ตอนที่ 96 เข้าใจกัน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 96 เข้าใจกัน
ต๭นที่ 96 เข้าใจกัน ฮ่องเต้ที่ทรงมั่นพระทัยว่าจะไม่แก่ไม่เจ็บและไม่ตายทั้งยังอายุยืนยาว เหตุใดพระทัยของฝ่าบาทจึงบิดเบี้ยวได้ถึงเพียงนี้ก็สุดแล้วแต่ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ “ทหาร สั่งการลงไปให้ทหารทั้งหมดในจวนออกไปช่วยเจิ้นหยวนอ๋องตามหาองค์ชายน้อยอานเหยียน!” “ส่งคนไปตรวจสอบว่ามีคนน่าสงสัยเข้ามาในเมืองหลวงระยะนี้ด้วยหรือไม่!” “ระยะนี้จับตามองดูความเคลื่อนไหวในวังหลวงด้วย!” “รีบไปเชิญแม่ทัพเฉินมาพบเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้” “...” “...” เพราะหลี่เฉินเย่นอ้าปากสั่งการทีเดียวสิบกว่าข้อทำให้เหล่าองครักษ์ข้างกายยืนนิ่งฟังจนจบเสียก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันไปปฎิบัติหน้าที่ เพียงไม่นานแม่ทัพเฉินก็ถูกพาตัวเข้ามาในจวน แม่ทัพวัยกลางคนวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนกจากนั้นก็โค้งกายคำนับ “ท่านอ๋อง ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดมาบ้างแล้ว ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” หลี่เฉินเย่นเอ่ยปากถามขึ้นทันที “เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่เจ้าไปที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนมา” เขาก็เคยคิดเช่นกันว่านิสัยมุทะลุของแม่ทัพเฉินอาจจะรู้สึกไม่พอใจที่เสด็จพี่ลงไม้ลงมือกับเขาจึงแอบไปลักพาตัวอานเหยียนมาเพื่อแก้แค้น “เป็นเช่นนั้นขอรับ แต่ทว่าข้าไม่ได้เป็นผู้ลักพาตัวองค์ชายน้อยนะขอรับ คนอย่างข้าไม่มีวันทำเรื่องตำช้าเช่นนี้แน่” หลี่เฉินเย่นค่อยเบาใจลง “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปทำอะไรที่จวนอ๋องเจิ้นหยวน แม่นมของจวนอ๋องเห็นว่าเจ้าด้อมๆมองๆอยู่นอกจวน พฤติกรรมน่าสงสัย” แม่ทัพเฉินขมวดคิ้ว “เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งนัก เช้าวันนี้ระหว่างที่ข้าเดินทางออกจากค่ายทหารเพื่อกลับเรือนของตน ระหว่างที่ข้าผ่านประตูทิศใต้เข้ามาในซอย จู่ๆก็มีชายชุดดำสองคนซุ่มโจมตีข้า พวกเราปะทะกันอยู่หลายกระบวนท่าสุดท้ายพวกมันสองคนก็วิ่งหนีไป เมื่อข้าวิ่งไล่ตามก้เห็นว่าพวกมันหายเข้าไปในจวนอ๋องเจิ้นหยวน ตอนนั้นข้าตั้งใจจะเข้าไปถามในจวนอ๋องให้รู้เรื่อง แต่ทว่าเพราะเรื่องราวที่ท่านอ๋องสองคนบาดหมางกันอยู่ทำให้ข้าไม่กล้าทำอะไรวู่วาม ดังนั้นยังไม่ทันที่ข้าจะสืบหาความจริงก็ยอมล่าถอยออกมาแต่โดยดีขอรับ” หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว “หมายความว่ามีคนตั้งใจหลอกล่อให้เจ้าไปที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนงั้นหรือ” “ข้าน้อยก็คิดเช่นที่ท่านอ๋องกล่าวมา ตอนที่ข้าสู้กับชายชุดดำทั้งสอง วรยุทธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดาเลยขอรับ หากสู้กันต่อไปอาจเป็นข้าที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็เป็นได้แต่ทว่าพวกมันกลับเลือกที่จะหนี เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะหลอกล่อข้าไปที่จวน” แม่ทัพเฉินก้มหน้าอย่างสำนึกผิด “เป็นเพราะข้าประมาทเลินเล่อเองทำให้เป็นไปตามแผนการณ์ของคนพวกนั้น” หลี่เฉินเย่นทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันมาถามชูเซี่ยอีกครั้ง “เจ้ามั่นใจมากน้อยเพียงใดว่าผู้ที่ลักพาตัวอานเหยียนไปคือเสด็จพ่อ” ชูเซี่ยเลิกคิ้ว “มีความเป็นไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!” อีกครึ่งที่เหลือก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นฝีมือของอ๋องเก้าที่สั่งคนให้ลักพาตัวอานเหยียนเพื่อให้สามคนพ่อลูกห้ำหั่นกันเอง ความเป็นไปได้ข้อนี้ก็สูงแต่ทว่าสำหรับนางแล้วดูอย่างไรอ๋องเก้าก็ไม่น่าจะเป็นผู้ที่สามารถลงมือกับเด็กสามขวบได้ลงคอ เป้าหมายของเขาคือฮ่องเต้ สำหรับหลานทั้งสองแล้วเขาก็ยังเป็นเสด็จลุงที่ใจกว้างและเป็นธรรม แต่ในยามนี้จะให้นางบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับอ๋องเก้าเลยนางก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากนัก เพราะนางเองก็รู้สึกได้ว่าอ๋องเก้าในยามนี้ไม่เหมือนอ๋องเก้าที่นางเคยรู้จักเมื่อครั้งอยู่ที่มณฑลกว้างตุ้งอีกแล้ว หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ยถามอีก “แล้วอีกครึ่งหนึ่งเล่า?” ชูเซี่ยถอนหายใจก่อนจะเอ่ยอย่างลังเล “อ๋องเก้าเจ้าค่ะ!” หลี่เฉินเย่นอึ้ง ดวงตาเป็นประกาย “เจ้ารู้เรื่องอะไรมาใช่หรือไม่” “ข้าเพียงไม่อยากแยกเขาออกจากผู้ต้องสงสัยก็เท่านั้น แน่นอนว่าเขาเองก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้ส่งคนไปลักพาตัวอานเหยียนมาได้เช่นกัน แต่ทว่าตอนนี้ไม่ว่าผู้ที่ลักพาตัวอานเหยียนไปจะเป็นฮ่องเต้หรืออ๋องเก้า พวกเราก็ล้วนวางใจได้ครึ่งหนึ่ง เพราะพวกเขาทั้งสองไม่มีวันทำอันตรายต่ออานเหยียนแน่ แต่หากว่าผู้ที่ลงมือเป็นศัตรูของจวนอ๋องเจิ้นหยวนแล้วล่ะก็ เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะเจ้าค่ะ” นอกห้องมีเงาของคนคนหนึ่ง คนผู้นั้นก็คือจูเก๋อหมิง ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้อง “เมื่อครู่ข้าได้ยินข่าวว่า สามวันก่อนที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนได้ไล่คนผู้หนึ่งออกจากจวน คนคนนั้นเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของพระสนม เขาถูกโบยห้าสิบครั้งจากนั้นก็ถูกไล่ออกจากจวนไป” หลี่เฉินเย่นรีบออกคำสั่ง “แม่ทัพเฉิน รีบส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้!” จูเก๋อหมิงรั้งไว้ “ไม่จำเป็นแล้ว ข้าตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว คนคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่อง อีกทั้งเพื่อนบ้านของบ่าวผู้นั้นก็บอกเพียงว่าเขาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว!” “ถูกโบยไปห้าสิบครั้ง อย่างน้อยต้องใช้เวลกว่าครึ่งเดือนจึงจะลงจากเตียงได้!” จูเก๋อหมิงพยักหน้า “ในใต้หล้านี้ขอเพียงมีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้ ตราบใดที่ยังมีเงินไม่ว่าปัญหาใดก็ล้วนแก้ไขได้ ก่อนที่บ่าวผู้นั้นจะถูกขับออกจากจวนเขายังประกาศกร้าวว่าจะต้องให้พวกเขาทั้งหมดในจวนใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุข” แม่ทัพเฉินผุดลุกขึ้น “เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าบ่าวผู้นี้แน่ เขาเคยเป็นบ่าวรับใช้ในจวนย่อมต้องหาจังหวะลงมือได้แน่ ข้าจะไปตามหาตัวมันผู้นี้จับกลับมาให้ได้” “ก็ดี เจ้ารีบไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้” หลี่เฉินเย่นสั่ง แม่ทัพเฉินเมื่อได้รับคำสั่งก็ถอยกายออกไปทันที หลี่เฉินเย่นเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้กลางห้อง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ชายหนุ่มหันมามองที่จูเก๋อหมิงที จากนั้นก็หันกลับมามองชูเซี่ยอีกที “เปิ่นหวางอยากไปให้พ้นจากสถานที่บ้าๆแบบนี้สักที เปิ่นหวางเบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งชิงดีใช้กลอุบายแบบนี้เต็มทนแล้ว” จูเก๋อหมิงเอ่ยขึ้น “หมากกระดานนี้เริ่มเล่นแล้ว ทั้งเจ้าและหลี่อวิ่นกังต่างก็เป็นหมากในกระดานของเขา หนีไปไหนไม่รอดหรอก ยอมก้มหน้ายอมรับมันเสียเถิด เราไม่จำเป็นต้องชนะอย่างสวยงามหรอก แต่ทว่าอย่าพ่ายแพ้อย่างหมดรูปก็พอ” ในท้ายที่สุด แต่หากวันใดที่พระองค์ตั้งใจจะสังหารบุตรพระองค์ก็ย่อมสามารถทำได้อย่างง่ายดายราวกับฆ่ามดปลวก ทั้งสามนิ่งเงียบตกอยู่ภวังค์ความคิดของตนเอง จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามก็ยังไม่มีองครักษ์คนใด หลี่เฉินเย่นอดรนทนไมไหว ท้ายที่สุดก็ออกไปตามหาคนด้วยตัวเอง ชูเซี่ยนอนไม่หลับ นางเดินไปเดินมาอยู่ที่ลานกว้าง ในค่ำคืนนี้หนาวเย็นยิ่งนัก แสงจันทร์ส่องแสงสว่างกระจ่างตา หลังจากที่หิมะโปรยปรายเมื่อช่วงยามโหย่วที่ผ่านมา ยามนี้อากาศก็ดียิ่ง เหล่าข้ารับใช้เริ่มจุดโคมไฟสีแดงไปทั่วทั้งเรือนอีกครั้ง สีแดงที่ส่องสว่างราวกับมีดกรีดลงมาในใจของชูเซี่ย เป็นเพราะยามนี้นางอยู่ในที่ลับสายตาผู้คนนางจึงกล้าที่จะแสดงอารมณ์อ่อนไหวและความเจ็บปวดออกมา จูเก๋อหมิงก็นอนไม่หลับเช่นกัน ชายหนุ่มจึงออกมาเดินเล่นที่สวนอุทธยานก็เห็นร่างบอบบางของชูเซี่ยที่กำลังมองโคมไฟมงคลอย่างเหม่อลอย ดวงตากลมของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เห็นภาพตรงหน้าหัวใจของชายหนุ่มก็เจ็บแปลบขึ้นมา เขาไม่กล้าออกไปพบนาง เพราะว่าทันที่เขาออกไปชูเซี่ยจะต้องปั้น หน้ายิ้มกลบเกลื่อน เขาไม่อาจทนได้หากว่านางไม่สามารถที่จะมีช่วงเวลาที่จะระบายความอัดอั้นตันใจได้ เชียนซานกระซิบอยู่เบื้องหลังนาง หญิงสาวยิ้มออกมา แม้จะเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างไม่เต็มใจ ใบหน้าของเชียนซานเองก็ดูเหนื่อยล้าไม่ใช่น้อยแต่เพียงครู่เดียวก็กลับสู่ใบหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม เขาไม่รู้ว่าพวกนางสองคนคุยอะไรกัน แต่ทว่าเมื่อพูดจบ ชูเซี่ยก็ลุกขึ้นและพวกนางทั้งสองคนก็เดินจากไป ชายหนุ่มเองก็ถอนหายใจอย่างหนักอกหนักใจจากนั้นก็หันหายกลับเรือนนอนเช่นกัน ในเช้าวันต่อมา แม่ทัพเฉินก็จับบ่าวรับใช้ผู้นั้นกลับมาได้ในที่สุด หลี่เฉินเย่นที่ค้นหาคนมาตลอดทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงจวนเห็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นก็เดินตรงไปชกหน้าทันทีจากนั้นก็เอ่ยเสียงเข้ม “พูดมา เจ้าเป็นคนลักพาตัวองค์ชายน้อยไปใช่หรือไม่” บ่าวรับใช้ขวัญหนีดีฝ่อ เขาร้องออกมาอย่างเสียขวัญ “”ท่านอ๋องโปรดเมตตา บ่าวจะกล้าลักพาตัวองค์ชายน้อยได้อย่างไรกัน ไม่ใช่บ่าวจริงๆนะขอรับ! หลี่เฉินเย่นโน้มร่างลงมาก่อนจะกระชากชายเสื้อของบ่าวผู้นั้น “หากว่าไม่ใช่เจ้าทำแล้วเจ้าจะหนีทำใม” ร่างของบ่าวผู้นั้นสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว “บ่าวได้ยินว่าองค์ชายน้อยหายไป กลัวว่าเจิ้นหยวนอ๋องจะคิดว่าเป็นฝีมือของบ่าว บ่าวจึงหนีขอรับ” หลี่เฉินเย่นเตะเข้าไปที่ร่างของบ่าวรับใช้ “ยังกล้าโกหกอีกหรือ ดูท่าหากว่าเปิ่นหวางไม่ใช้ไม้แข็งเจ้าก็คงไม่ยอมรับสินะ ทหารนำมันไปโบยห้าสิบไม้!” บ่าวผู้นั้นคุกเข้าลงกับพื้นเอ่ยขอร้องอ้อนวอน “ท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วย บ่าวไม่ได้เป็นคนลักพาตัวท่านอ๋องน้อย ต่อให้มีความกล้ามากมายเพียงใดบ่าวก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ ขอท่านอ๋องทรงพิจารณา ขอท่านอ๋องเมตตาด้วย!” ชูเซี่ยก้าวมาข้างหน้าต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆความเจ็บปวดก็จู่โจมเข้ามาในหัวใจและศีรษะ จู่ๆหัวของนางก็มีภาพเลือนลางภาพหนึ่งผุดขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นความเจ็บจนหญิงสาวร้องออกมาจากนั้นก็กุมหน้าอกตนเองไว้แน่น! หลี่เฉินเย่นตื่นตระหนกรีบถลาเข้ามาช้อนร่างนางขึ้นก่อนจะถามอย่างร้อนรน “อะไรหรือ ปวดท้องงั้นหรือ” ชายหนุ่มนึกว่านางมีอาการเหมือนครั้งที่แล้วที่กินยาวิเศษเข้าไปจึงปวดท้อง ตอนนี้ชายหนุ่มตกใจจนตื่นตระหนกไปหมดมีหรือจะสนใจบ่าวผู้นั้นอีก ทรวงอกของชูเซี่ยยังหลงเหลือความเจ็บปวด นางถูกหลี่เฉินเย่นอุ้มไปวางที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง หญิงสาวพยายามหายใจลึกๆก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” แม่ทัพเฉินหันมากล่าว “คงเป็นเพราะบ่าวผู้นี้ทำให้ท่านหมอเวินตื่นตกใจ ท่านอ๋อง ข้าขอเป็นผู้สอบปากคำมันเองขอรับ!” ใจของหลี่เฉินเย่นจดจ่ออยู่ที่ชูเซี่ยผู้เดียวเท่านั้น เมื่อได้ยินแม่ทัพเฉินพูดเช่นนั้นเขาก็ตะคอกกลับ “เอามันออกไป!” แม่ทัพเฉินรับคำสั่งจากนั้นก็ลากบ่าวผู้นั้นจากไป หลี่เฉินเย่นใช้มือทั้งสองกอบกุมใบหน้าของนางไว้ เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ใบหน้าหล่อเหล่าฉายแววเจ็บปวดและกังวลขณะมองมาที่ใบหน้าของชูเซี่ย “ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อกี้มีภาพผุดขึ้นมาในหัว จากนั้นก็เจ็บหน้ากขึ้นมาก็เท่านั้น เฉินเย่น เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ของอานเหยียน” หลี่เฉินเย่นชะงัก “ได้ยินที่ไหน” “เมื่อครู่ที่ข้าเจ็บหน้าอกขึ้นมาเจ้าค่ะ ข้าเห็นภาพอานเหยียนนอนอยู่บนเตียงและเขากำลังร้องไห้เสียงดัง” หลี่เฉินเย่นมองใบหน้าของนาง “นั่นอาจเป็นเพราะเจ้าเป็นห่วงอานเหยียนจนเกินไปน่ะสิ อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้า สายสัมพันธ์แม่ลูกก็คงทำให้เจ้าเกิดภาพลวงตาขึ้นมาก็เป็นได้ นี่เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งเชียนซานก็กล่าวกับข้าว่าเจ้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะเจ้ามัวแต่คิดมาก!” ภาพลวงตา? ชูเซี่ยนิ่งเงียบไป นางไม่ได้เถียงเขา เพราะบางทีมันก็อาจเป็นภาพลวงตาจริงๆ จู่ๆนางก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนตอนที่นางยังอยู่ในร่างของหลิวหยิงหลง ตอนที่หลี่เฉินเย่นนอนบาดเจ็บไม่ได้สติอยู่ในถ้ำ ในหัวของนางก็มีภาพเช่นนี้ผุดขึ้นมาในสมองเช่นกัน ในท้ายที่สุดหลี่เฉินเย่นก็อยู่ในถ้ำจริงๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่ภาพลวงตาแต่เป็นความสามารถพิเศษของนาง นับตั้งแต่ที่นางกินยาวิเษของท่านอาจารย์เข้าไป พลังวิญญาณในร่างของนางก็เพิ่มพูนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นนางสามารถใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของเล็กๆน้อยได้ ทั้งยังสามารถเหาะได้ แต่สำหรับภาพที่เห็นในหัวนี้นางไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันเป็นจริงหรือเป็นเพียงแค่นางคิดมากไปเอง นางหลับตาลง พยายามนึกถึงภาพขงอานเหยียนเมื่อครู่อีกครั้ง แต่ทว่าในหัวกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า มองอะไรไม่เห็นอีก ในเวลานั้นเองที่ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของนางค่อยหายไปแทนที่ด้วยความเหนื่อยอ่อน “หรือว่าอาจเป็นข้าที่คิดมากไปจริงๆเจ้าค่ะ!” “ถ้าเช่นนั้นเรากลับไปพักผ่อนกันก่อนเถิด!” เขาพยุงร่างของนางไว้ก่อนเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เดินไหวหรือไม่” ชูเซี่ยเกาะเขาไว้ “ไหวเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไร!” เมื่อทั้งสองกลับเข้ามาที่เรือนชูเซี่ยก้มหน้าก้มตาเดินตลอดทางเพราะนางไม่อยากมองของใช้หรือสิ่งประดับงานมงคลแม้แต่น้อย สีแดงของมันช่างบาดตาบาดใจนางเหลือเกิน หัวใจของนางมีความรู้สึกขมขื่นอย่างยิ่งยวด แม้แต่น้ำตาของนางก็ราวกลับจะสามารถไหล่ออกมาได้ทุกเมื่อ นางต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกินที่จะสะกดกลั้นน้ำตาและความเจ็บปวดขมขื่นของตนไว้ได้ เพราะมีเขาคอยอยู่ข้างกายกอปรกับร่างกายที่เหนื่อยล้าทำให้ไม่นานนางก็หลับไหลเข้าสู่ห้วงฝันในที่สุด ในความฝันของนาง นางฝันเห็นตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ในความมืดมีเสียงของเด็กน้อยก้องดัง เป็นเสียงร้องของอานเหยียนที่ส่งเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านแม่อยู่ไหน ท่านแม่อยู่ที่ไหน” อานเหยียนร้องไห้และกรีดร้อง แต่จู่ก็มีมือเอื้อมมาอุ้มอานเหยียนขึ้นจากนั้นก็ตะคอกใส่อานเหยียนเสียงดัง แต่เมื่อเด็กน้อยยังคงร้องไห้ไม่หยุดมือของคนผู้นั้นก็ตีลงที่ก้นน้อยๆนั่นอย่างแรง อานเหยียนร้องไห้จนใบหน้าน้อยนั้นแดงก่ำไปหมด น้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ร้องจนดวงตาแดงช้ำ “อานเหยียน!” ชูเซี่ยร้องออกมาจากนั้นก็สะดุ้งตื่นจากความฝันทันที หลี่เฉินเย่นกอดนางไว้ “เจ้าฝันร้ายหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยกับเขาด้วยเสียงแตกตื่น “ข้าฝันเห็นอานเหยียน อานเหยียนร้องไห้น่าสงสารยิ่งนัก เฉินเย่น เจ้าคิดว่าเป็นเสด็จพ่อของเจ้าที่ลักพาตัวเขาไปหรือไม่” 
已经是最新一章了
加载中