ตอนที่ 94 แต่งกับหญิงอื่น   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 94 แต่งกับหญิงอื่น
ต๭นที่ 94 แต่งกับหญิงอื่น จูเก๋อหมิงปรายตามาที่แม่ทัพเฉินก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่ “การจะเอาชนะมีหนทางนับพันนับหมื่นแต่ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ก็ได้” “แต่ทว่านี่ก็เป็นวิธีที่ไม่เลวไม่ใช่หรือ หากน้องสาวแท้ๆของเขาแต่งกับท่านอ๋อง เขาในฐานะพี่ชายย่อมต้องทำทุดอย่างเพื่อน้องสาวอยู่แล้ว” แม่ทัพเฉินหันมามองหลี่เฉินเย่น เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องไม่มีท่าทีต่อต้านอันใดก็ค่อยๆเอ่ยต่อไป “อีกอย่าง การที่ฝ่าบาทปลอมสาส์นขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้ท่านอ๋องต้องพบเจอกับความทุกข์ระทมทั้งสิ้น ขัดรับสั่งก็ตาย หากแต่งงานก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น เรื่องของภายภาคหน้าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ ตำแหน่งพระชายาก็เป็นเพียงแค่ตำแหน่งธรรมดาเท่านั้นแม่นางเวินก็คงไม่ได้ปรารถนาหรอก แต่ทว่าหากวันหนึ่งท่านสามารถรวบรวมอำนาจและได้บัลลังก์มาแล้วค่อยมอบตำแหน่งฮองเฮาให้นางจะไม่ดีกว่าหรือ” ถ้อยคำเช่นนี้เอ่ยขึ้นมาภายในห้องที่เงียบสงัดแม้จะไม่ได้กล่าวเสียงดังแต่ก็สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน จูเก๋อหมิงรีบร้อนมองสอดส่องทางประตูหน้าต่างอย่างระมัดระวัง โชคดีเหลือเกินที่พวกเขาไล่สาวใช้และบ่างไพร่ออกไปจนหมดแล้ว มิฉะนั้นหากคำพูดเช่นนี้หลุดรอดออกไปย่อมต้องกลายเป็นภัยกับจวนอ๋องอย่างแท้จริงแน่ จูเก๋อหมิงส่งสายตาตำหนิ “พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ตอนนี้ตำแหน่งรัชทายาทยังไม่ถูกวาง ฝ่าบาทเองก็ใช่ว่าจะยกมันให้เฉินเย่น หากว่าเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูฝ่าบาทเข้าพวกเราต้องโทษอาญากันหมดแน่” แม่ทัพเฉินเป็นชาวยุทธ นิสัยโผงผางอยากพูดเช่นไรก็พูด ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย แต่มายามนี้เมื่อได้ยินคำกล่าวเตือนสติของจูเก๋อหมิงก็เข้าใจแจ่มแจ้งและยอมรับผิดแต่โดยดี “ขออภัยขอรับท่านอ๋อง ข้าเพียงแต่อารมณ์อ่อนไหวเกินไปเท่านั้น” หลี่เฉินเย่นหันมามองเขาก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบแต่ทว่าก้ไม่ได้ถือสาอะไร “จูเก๋อกล่าวไดถูกต้องแล้ว วันหน้าหากจะกล่าวอะไรก็ระมัดระวังและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เข้าใจหรือไม่” จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อ “ต่อให้นั่นจะเป็นความคิดของพวกเราจริงก็ไม่อาจแพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ได้” จูเก๋อหมิงมองเขาอย่างประหลาดใจ ใบหน้านุ่มนวลเต็มไปด้วยความสงสัย แม่ทัพเฉินได้ยินคำพูดของท่านอ๋องก็เอ่ยออกมาอย่างยินดี “ท่านอ๋องปราดเปรื่องยิ่งนัก ต่อไปข้าจะระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้ขอรับ!” หลังจากที่แม่ทัพเฉินถอยทัพออกไป จูเก๋อหมิงก็เอ่ยถาม “เจ้าตัดสินใจจะแต่งกับเฉินอวี่จู๋งั้นหรือ” หลี่เฉินเย่นกำหมัดแน่นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางยังมีทางเลือกอีกงั้นหรือ” จูเก๋อหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะบอกเรื่องนี้กับชูเซี่ยอย่างไร” หลี่เฉินเย่นนิ่งเงียบ ความเศร้าโศกฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา พระอาทิตย์หลังฟ้าฝนส่องลงมาตกกระทบที่ใบหน้าของเขา ใบหน้าชายหนุ่มฉายชัดถึงความลำบากใจแต่ก็ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ บอกอย่างไร บอกอย่างไรดีนะ เขายังจะพูดอะไรกับนางได้อีก เรื่องปัญหาของชูเซี่ยก็ยังหาทางแก้ไขไม่ได้ แม้จะบอกว่าภายในสามปีไม่อาจรับนางสนมเข้าวังได้ แต่ทว่าหากเสด็จพ่อจะรับนางเข้าวังก่อนเขาก็ไม่สามารถห้ามได้ จูเก๋อหมิงเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปก็เอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าหากพวกเรานำเรื่องตัวตนที่แท้จริงของชูเซี่ยไปกราบทูลต่อฝ่าบาท พระองค์จะเห็นแก่สายสัมพันธ์พ่อลูก เห็นแก่ความเจ็บปวดของเจ้ามาตลอกสามปีแล้วยอมให้พวกเจ้าสองคนแต่งงานกันได้หรือไม่” หลี่เฉินเย่นยิ้มขมขื่น “สายสัมพันธ์พ่อลูกงั้นหรือ เจ้าคิดจริงหรือว่าเสด็จพ่อดูไม่ออก หากพระองค์รู้สึกสงสารเห็นพระทัยในตัวข้าจริงก็คงพระราชทานงานสมรสให้ข้าตั้งนานแล้ว แต่พระองค์ก็ไม่เคยทำเช่นนั้น แต่มาบัดนนี้กลับใช้สาส์นปลอมอ้างว่าเสด็จย่าเป็นผู้เขียนขึ้นเพื่อบังคับให้เปิ่นหวางแต่งกับเฉินอวี่จู๋เสียอย่างนั้น เจ้ายังไม่เข้าความคิดของพระองค์อีกงั้นหรือ สำหรับชูเซี่ยเขาก็เพียงแค่อยากเอาชนะเปิ่นหวางก็เท่านั้น!” จูเก๋อหมิงรู้สึกละอายใจเหลือเกินที่ตอนนั้นไม่ยอมบอกความจริงเรื่องชูเซี่ยให้พระองค์ทราบแต่แรก ทั้งยังบอกให้ชูเซี่ยปิดบังชื่อที่แท้จริงของตนเองอีกด้วย ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเราทุกคนก็คงไม่ต้องเดินมาจนถึงจุดนี้หรอก หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ท่านหมอหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “บัดนี้ฮ่องเต้ยังทรงเข้าพระทัยว่าชูเซี่ยมีนามว่าเวินหน่วน ข้าว่าให้ชูเซี่ยตัดสินใจทูลบอกพระองค์ไปเลยดีกว่าว่าแท้จริงแล้วนางก็คือชูเซี่ย พระองค์จะต้องสงสัยในตัวนางและให้ท่านราชครูเป็นผู้ตรวจสอบเป็นแน่ หากพระองค์ทรงทราบความจริงต่อให้จะทรงสนพระทัยในตัวชูเซี่ยจริงก็คงไม่พระทัยร้ายถึงขั้น รังแกลูกสะไภ้ของตนเองได้หรอก!” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด “ไม่ ดูจากนิสัยของพระองค์แล้ว หากพระองค์รู้ว่าชูเซี่ยก็คืออดีตพระชายาหนิงอาน พระองค์จะต้องทั้งกริ้วและอับอายจนอาจจะทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ พวกเราไม่กล้าเสี่ยง” นั่นเป็นเรื่องจริง! จูเก๋อหมิงลอบถอนหายใจ “หากรู้อย่างนั้นเราน่าจะเปิดเผยความจริงไปตั้งแต่คราแรก หาไม่แล้วก็คงไม่ต้องมานั่งอับจนหนทางถึงเพียงนี้หรอก!” ในยามนี้ต่อให้กล่าวอะไรออกมาก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว ถึงกล่าวออกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าชูเซี่ยที่ตายไปแล้วเมื่อสามปีก่อนยังมีชีวิตอยู่ แล้วหลังจากสามปีนางหวนกลับมากลายเป็นหญิงสาวที่ฝ่าบาททรงหมายปองเสียอย่างนั้น ทั้งยังถูกท่านราชครูทำนายว่าเป็นหญิงสาวที่มีบารมีสูงส่ง ในยามนี้เหมือนพวกเขากำลังขึ้นขี่บนหลังเสือ หลี่เฉินเย่นไม่แต่งก็ไม่ได้ ส่วนนางไม่ถวายตัวก็ไม่ได้ ทันใดนั้นจูเก๋อหมิงก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบร้อนเอ่ยถามขึ้นมา “ตอนนี้ชูเซี่ยก็เป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหินไม่ใช่หรือ ได้ยินว่าหัวหน้าพรรคมังกรเหินมีอำนาจมากมายสามารถสั่งได้แม้กระทั่งฮ่องเต้ งั้นก็ให้ชูเซี่ยออกคำสั่งเพื่อยกเลิกงานแต่งงานไปเสียสิ” หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะ “เรื่องนั้นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ยามนี้ไม่มีอำนาจถึงเพียงนั้นหรอก อีกอย่างพรรคมังกรเหินทำงานเช่นไร มีสมาชิกมากน้อยเพียงใดนั่นก็ยังเป็นปริศนา สำหรับเปิ่นหวางแล้วก่อนหน้านี้พรรคมังกรเหินยังเรืองไปด้วยอำนาจและความน่าเชื่อถือ แต่ทว่าหลายร้อยปีมานี้เปิ่นหวางไม่เคยเห็นว่าพรรคมังกรเหินจะมีการเคลื่อนไหวหรือกระทำการอะไรสักอย่าง ดังนั้นในยามนี้เป็นไปได้ว่าพรรคมังกรเหินอาจจะไม่ได้เก่งกาจดังเดิมแล้วก็เป็นได้” เรื่องพวกนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่มาก นึกถึงเรื่องราวในอดีตนักรบที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่แต่บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงนักเลงหัวไม้ไปเสียแล้ว ด้วยคิดเพียงว่าบรรพบุรุษของตนเองมีความดีความชอบใหญ่หลวงและตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตเลยหาได้มีความเกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองไม่ ถึงครั้งหนึ่งพรรคมังกรเหินจะมีความดีความชอบใหญ่หลวงก็จริงแต่ก็เป็นเพียงอดีตเมื่อร้อยปีก่อนเท่านั้น ตอนนี้ไม่รู้จะกลายเป็นเช่นใดบ้าง จูเก๋อหมิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ พวกเราไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้วงั้นหรือ” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเยือกเย็น “แม้ว่าแม่ทัพเฉินจะเป็นคนพูดจาโผงผางแต่ทว่าก็ใช่ว่าคำพูดของเขาจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว การที่เปิ่นหวางจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับชูเซี่ยได้ก็มีแต่ต้องได้บัลลังก์มาครอบครองเท่านั้น แต่จนถึงบัดนี้เสด็จพ่อก็ยังทรงไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเสียที ตำแหน่งของเปิ่นหวางในตอนนี้ก็สั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือการกล้ำกลืนฝืนทนเสียก่อน” จูเก๋อหมิงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ไม่ว่าจะเจ้าจะเลือกเส้นทางใดข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้าอย่างถึงที่สุด” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นฉายแววซาบซึ้งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “จูเก๋อ หลายปีมานี้ขอบใจเจ้ามากที่อยู่เคียงข้างเปิ่นหวาง ในชีวิตนี้การที่เปิ่นหวางได้รู้จักเจ้าและชูเซี่ยถือเป็นโชคที่ใหญ่หลวงยิ่ง!” จูเก๋อหมิงถอนหายใจจากนั้นก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ตอนนั้นที่ชูเซี่ยกลับมาเป็นข้าเองที่เห็นแก่ตัว หาไม่แล้วยามนี้พวกเจ้าก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้ สิ่งที่ข้าทำลงไปไม่อาจจะย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว” การที่เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ขึ้นมาก็เท่ากับว่าเขากำลังสารภาพออกมาว่าเขาชอบชูเซี่ยจริงๆ แม้ว่าหลี่เฉินเย่นจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วแต่ทว่าเมื่อได้ยินสหายรักของตนเอ่ยออกมาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ เขาเดินไปใกล้จูเก๋อหมิงและเอ่ยเสียงเบา “ไม่ว่าอะไรเปิ่นหวางก็ยอมเสียได้ มีเพียงชูเซี่ยเท่านั้นที่เปิ่นหวางจะไม่ยอมเสียให้ใคร” จูเก๋อหมิงยิ้มออกมา “เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป ชูเซี่ยนางไม่รู้สึกอะไรกับข้าเลยแม้แต่น้อย ข้ารู้ว่าในตอนนี้ทุกอย่างที่เจ้าวางแผนไว้ล้วนใช้ไม่ได้ แต่หากเราไม่ช่วยกันคิดหาหนทางแล้วล่ะก็เราย่อมหาทางออกไม่ได้แน่ ที่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อที่จะลดช่องวางระหว่างสองเรานะเฉินเย่น เราสองคนคงไม่อาจทำอะไรได้หากใจใจของพวกเราลึกๆยังคงหวดระแวงกันอยู่เช่นนี้” ทั้งคู่ประสานมือกันก่อนที่ความรู้สึกไม่ดีและคลางแคลงใจต่างๆจะหายไปอย่างสิ้นเชิง จู่ๆหัวใจของหลี่เฉินเย่นมีความแค้นขึ้นมาสายหนึ่งเมื่อยามที่เขานึกถึงเสด็จพ่อ เขารู้ดีว่าสำหรับพระองค์แล้วอาจจะไม่เหลือสายใยดีๆให้แก่เขาแล้วด้วยซ้ำ ชูเซี่ยกลับมาในวันที่สิบสาม ในขณะที่งานแต่งงานของหลี่เฉินเย่นถูกกำหนดไว้เป็นวันที่ยี่สิบห้า ยามที่ชูเซี่ยรู้กำหนดงานแต่งของหลี่เฉินเย่น ใบหน้านางเรียบเฉยราวกับว่านางรู้อยู่ก่อนแล้ว และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงเพราะเชียนซานนำเรื่องนี้มากล่าวแก่นางตั้งแต่วันแรกที่ฮ่องเต้ทรงกำหนดมาแล้ว เชียนซานบอกกับนางถึงสถานการณ์ของหลี่เฉินเย่นโดยละเอียดว่าเขาไม่แต่งไม่ได้ หากไม่ยอมแต่งแม้แต่ชีวิตของตนเองก็ยากจะรักษาไว้ได้ หากเขายอมแต่งก็จะยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฝ่าบาทได้อยู่ อีกทั้งครอบครัวเฉินอวี่จู๋ก็เป็นขุนนางใหญ่โตมากด้วยอำนาจ ตระกูลเฉินยิ่งใหญ่มีกองกำลังมากมายในมือ หากทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของหลี่เฉินเย่นแล้วล่ะก็ย่อมเป็นกำลังเสริมที่น่ากลัวของเขาได้แน่ ชูเซี่ยในยามนี้ก็ไม่มีความคิดว่านางจะได้แต่งงานกับหลี่เฉินเย่นอีกต่อไปแล้ว เพราะว่านางเองก็รู้สึกได้ว่าร่างกายนี้เริ่มต่อต้านวิญญาณของนางอีกครั้ง ตอนนี้นางจะต้องยืนหยัดให้ได้เพื่อเขา และเมื่อถึงวันนั้นวันที่นางต้องจากเขาไป อย่างน้อย นางก็จะได้จากไปอย่างหมดห่วง ผู้ชายที่นางรักมากที่สุดกำลังจะแต่งงานอีกทั้งเจ้าสาวก็ไม่ใช่นาง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้หัวใจของนางเจ็บปวดราวกับกำลังหลั่งเลือดออกมาจนท่วมท้น ยามที่นางอยู่ในพรรคมังกรเหินหลายต่อหลายคืนที่ไม่อาจข่มใจหลับลงได้ หัวใจของนางเจ็บปวดเหลือคณา แต่นางก็ยังพยายามปลอบใจตนเองว่าอย่างไรเสียใจหัวใจของหลี่เฉินเย่นก็มีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น ต่อให้เขาแต่งกับเฉินอวี่จู๋ก็ไม่มีทางเทียบเท่านางได้ เมื่อชูเซี่ยกลับมาที่จวนอ๋อง ฉ่ายเวินก็มาพบนางทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของหลี่เฉินเย่นขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เมื่อนางเห็นหน้าของชูเซี่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ “เขาใกล้จะแต่งงานอยู่แล้วแต่เหตุใดท่านจึงยังใจเย็นนักเล่า เดิมทีคนที่เขาตั้งใจจะแต่งเป็นพระชายาก็คือท่านนะเจ้าคะ!” ชูเซี่ยจึงเอ่ยถาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็สอนข้าได้หรือไม่ว่าข้าควรทำเช่นไร จะให้เขาขัดราชโองการงั้นหรือ” ฉ่ายเวินกำมือแน่น นางรู้สึกโมโหอย่างยิ่งยวด “แต่ว่าข้ารู้สึกโกรธแทนท่านนี่เจ้าคะ เฉินอวี่จู๋เป็นคนเช่นไรเราก็ไม่รู้ นางถือดีอะไรมาครองตำแหน่งพระชายา ข้าได้ยินข่าวลือมาว่านางเป็นหญิงสาวใจร้อนหยิ่งยโสถือดีว่าตนเป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ นางเป็นคุณหนูอารมณ์ร้ายเอาแต่ใจยิ่ง หากว่านางแต่งเข้าจวนอ๋องท่านและข้าก็คงลำบากไม่น้อย” ชูเซี่ยถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “แม่นางน้อยที่โง่งม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือเป็นข้า หรือแม้แต่ตัวของเฉินเย่นเองก็ไร้ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้ได้ ในเมื่อเราเปลี่ยนไม่ได้เราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ในที่สุด” ฉ่ายเวินหันมามองที่นาง ใบหน้างามส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “บางครั้งข้าก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วท่านไม่ได้รักศิษย์พี่แม้แต่น้อย คนรักกันเขาไม่ทำกันเช่นนี้หรอกนะเจ้าคะ!” ชูเซี่ยยิ้มออกมา นางไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปแม้แต่น้อย ฉ่ายเวินกล่าวผิดแล้ว ไม่ใช่ว่านางไม่รัก แต่เป็นเพราะนางรักมากเกินไปต่างหากเล่า เพราะว่ารักมากนางจึงรู้ตัวและทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ให้เขาอย่างถึงที่สุดต่างหากเล่า เพราะว่ารักมากนางถึงต้องยอมกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดของตนเองเพื่อให้เขาต้องทำในสิ่งที่ตนเองทำ ตลอดสองวันที่ผ่านมาหลี่เฉินเย่นไม่มาพบหน้าชูเซี่ยอีกเลย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะมาเผชิญหน้ากับนางเช่นไรดี เขารู้สึกผิดต่อนางเหลือเกิน ดังนั้นต่อให้ชายหนุ่มจะคิดถึงนางมากเพียงใดก็ไม่ยอมแม้แต่จะเฉียดใกล้ไปที่เรือนจื่อยี่แม้แต่ก้าวเดียว ชูเซี่ยเองก็รู้ใจของเขานางจึงไม่ไปพบหน้าเขาเช่นกัน แต่นางเลือกที่จะไปพบจูฟางหยวนเพื่อนระบายความอัดอั้นตันใจ ของตนเองแทน นางรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ยังมีจูฟางหยวนที่รับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจของนาง มิฉะนั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร ในวันนี้ก็เช่นเคย ชูเซี่ยจงใจหลีกเลี่ยง นางออกมาหาจูฟางหยวน ทั้งสองกินอาหารมื้อใหญ่ด้วยกัน ทั้งยังไม่ร่ำสุราจนถึงยามเย็นจึงจะเดินทางกลับจวน ยามที่ชูเซี่ยเดินผ่านาลาหลิงอวิ่นนางเห็นว่าหลี่เฉินเย่นยืนอยู่บนศาลา มือหนาของเขาจับราวระเบียงศาลาไว้ แสงอาทิตย์ทยามเย็นที่ส่องแสงเป็นประกายสาดส่องลงมาบนร่างของเขา แต่ทว่าก็ดูเหมือนแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นนั้นจะไม่อาจนำพาความอบอุ่นมาสู่ร่างสูงได้เลยแม้แต่น้อย ทำให้ชูเซี่ยรู้สึกสงสารและปวดใจยิ่งนัก หญิงสาวค่อยๆก้าวขึ้นบันไดหินทีละขั้นๆจนไปหยุดอยู่เบื้องหลังของเขาจากนั้นก็ค่อยๆอ้อมไปกอดชายหนุ่มจากด้านหลัง! 
已经是最新一章了
加载中