新一章了
加载中