ตอนที่ 99 ตายเป็นไม่รู้   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 99 ตายเป็นไม่รู้
ต๭นที่ 99 ตายเป็นไม่รู้ บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้อานเหยียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เด็กน้อยลืมตาขึ้นมาเมื่อพบผู้เป็นบิดามารดาก็ร้องไห้โฮก่อนจะโผเข้ามากอดมารดาของตนแน่น “ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน” พระชายาโอบกอดร่างเล็กๆไว้แน่น น้ำตาของนางเอ่อคลอออกมาก่อนจะค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม มือบางลูบหลังบุตรชายของตนเบาๆอย่างปลอบประโลม “เด็กน้อย ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะ แม่อยู่ตรงนี้ พ่อของเจ้าก็อยู่ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้แน่” อานเหยียนยังคงหยุดน้ำตาของตนเองไว้ไม่ได้ เด็กชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “พวกคนนิสัยไม่ดีพวกนั้น ทำให้ข้าตกใจแทบแย่ น่ารังเกียจมากยิ่งนักขอรับ” แม้ว่าเจิ้นหยวนอ๋องจะสงสารในตัวบุตรชายมากเพียงใด แต่ทว่าเด็กผู้ชายก็ไม่สมควรร้องไห้งอแงเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะดุออกมา “ลูกผู้ชาย หลั่งเลือดได้แต่ไม่อาจหลั่งน้ำตา เมื่อก่อนพ่อและลุงของเจ้าฝึกวิชาขี่ม้าฟันดาบได้แผลเลือดออกหลายต่อหลายครั้ง็ไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมาสักหยด เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักอดทนเสียบ้างเล่า” อานเหยียนเม้มปากแน่น “แต่แม่บัญธรรมกล่าวว่า เด็กๆอยากร้องไห้ก็ร้องออกมา มันเป็นเรื่องที่เด็กควรทำนะขอรับ” พระชายาเจิ้นหยวนนิ่งอึ้งไป ก่อนจะลูบไปหน้าเล็กๆนั้นอย่างตื่นตระหนก “แม่บุญธรรมคนไหนบอกเจ้าหรือ บอกเจ้าตั้งแต่เมื่อใด” อานเหยียนจึงเอ่ยตอบกลับ “ก็คือแม่บุญธรรมอย่างไรเล่าขอรับ ข้ากับแม่บุญธรรมถูกพวกคนนิสัยไม่ดีขังเอาไว้ในห้องที่ทั้งมืดและเล็ก ตอนที่ข้าร้องไห้ แม่บุญธรรมก็บอกกับข้าว่าถ้าอยากร้องก็ร้อง แต่ทว่าตอนนี้ข้างนอกมีคนไม่ดีอยู่ หากพวกเราหนีออกมาได้จึงค่อยร้องขอรับ ตอนนี้ข้างนอกก็ไม่มีพวกคนไม่ดีแล้วเหตุใดข้ายังร้องไห้ไม่ได้อีกเล่า” หัวใจของเจิ้นหยวนอ๋องเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา “แม่บุญธรรมที่เจ้ากล่าวถึงคือหญิงสาวที่ชื่อเวินหน่วนผู้นั้นหรือ นางไม่ใช่คนที่จับตัวเจ้าไปงั้นหรือ” อานเหยียนเบิกตากว้าง “คนที่จับข้าไปเป็นพวกคุณลุงนิสัยไม่ดีต่างหากขอรับ แต่แม่บุญธรรมมาช่วยข้าไว้ พวกเราหนีออกมาด้วยกัน ยังมีเจ้าถ่านอีกด้วยขอรับ” “เจ้าถ่าน? ท่านลุงของเจ้าหรือ” เจิ้นหยวนอ๋องนิ่งไป “ไม่ใช่เสด็จลุงขอรับ เป็นหนูตัวใหญ่ต่างหากเล่า เจ้าถ่านเป็นหนูตัวใหญ่ ตัวใหญ่มา ขนเปียกๆ ทั้งยังชอบสะบัดขนจนหน้าข้าเปียกไปหมด นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ” ร่างสูงของเจิ้นหยวนอ๋องรีบพุ่งทะยานออกไปข้างนอกทันที พระชายาเจิ้นหยวนเองก็รีบร้อนอุ้มร่างของอานเหยียนวิ่งตามออกไปเช่นกัน เมื่อมาถึงคุกในจวนก็ไม่เห็นแม้แต่ร่างของชูเซี่ยอีกแล้ว เหลือเพียงกองเลือดบนพื้นเท่านั้น ชายหนุ่มก้าวไปกระชากร่างขององครักษ์ผู้หนึ่งมาถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนเล่า?” องครักษ์ถูกนายของตนทำให้ตกใจจนะเอ่ยคำพูดตะกุกตะกัก “สัง...หารแล้วขอรับ ข้าน้อยโยนร่างของนางออกไปแล้ว!” เจิ้นหยวนอ๋องปล่อยร่างเขาลงกับพื้นทั้งยังพุ่งออกไป ชายหนุ่มควบม้าออกนอกเมืองตรงไปยังสถานที่ฝังศพ ตลอดทางเขาก็ไม่พบองครักษ์ที่เอาร่างของชูเซี่ยไปทิ้งแม้แต่น้อย จนกระทั่งไปถึงเส้นทางเล็กๆที่มีหลุมฝังศพอยู่จำนวนมากเขาจึงได้พบกับองครักษืที่กำลังขี่ม้าลงจากเขา ชายหนุ่มหยุดม้าก็จะตะโกนถาม “คนเล่า?” เมื่อองครักษ์เห็นว่าเจิ้นหยวนอ๋องเดินทางมาก็รีบร้อนลงจากม้ามาคุกเขาลงที่พื้น “เรียนท่านอ๋อง เรื่องทั้งหมดถูกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ” เจิ้นหยวนอ๋องเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เปิ่นหวางถามว่าคนอยู่ที่ใด” องครักษ์ชี้ไปบริเวณด้านหลังเขา “ข้าน้อยโยนศพของนางทิ้งไว้หลังเขาขอรับ เป็นช่วงที่พวกหมาป่าออกมาล่าเหยื่อพอดีด้วยนะขอรับ” จิตวิญญาณของเจิ้นหยวนอ๋องกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาวิ่งอย่างเสียสติไปตามทางที่อยู่ด้านหลังเขา เหล่าศพที่ถูกทิ้งอยู่บริเวณนี้มีมากมาย เหล่านกอีกาต่างก็บินต่พร้อมส่งเสียงร้องออกมาเป็นระยะๆ กลิ่นเหม็นเน่าอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณทั้งยังมีเศษซากกระดูกสีขาวโพลนเต็มไปหมด จริงๆแล้วมีหลายศพที่ไม่ได้ถูกฝังทั้งยังโยนทิ้งแบบส่งๆ ส่วนมากก็เป็นศพของพวกขอทานและเหล่าศพไร้ญาติ จากนั้นก็จะปล่อยให้พวกอีกกาและเหล่าหมาป่าเป็นพวกจัดการซากศพเหล่านี้ ช่างเป็นภาพที่โหดร้ายและน่ากลัวเหลือเกิน ที่เนินเขาแห่งนี้หากจะบอกสถานที่แห่งนี้กว้างก็นับว่าไม่กว้าง จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็กเท่าใดนัก เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่เหนือก้อนหินส่องประกายแวววาว ต้นหญ้าบนพื้นต่างก็กลายเป็นสีเหลือง บริเวณโดยรอบหลงหลือไว้เพียงกลิ่นอายของความตายและความหดหู่ปกคลุมอยู่เท่านั้น เจิ้นหยวนอ๋องวิ่งวนไปรอบๆแต่ก็ไม่พบศพของชูเซี่ย ชายหนุ่มหันมาตะคอกถามองครักษ์ด้วยความเกรี้ยวกราด “คนอยู่ที่ใด” องครักษ์มองสถานที่ที่เขานำศพของชูเซี่ยมาทิ้งไว้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เหตุใดจึงไม่พบเล่า ข้าน้อยนำร่างของนางมาทิ้งไว้ที่นี่จริงๆนะขอรับ” เจิ้นหยวนอ๋องมาตามนิ้วชี้ขององครักษ์ก็พบว่าบนพื้นมีกองเลือดอยู่กองหนึ่งจริงๆ ทั้งยังมีร่องรอยของการถูกลากไปอีกด้วย องครักษ์จึงเอ่ย “เมื่อครู่ตอนที่ข้าน้อยกำลังจะกลับก็เป็นเวลาที่พวกหมาป่าออกมาล่าเหยื่อแล้วขอรับ อาจเป็นได้ว่าศพอาจถูกพวกหมาป่าลากไปกินน่ะขอรับ” ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังค่อยๆเข้าเกาะกุมจิตใจของเจิ้นหยวนอ๋อง ถูกพวกหมาป่าลากไปกิน? เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก เพราะเหล่าหมาป่ามักจะล่าเหยื่อกลับไปถิ่นของพวกมัน แต่ทว่าพวกอีกากับเหยี่ยวมักจะจิกทึ้งพวก ซากที่เหลือเสียมากว่า ชายหนุ่มกัดฟันแน่นจากนั้นก็สั่งการลงไป “หาให้พบ ต่อให้เหลือเพียงซากกระดูกก็ต้องนำกลับมาให้เปิ่นหวางให้ได้” องครักษ์มองไปทั่วเนินเขารวมไปถึงด้านหลังก้อนหินก้อนใหญ่ก็เอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง เกรงว่าพวกเราจะไม่อาจทราบได้ว่ารังของพวกหมาป่าอยู่ที่ใดแน่ สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งนักยากที่จะหาศพพบ” เจิ้นหยวนอ๋องหน้าดำคร่ำเครียด “รีบกลับไปที่จวนระดมกำลังคนของเรามาที่นี่ให้หมด แม้ว่าจะต้องพลิกทั้งเขาเพื่อตามหาก็ต้องหาออกมาให้จงได้” ชายหนุ่มกำดาบในมือและเดินหาร่องรอยตลอดเส้นทาง แต่ทว่าร่องรอยก็มีเพียงแค่ระยะยี่สิบกว่าลี้เท่านั้น หลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยก้อนหินไร้ร่องรอยใดๆอีกเลย องครักษ์ผู้นั้นกลับไปตามกำลังพลมาช่วยกันตามหา ยามนี้จึงเหลือเพียงเขาที่คอยตามหาร่องรอยไปรอบๆ บริเวณนี้เหลือเพียงเศษกระดูกสีขาวเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีกะโหลกที่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์เน่าเฟะจนเห็นฟัน ราวกับว่ามันกำลังจับจ้องมาที่เขานิ่งๆ ตลอดทางชายหนุ่มไม่คิดจะหยุดพักแม้แต่น้อย เขาวิ่งหาอยู่เช่นนี้เรื่อยๆจนกระทั่งร่างกายเหน็ดเหนื่อยทนไม่ไหวจึงนั่งลงที่พื้นเพื่อหยุดพักชั่วครู่ เขาย้อนนึกไปถึงตอนที่ชูเซี่ยฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่นางถามคือเรื่องของอานเหยียน ตอนนั้นเขาน่าจะเอะใจตั้งแต่แรกว่านางไม่ใช่ผู้ที่ลักพาตัวอานเหยียนไป แต่ทว่าเขากลับถูกความโกรธเข้าครอบงำจิตใจจนขาดความย้ำคิด ยามนั้นในสมองเขาคิดเพียงแค่ว่านางและหลี่เฉินเย่นเป็นผู้ลักพาตัวอานเหยียนของเขาไป เขาเอาแต่คิดเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงคิดว่าหลี่เฉินเย่นเป็นผู้ลักพาตัวอานเหยียนไปได้กัน เหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อได้ลงคอว่าน้องชายเขาจะเป็นคนร้ายกาจเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงคิดเรื่องแบบนั้นออกมาได้กัน เพียงแค่ฐานะแม่ทัพพญาอินทรีย์ที่ถูกช่วงชิงไปกลับทำจิตใจของเขามืดบอกจนขาดความยั้งคิด หากเพียงแค่เขาไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ มีหรือเขาจะยึดติดในชื่อเสียงและโชคลาภมากมายถึงเพียงนี้ ลมหนาวพัดผ่านมาจนใบหน้าของเขาเริ่มชาและแสบมากขึ้น ชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางกองกระดูเริ่มหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หัวใจของเขาถูกความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจ เขาผิดไปแล้ว เขาผิดไปแล้วจริงๆ สมญานามแม่ทัพอินทรีย์จริงแล้วไม่ใช่ความต้องการของหลี่เฉินเย่นสักหน่อย เหล่าพลทหารและกองทัพของเขาก็ไม่ได้ตกไปอยู่กำมือของหลี่เฉินเย่น ทุกอย่างที่ผ่านมาเหมอนเป็นกำดับที่ล่อลวงให้เขาเดินเข้าไปติดกับเสียมากกว่า ตลอดสามปีมานี้ เขาปรารถนามาโดยตลอดว่าสักวันหลี่เฉินเย่นจะหลุดพ้นจากความเศร้าโศกต่อการจากไปของชูเซี่ยได้ แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาน้องชายของเขาก็ปรากฎหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาจริงๆ แต่ทว่ายามนี้เพราะความโกรธจนหน้ามืดตามัวของ เขากลับทำให้น้องชายต้องพบเจอกับความสูญเสียอย่างเมื่อสามปีก่อนอีกครั้ง แต่ทว่ามีเรื่องบางเรื่องที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอานเหยียนจึงเรียกนางว่าแม่บุญธรรมได้เล่า หรือว่าเวินหน่วนและชูเซี่ยแท้จริงแล้วมีความเกี่ยวกัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่เพียงแค่ก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็รู้สึกเจ็บแปลตรงฝ่าเท้า เมื่อชายหนุ่มก้มลงมา ดูก็พบว่ารองเท้าที่เขาสวมอยู่บัดนี้ขาดเสียแล้วทั้งยังมีเศษกระดูกทิ่มอยู่บริเวณฝ่าเท้าของเขา ชายหนุ่มจึงก้มลงไปดึงเศษ กระดูกออกจากฝ่าเท้าจนมีเลือดไหลซึมออกมา ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้ชายหนุ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชูเซี่ยในเมื่อสามปีก่อนเป็นหญิงสาวที่หลงมาจากต่างโลก วิญญาณของนางหลงมาสิงอยู่ในร่างของหลิวหยิงหลง หลังจากที่นางเสียชีวิตลงไป จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าวิญญาณของนางมาเข้าสิงร่างของหญิงสาวอีกคนหนึ่งได้อีกครั้ง? เช่นนั้นก็หมายความว่าเวินหน่วนในตอนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกันกับชูเซี่ยเมื่อสามปีก่อน หัวใจของเขาบังเกิดความสิ้นหวังขึ้นมา หากว่าเวินหน่วนก็คือชูเซี่ยจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาเพิ่งจะสั่งให้คนของเขาสังหารผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของตนเองไปเสียแล้ว เขารับสั่งให้สังหารชูเซี่ย! เขารับสั่งให้สังหารผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเขา! ไม่แปลกเลยที่ยามนั้นนางจะร้อนใจเรื่องอานเหยียนมากถึงเพียงนั้น เพราะแท้จริงแล้วนางก็คือแม่บุญธรรมของอานเหยียนนั่นเอง หลังจากที่นางหนีออกมาจากบ้านหลังนั้น นางไม่ได้เป็นห่วงตนเองเสียด้วยซ้ำทั้งยังเอ่ยถามเรื่องของอานเหยียนก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่นางจะตายก็ยังฝากข้อความถึงหลี่เฉินเย่นว่านางรักเขาอีกด้วย ทั้งๆที่มีพิรุธมากมายแต่เขากลับไม่เอะใจทั้งยังสังหารนางได้ลงคอ “อ้าก...” เสียงกรีดร้องแห่งความเศร้าโศกของเขาดังก้องผ่านม่านเมฆและสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา ทางด้านหลี่เฉินเย่นยังคงสงบเรียบร้อย ตลอดช่วงบ่ายหลี่เฉินเย่นไม่พบหน้าของชูเซี่ยก็นึกไปว่านางอาจจะไปพบจูฟางหยวนอีกเช่นเคย เขาไม่ได้เป็นห่วงนางมากนักเพราะข้างกายนางยามนี้มีเชียนซานคอยคุ้มครองอยุ่ เมื่อตกค่ำเชียนซานก็กลับมาที่จวนแต่ทว่าชูเซี่ยไม่ได้กลับมาพร้อมกับนางด้วย เขาจึงเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา “นายหญิงของเจ้าเล่า” เชียนซานเห็นท่าทางร้อนใจก็ประหลาดใจเล็กน้อย “นายหญิงสั่งให้ข้าไปพรรคมังกรเหินสั่งการให้ทุกคนในพรรคไปตามหาอ๋องน้อย ข้าเดินทางออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ นายหญิงไม่ได้อยู่ในจวนหรือ นางคงไม่ได้ออกไปตามหาเองหรอกกระมัง นางไม่มีวรยุทธ์ด้วยไม่ใช่หรือ” เชียนซานเองก็เริ่มร้อนรนมากขึ้น นางรีบใช้วิชาตัวเบาทะยานไปที่เรือนจื่อยี่เพื่อสอบถามกับเสี่ยวฉิง แต่คำตอบที่ได้รับจากเสี่ยวฉิงก็คือวันนี้ทั้งวันชูเซี่ยยังไม่ได้กลับมาที่จวนเลย เชียนซานรีบออกไปตามหานายของตนนอกจวนทันที หลี่เฉินเย่นเองก็รีบออกไปตามหาเช่นกัน ก่อนหน้านี้หลี่เฉินเย่นยังไม่ได้ร้อนใจมากนักเพราะเขาคิดว่าชูเซี่ยอาจจะไปหาจูฟางหยวนก็เป็นได้ เมื่อมาถึงจวนอดีตแม่ทัพจู จูฟางหยวนก็กล่าวกับเขาว่าวันนี้ทั้งวันชูเซี่ยไม่ได้มาหาเขาเลย ตอนนั้นเองที่หลี่เฉินเย่นร้อนใจขึ้นมาจริงๆ “ไม่ได้มาหรือ? วันนี้ทั้งวันเปิ่นหวางไม่เห็นนางเลย ไม่รู้ว่านางไปที่ใดได้” จูฟางหยวนเห็นท่าทางร้อนรนก็เอ่ยปลอบใจ “ท่านอย่าได้ร้อนใจไปเลย ลองไปหานางที่โรงหมอดูเถิด บางทีนางอาจจะอยู่ที่โรงหมอก็เป็นได้ จูเก๋อหมิงไม่ใช่บอกหรือว่าหลายวันมานี้ที่โรงหมอยุ่งมาก บางทีนางอาจจะรั้งอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยอยู่ก็เป็นได้” หลี่เฉินเย่นเมื่อตรองดูแล้วก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ เขาจึงรีบควบม้าไปที่โรงหมอทันที ในยามนี้ที่โรงหมอยังมีคนไข้อยู่มากมายนัก หลังจากที่หลี่เฉินเย่นโดดลงมาจากหลังม้าก็เข้าไปตามหาคนทันที ในยามนั้นจูเก๋อหมิงก็กำลังวุ่นวายอยู่กับผู้ป่วยจนมือเป็นระวิง แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นว่าหลี่เฉินเย่นเดินเข้ามาด้วยสี หน้าเคร่งเครียดก็ถามขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมวันนี้จึงมาถึงที่นี้ได้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “วันนี้ชูเซี่ยมาที่นี่หรือไม่” จูเก๋อหมิงส่ายหน้า “ไม่มี ทำไมหรือ” หัวใจของหลี่เฉินเย่นกระตุกวูบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเครียด “นางหายตัวไป” จูเก๋อหมิงตกตะลึง “นางหายตัวไป?” จูเก๋อหมิงจึงรีบร้อนฝากผู้ป่วยของตนไปให้กับท่านหมออีกคนช่วยดูอาการแทน่วนตัวเขาเองก็ตามหลี่เฉินเย่นออกไป “เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะถูกคนในวังจับตัวไป” จูเก๋อหมิงคาดเดาสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นอย่างตระหนก “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น หรือเจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะ...” จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นบังเกิดความยุ่งยากขึ้นมา ความโกรธเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มตะคอกออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ “พระองค์บีบบังคับข้าถึงเพียงนี้แล้วยังจะต้องการอะไรจากข้าอีกเล่า” “ตอนนี้เรายังมั่นใจอะไรไม่ได้ เจ้าควรรีบเข้าวังไปสืบเรื่องนี้โดยเร็วเถิด ส่วนข้าจะระดมคนตามหานางเอง” ยามนี้ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะทำได้ หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ดี เจ้าลองสั่งคนตามหารอบๆนี้เผื่อจะได้คราวข่าวของอานเหยียนด้วย” “ได้!” จากนั้นทั้งสองคนก็แยกย้ายกันออกไปตามหา จูเก๋อหมิงสั่งคนออกไปตามหาชูเซี่ยและอานเหยียน ส่วนหลี่เฉินเย่นก็เข้าวังไปสืบข่าวหาร่องรอย หลี่เฉินเย่นเข้าหวังไปก็พบกับเสี่ยวเต๋อจื่อ เสี่ยวเต๋อจื่อรั้งเขาไว้ “วันนี้ทั้งวันฝ่าบาทเอาแต่อยู่ในห้องทรงพระอักษร นอกจากท่านอัครมหาเสนบดีแล้วก็ไม่อนุญาติให้ผู้ใดเข้าเฝ้าทั้งสิ้น กระหม่อมคิดว่าคงไม่ใช่ฝีมือของพระองค์หรอกพะย่ะค่ะ” “พระองค์ได้เรียกท่านราชครูเข้าเฝ้าบ้างหรือไม่” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม เสี่ยวเต๋อจื่อส่ายศีรษะ “ไม่เลยพะย่ะค่ะ!” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอีก “จริงสิ ท่านอ๋องเก้าเองก็อยู่ในห้องทรงพระ อักษรกับฝ่าบาทด้วยเช่นกันทั้งยังเสวยอาหารกลางวันด้วยกันอีกด้วย” หลี่เฉินเย่นหาได้หวาดระแวงในตัวท่านอ๋องเก้าแม้แต่น้อย แม้ว่าท่านอ๋องเก้าจะมีแรงจูงใจแต่ทว่าเสด็จลุงกับชูเซี่ยเคยรู้จักกันมาก่อน เขาไม่มีทางทำเรื่องที่ทำให้ชูเซี่ยลำบากใจแน่ อีกอย่างเมื่อยามที่ชูเซี่ยปวดท้องก็เป็นเขาที่ช่วยขัดขวางเสด็จพ่อไว้ให้พวกเขา ท่าทางที่เขาแสดงถึงความเป็นห่วงชูเซี่ยเขาไม่ได้เสแสร้ง เสด็จลุงไม่มีทางสั่งคนไปจับตัวชูเซี่ยแน่ หากไม่ใช่เสด็จพ่อจะเป็นผู้ใดไปได้ จู่ๆในหัวของเขาก็คิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้าสะบัดความคิด ยามนี้เสด็จพี่คงมัวแต่วุ่นวายกับการตามหาอานเหยียนไม่มีทางที่เขาจะส่งคนมาลักพาตัวชูเซี่ยแน่ ต้องไม่มีทางเป็นเขาไปได้ 
已经是最新一章了
加载中