ตอนที่ 97 ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม
1/
ตอนที่ 97 ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 97 ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม
ตนที่ 97 ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม หลี่เฉินเย่นนิ่งเงียบไป จากนั้นชายหนุ่มก็ถอนหายใจลากยาว “หากเป็นเสด็จพ่อจริง ชาตินี้เปิ่นหวางก็ไม่อาจให้อภัยเขาได้” อานเหยียนเป็นหลานชายแท้ๆของเขา อายุเพียงแค่สามขวบเท่านั้น ยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาไม่รู้ความสมควรอยู่ในอ้อมกอดพ่อแม่อย่างมีความสุขมากกว่าการที่จะต้องตกมาเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่ในการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ชูเซี่ยนอนไม่หลับอีกแล้ว หัวใจของนางเต้นแรงอย่างน่ากลัว นางมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่ มันเป็นความรู้สึกที่หวาดกลัว หญิงสาวซุกกายเข้ามาในอ้อมแขนของหลี่เฉินเย่นมากขึ้น นางอยากออกตามหาอานเหยียนด้วยตัวเองหลือเกิน ไปหาเขาในที่ที่นางฝันเห็น หลังจากที่หลี่เฉินเย่นตื่นนอนเขาก็เริ่มระดมกำลังตามหาอานเหยียนกันอีกครั้ง ชูเซี่ยนั่งรอข่าวคราวอยู่ในจวนได้เพียงครู่เดียวก็เรียกหาเชียนซาน “ข้าอยากออกไปตามหาอานเหยียน” “หากนายหญิงประสงค์เช่นนั้นก็เพียงแค่สั่งเหล่าชาวพรรคมังกรเหินไปตามหาก็พอแล้วเจ้าค่ะ ไม่จำเป็นต้องตามหาด้วยตนเองหรอก” ชูเซี่ยครุ่นคิด “ก็ดี เช่นนั้นเจ้าช่วยไปกระจายคำสั่งให้คนในพรรคมังกรเหินทุกคนออกตามหาอานเหยียนให้พบ” เชียนซานโค้งคำนับ “เจ้าค่ะ!” หลังจากที่เชียนซานออกไป จิตใจของชูเซี่ยก็ยังไม่อาจสงบลงได้ นางทำสีหน้าครุ่นคิดจากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทั้งยังโพกศีรษะเรียบร้อย ก่อนจะวิ่งออกจากไป ตอนนี้ชูเซี่ยยืนอยู่ด้านหลังจวนเจิ้นหยวน ในมือของนาง ในมือของนางถือเสื้อผ้าของอานเหยียนไว้ นางนำผ้ามาให้เจ้าถ่านดม “เจ้าถ่าน พวกเราไปหาอานเหยียนกันเถิด ข้าไม่รู้ว่าอานเหยียนอยู่ที่ใด เจ้าต้องช่วยข้านะ” ราวกับว่าเจ้าถ่านฟังคำพูดของนางรู้เรื่อง มันก้มลงดมผ้าในมือของนางฟุดฟิดๆ จากนั้นก็เห่าเสียงดังพร้อมนำทางชูเซี่ยไปข้างหน้า เจ้าถ่านยังคงนำทางชูเซี่ยไปข้างหน้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงจนกระทั่งเริ่มห่างออกจากตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางที่นางผ่านมามีหมู่บ้านที่ยากจนอยู่หลายแห่งที่สร้างจากดินโคลนและก้อนอิฐอย่างเรียบง่าย เมื่อเวลาล่วงมาจนถึงช่วงเย็นท้องฟ้าก็เริ่มอึมครึมอีกครั้ง จากนั้นไม่นานหิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง ชูเซี่ยเหยียบย่ำลงบนพื้นหิมะที่อ่อนนุ่มให้ความรู้สึกสบายเท้าอย่างประหลาด ทันใดนั้นเจ้าถ่านก็ส่งเสียงเห่าออกมาหลายครั้งก่อนจะตามมาด้วยเสียงโครมคราม หัวใจของชูเซี่ยกระตุกวูบ นางคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าถ่านจึงรีบวิ่งตามไปที่ต้นเสียงทันที จากนั้นนางก็พบว่าเจ้าถ่านกำลังนั่งกระดิกห่างอยู่ที่ลานบ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง ในปากของมันคาบกระดูกชิ้นใหญ่ไว้อีก ด้วย ชูเซี่ยเดินเข้าไปอุ้มเจ้าถ่านขึ้นมาก่อนถอนหายใจ “วันนี้เราหากันมาตลอดทั้งบ่าย เจ้าคงหิวแล้วสินะ เป็นข้าเองที่ไม่ดีลืมให้เจ้ากินอิ่มเสียก่อนแล้วจึงค่อยออกค้นหา” นางหันไปมองรอบๆด้านก็พบว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงมากพอสมควร มีเด็กๆวิ่งไปมารอบๆอย่างสนุกสนาน ถัดมาก็มีหญิงสาวชาวไร่ที่เก็บข้าวของที่ตากไว้ หญิงผู้นั้นเก็บข้าวของไปก็บ่นไป “นึกว่าวันนี้ฟ้าจะปลอดโปร่งเสียอีก กลายเป็นหิมะตกเสียนี่ อยากให้ผู้อื่นหนาวตายหรืออย่างไรกัน” ชูเซี่ยอุ้มเจ้าถ่านไว้ในอ้อมกอดจากนั้นก็เดินออกไปอีกทาง “พวกเราไปหาร้านอาหารกินอะไรกันก่อนดีกว่านะ กินอิ่มแล้วค่อยเริ่มต้นหากันใหม่” ตอนนี้นางไม่มีเบาะแสอะไรสักอย่าง ตอนที่นางออกจากจวนมาในใจของนางก็เชื่อในสัญชาติญาณของตนเองมากพอสมควร แต่ทว่ายามนี้ความรู้สึกพวกนั้นเลือนหายไปจนแทบไม่เหลือ หากฝ่าบาทต้องการลักพาตัวอานเหยียนจริงก็คงไม่พาเขามาซ่อนตัวในที่แบบนี้หรอกกระมัง อย่างน้อยอานเหยียนก็เป็นพระราชนัดดาแท้ๆของพระองค์ อย่างไรก็ตามในขณะที่นางหันหลังเดินกลับได้เพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆหัวใจของนางก็เริ่มเจ็บแปลบขึ้นอีกครั้งพร้อมภาพที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง กำแพงอิฐสีเขียวและเสียงร้องไห้จ้าของเด็ก นางก้มลงคุกเข้าลงกับพื้นจากนั้นก็หลับตาทำสมาธิ ภาพในหัวก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง กำแพงอิฐสีเขียว มีดอกเหมยฮวาบานอยู่บนนั้น ที่หน้าประตูล่ามสุนัขไว้ตัวหนึ่งทั้งยังมีนายทหารสองคนยืนเฝ้าประจำการอยู่ เมื่อภาพในหัวหายไปแล้ว ชูเซี่ยก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน นางมองไปรอบๆ บ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะสร้างด้วยดินโคลนและอิฐมอญง่ายๆเท่านั้น นางหลับตาลงหวังว่าจะมีภาพเมื่อครู่ปรากฎในหัวอีกครั้งแต่ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินเข้าไปหาสาวชาวบ้านเมื่อครู่นี้ “ท่านน้าเจ้าคะ ข้าขอสอบถามอะไรหน่อยได้หรือไม่!” หญิงสาวผู้นั้นแบกห่อผ้าไว้ในอ้อมกอดจากนั้นก็สาวท้าวเข้ามาใกล้นาง “มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยถามนาง “ข้าอยากถามท่านว่าบริเวณนี้บ้านหลังใดที่มีกำแพงอิฐสีเขียวหรือไม่เจ้าคะ” ผู้หญิงคนนั้นจับเส้นผมของนางเล่น “บริเวณนี้ไม่มีหรอก แต่ถ้าหากว่าเจ้าเดินตรงไปทางนี้จนออกจากหมู่บ้านไป บริเวณทะเลสาปจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของผู้มีอันจะกินที่มาสร้างไว้ มีกำแพงอิฐสีเขียวอย่างที่เจ้าว่านั่นล่ะ!” ชูเซี่ยยิ้มอย่างยินดี นางรีบร้อนเอ่ยขอบคุณจากนั้นก้อุ้มเจ้าถ่านวิ่งไปตามทาง ตลอดทางที่ผ่านมาเจ้าถ่านเชื่อฟังยิ่งนัก มันไม่ส่งเสียงเห่าแม้แต่น้อยปล่อยให้ชูเซี่ยอุ้มมันวิ่งไปตามทางเดินอยู่อย่างนั้น หลังจากวิ่งมานานกว่าครึ่งชั่วยามนางก็พ้นเขตหมู่บ้านในที่สุด ทิวทัศน์โดยรอบค่อยๆแห้งแล้งขึ้น ต้นไม้ทุกต้นเหลือเพียงกิ่งไม้เปลือยเปล่าปราศจากใบไม้คอยห่อหุ้ม จนกระทั่งหญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงทางแยก ชูเซี่ยนิ่งไปนาน นางไม่รู้ว่าควรไปทางซ้ายหรือทางขวาดี พอดีกับที่ทางซ้ายมีคนตัดฟืนอยู่บริเวณนั้นพอดี ชูเซี่ยจึงสาวเท้าก้าวไปหาเขา “พี่ชายท่านนี้ ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยเถิด บริเวณนี้มีบ้านที่มีกพแพงอิฐสีเขียวหรือไม่เจ้าคะ” คนตัดฟืนเงยหน้าขึ้นมามองนางเล็กน้อยจากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางขวา “ที่เจ้าต้องการถามคือบ้านพักตากอากาศของเจ้าของโรงรับจำนำใช่หรือไม่ แม่นางก็เดินไปทางขวาประมาณครึ่งชั่วยามก็เจอบ้านหลังนั้นแล้วล่ะ” ชูเซี่ยเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็เดินไปทางขวาตามที่ชายตัดฟืนผู้นั้นบอกทาง ระหว่างที่นางเดิน หญิงสาวก็มองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง นางปรับผ้าคลุมผมให้ลงมาปิดหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้า ชูเซี่ยเดินไปสักครู่นางก็หลบไปอยู่หลังก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง รอจนคนตัดฟืนผู้นั้นจากไปนางจึงค่อยๆโผล่ศีรษะออกมา เดิมทีนางก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไรนัก เพียงแต่ว่าตอนที่คนตัดฟืนผู้นั้นยื่นมือออกมาชี้นิ้วบอกทางนางนั้น มือของเขาทั้งขาวทั้งสะอาด คนที่ตัดฟืนมาตลอดชีวิตจริงไม่มีทางเสียหรอกที่จะมีมือที่ขาวสะอาดถึงเพียงนี้ หญิงสาววิ่งกลับไปทางแยกเมื่อครู่แต่ครั้งนี้นางเลี้ยวไปทางซ้ายแทน หญิงสาววิ่งพลางอุ้มเจ้าถ่านอย่างไม่คิดชีวิตเพราะกลัวว่าคนตัดฟืนเมื่อครู่จะย้อนกลับมาอีกครั้ง ผ่านไปหนึ่งก้านธูปนางก็เห็นสายน้ำเล็กๆไหลผ่านจนบรรจบกับทะเลาสาป นางมองไปข้างหน้าก็พบว่ามีบ้านหลังหนึ่งที่มีกำแพงอิฐสีเขียวอยู่จริงๆ ลักษณะบ้านเหมือนกับภาพที่ผุดในหัวของนางทุกประการ หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น หญิงสาวนั่งคุกเข่าลงอยู่เบื้องหลังหินก้อนใหญ่ ก่อนจะโผล่หน้าออกมาสอดส่องบริเวณโดยรอบเล็กน้อย บริเวณหน้าบ้านมีนายทหารเฝ้าเวรอยู่สองคนจริงๆ หญิงสาวหลับตาลงช้าๆเพื่อรับฟังเสียงโดยรอบ นางได้ยินเสียงของเด็กร้องไห้ดังมาจากในบ้าน เป็นเสียงของอานเหยียนไม่ผิดแน่ ชูเซี่ยสูดลมหายใจลึกๆอย่างตื่นเต้น ต้องเป็นอานเหยียนแน่นอน ต้องใช่แน่! แม้ว่าสามปีมานี้นางจะไม่ได้พบอานเหยียนเลยสักครั้ง แต่ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเพียงแค่นางได้ยินเสียงร้องไห้นางกลับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นอานเหยียน นางเป็นคนทำคลอดอานเหยียนเองกับมือ ทั้งนางยังเป็นแม่บุญธรรมของอานเหยียนอีกด้วย สามปีมานี้ยามที่นางว่างก็มักจะคิดถึงอานเหยียนอยู่เสมอ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก แม้ว่านางและอานเหยียนจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันจริงๆแต่นางกลับรู้สึกผูกพันธ์กับอานเหยียนอย่างลึกซึ้งยิ่งนัก เจ้าถ่านว่านอนสอนง่ายยิ่งนัก บางทีมันเองก็อาจจะรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก มันจึงนอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมแขนของชูเซี่ยแต่โดยดีทั้งยังจับจ้องไปที่สุนัขตัวใหญ่สองตัวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูอีกด้วย ชูเซี่ยทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ยกระซิบกับเจ้าถ่านเบาๆ “เจ้าถ่าน เดี๋ยวเจ้าไปทางประตูหลังนะ เมื่อไปถึงก็ให้ตะโกนเรียกร้องความสนใจของเจ้าสุนัขสองตัวนั้น ข้าจะได้แอบเข้าไปข้างในได้!” จริงอยู่แม้ว่านางจะไม่เคยลองใช้วิชาตัวเบามาก่อน แต่ทว่าเมื่อนางลองกะระยะความสูงของกำแพงดูแล้วนางก็มีความมั่นใจไม่น้อยว่าตนเองจะสามารถเหาะข้ามไปได้ ราวกับว่าเจ้าถ่านมันฟังนางรู้เรื่อง เพราะทันทีที่นางกล่าวจบมันก็กระโจนออกจากอ้อมแขนของนางวิ่งไปทันที นางหลบไปอยู่หลังก้อนหินก้อนเดิมอีกครั้งมองดูเจ้าถ่านวิ่งเลี้ยวไปทางประตูด้านหลัง หญิงสาวรอคอยอย่างใจจดใจจ่อขณะมองไปที่ร่างของนายทหารผู้ยืนเฝ้าประตูอยู่อย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นานคนทั้งคู่ก็สะดุ้งและรีบร้อนวิ่งไปทางประตูหลังทันที ชูเซี่ยสบโอกาสก็รีบลุกขึ้น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังนาง ชูเซี่ยหันกลับไปมองแต่ทว่ายังไม่ทันได้เห็นหน้าคนคนนั้นนางก็รู้สึกเจ็บแปลบริเวณศีรษะก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหน นางก็ค่อยๆฟื้นขึ้นมา ความเจ็บที่หัวหายไปแล้ว หญิงสาวเปิดตาขึ้นมองไปรอบๆห้องที่มีแต่ความมืด บนร่างกายของนางมีบางสิ่งบางอย่างที่อ่อนนุ่มและเล็กเคลื่อนไหวปัดป่ายไปมา “อานเหยียน?” นางเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา มือเล็กๆป้อมๆที่วางอยู่ที่คอของนางชะงักเล็กน้อย ดวงตาของนางเป็นประกายยินดี พอดีกับที่แสงสว่างของตะเกียงสว่างขึ้นเพราะมีลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างโหมแสงตะเกียงที่ริบหรี่ให้สว่างขึ้น มือของนางถูกมัดไว้อยู่ หญิงสาวลองกระตุกมันอยู่หลายต่อหลายครั้งจนในที่สุดก็หลุดจากพันธนาการได้ นางโอบกอดร่างเล็กป้อมนั้นไว้เต็มอ้อมแขน อานเหยียนมองนางเต็มตา ขาเล็กๆทั้งสองข้างของเขาถูกมัดไว้ ร่างเล็กๆนั้นสกปรกมอมแมมไปหมด ใบหน้ากลมๆก็เต็มไปด้วยคราบโคลน นางอุ้มอานเหยียนขึ้นมาพิจารณา โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำอะไร แสดงว่าคนที่จับตัวอานเหยียนมาก็ไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเด็กน้อยได้ลงคอ อานเหยียนเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา “ท่านเป็นใครหรือ” น้ำเสียงของเด็กน้อยแหบแห้งจนน่าสงสาร คงเป็นผลมาจากการที่ร้องไห้มากเกินไป ดวงตากลมโตฉายแววหวาดกลัวยามที่มองมาที่นาง ชูเซี่ยยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “อานเหยียน ข้าเป็นแม่บุญธรรมของเจ้าอย่างไรเล่า แม่บุญธรรมจะพาเจ้าไปจากที่นี่เองนะ” ริมฝีปากน้อยๆเบะออกก่อนจะร้องไห้ออกมา “ข้าอยากเจอท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านแม่” ชูเซี่ยเอื้อมมือมาปิดปากน้อยๆนั้นเอาไว้ก่อนเอ่ยเสียงกระซิบแนบใบหูเล็กๆ “ได้ ได้ แม่บุญธรรมจะพาเจ้ากลับไปหาท่านแม่เองเอง แต่เจ้าต้องสัญญากับแม่บุญธรรมก่อนว่าถ้าจะร้องไห้ก็ค่อยร้องตอนที่พบเจอท่านพ่อท่านแม่แล้ว เด็กน้อยร้องไห้เป็นเรื่องเหมาะสม แต่ทว่ายามนี้ข้างนอกเป็นคนนิสัยไม่ดีมากมายเต็มไปหมด เราต้องรู้จักระมัดระวังไว้ก่อน” อานเหยียนกระพริบตาปริบๆจากนั้นก็กลั้นเสียงสะอึกสะอื้น ชูเซี่ยค่อยๆปล่อยมือ นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เหตุใดจึงไม่พบผู้คุมเลยสักคน นางวางอานเหยียนลงจากนั้นก็ชะเง้อหน้าออกไปมองดูนอกหน้าต่างเพื่อสังเกตุการณ์ นอกหน้าต่างเป็นลานกว้าง ที่ลานมีเงาคนหลายคนวิ่งวุ่นไปมา เพราะแสงสว่างที่น้อยนิดทำให้นางไม่อาจมองได้ชัดเจนนักว่าคนพวกนั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร ชูเซี่ยนึกขึ้นได้ว่ายามที่นางถูกคนตีหัวจากด้านหลังคือเมื่อบ่าย แต่ในยามนี้มืดเสียแล้ว นางแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ก็รู้สึกได้ว่ายามนี้คงเข้าช่วงค่ำมานานพอควรแล้ว หัวใจของนางตื่นตระหนกไปหมด หากว่าหลี่เฉินเย่นทราบว่านางหายไปเขาจะต้องร้อนใจมากเป็นแน่ ชูเซี่ยเห็นเงาคนมากมายค่อยๆวิ่งเข้ามาทางนี้ นางได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขา “เอ๋? เหตุใดจึงมีแสงไฟได้เล่า” ชูเซี่ยรีบร้อนวิ่งกลับไปเป่าตะเกียงให้ดับจากนั้นก็อุ้มร่างของอานเหยียนไปนอนบนเตียงทั้งยังกำชับไม่ให้เด็กน้อยส่งเสียง แม้ว่าอานเหยียนจะมีอายุเพียงแค่สามขวบเท่านั้นแต่ทว่าเขาเองก็เป็นถึงบุตรชายของเจิ้นหยวนอ๋อง เด็กน้อยฉลาดและเข้าใจอะไรง่าย เด็กน้อยปิดตาลงและนอนเงียบๆแต่โดยดี นอกหน้าต่างมีคนชะเง้อหน้าเข้ามาตามด้วยเสียงพูดคุยเบาๆ “มีแสงไฟที่ไหนกันเล่า เจ้าตาฝาดแล้วล่ะ” น้ำมันในตะเกียงเหลืออยู่น้อยมากทำให้ผู้ที่ลอบมองเข้ามาส่ายหน้าเบาๆ “ข้าคงตาฝาดไปจริงๆ” เสียงฝีเท้าเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ นางพยายามจะคาดเดาว่าพวกเขาเป็นใคร หากพวกเขามีกันไม่กี่คนไม่แน่ว่าบางทีนางก็ อาจจะพอรับมือได้ พลังวิญญาณของนางไม่แน่ไม่นอน บางครั้งมันก็ไม่อาใช้ได้จริงๆ ดังนั้นนางต้องระมัดระวังและรอบคอบให้มาก รออยู่ครู่หนึ่งนางก็ค่อยๆลุกขึ้นเงียบๆและเดินกลับไปที่เตียงเพื่อดูอานเหยียน แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง ชูเซี่ยชะงักเท้าไปเล็กน้อย นางหันไปมองอีกด้านหนึ่งก็พบว่ามีลูกสุนัขกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เป็นเจ้าถ่าน! ชูเซี่ยนึกอย่างดีใจ นางยืนรอที่ริมหน้าต่างรอมันวิ่งตรงเข้ามาที่นางอย่างเงียบๆ เจ้าถ่านโดดเข้ามาในห้องกระโจนเข้ามาในอ้อมแขนของนาง ตัวของเจ้าถ่านเปียกปอนไปหมดคงเพราะถูกใครบางโยนมันลงน้ำมาแน่จากนั้นก็คงว่ายน้ำกลับมาเอง นางเริ่มรู้สึกขอบคุณจูฟางหยวนขึ้นมาที่ชายคนนั้นชอบพาเจ้าถ่านกับนายท่านเหมาไปว่ายน้ำ เมื่อก่อนเจ้าถ่านของนางกลัวน้ำมาก แต่หลังจากที่จูฟางหยวนชอบพามันไปเล่นน้ำที่ทะเลสาปมันก็เริ่มชอบเล่นน้ำขึ้นมา ชูเซี่ยใช้ผ้าปูเตียงเช็ดขนให้มันอย่างเบามือ นางเห็นอานเหยียนที่จ้องมองเจ้าถ่านอย่างประหลาดใจระคนสงสัย นางจึง เอ่ยแนะนำอย่างเป็นกันเอง “มันเรียกว่าเจ้าถ่าน น่ารักหรือไม่” อานเหยียนเอื้อมมือออกมาก่อนจะค่อยๆลูบไปที่ขนของเจ้าถ่านช้าๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “มันเป็นหนูตัวใหญ่หรือขอรับ” ตัวของเจ้าถ่านเปียกปอนไปหมด ทำให้ขนที่เคยฟูฟ่องเปียกลู่จนเหลือตัวเล็กนิดเดียว ดูไปดูมาก็คล้ายกับหนูตัวใหญ่ตัวหนึ่งจริงๆ ชูเซี่ยยิ้มขำ แต่เจ้าถ่านดูเหมือนจะไม่พอใจมันจึงสะบัดขนไปมาพร้อมทั้งมองอานเหยียนอย่างไม่สบอารมณ์
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 97 ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A