ตอนที่ 102 นึกถึงเพื่อนเก่า
1/
ตอนที่ 102 นึกถึงเพื่อนเก่า
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 102 นึกถึงเพื่อนเก่า
ตนที่ 102 นึกถึงเพื่อนเก่า หลี่อวิ่นกังส่ายหน้าไปมาอย่างหดหู่ใจ เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน “เปิ่นหวางไม่เชื่อ เหตุใดเสด็จพ่อจึงทำกับพวกเราเช่นนี้ พวกเราเป็นโอรสแท้ๆของพระองค์ไม่ใช่หรือ!” แม้จะกล่าวออกไปเช่นนี้ แต่น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ในใจลึกๆของเขาเชื่อในทุกถ้อยคำพูดของจูเก๋อหมิงอย่างไร้ข้อกังขา จูเก๋อหมิงทอดสายตามองไปยังภูเขาขนาดใหญ่ที่คล้ายกับอสุรกายที่กำลังจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งคู่ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฝังศพของชูเซี่ย เพียงแค่คิดเช่นนั้นหัวใจของเขาก็บังเกิดความสงสารอย่างสุดหัวใจ หากรู้ว่าจะกลายเป็นเช่นนี้เขาจะไล่นางให้ออกจากเมืองหลวงไปตั้งแต่แรกแต่รู้ว่านางคืชูเซี่ย จะไม่ยอมให้นางปรากฎตัวต่อหน้าหลี่เฉินเย่นเป็นอันขาด ยามนี้มานึกถึงทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ยามที่สงสารชูเซี่ยสุดหัวใจเขาก็นึกถึงหลี่เฉินเย่นขึ้นมา เฉินเย่นจะยอมรับได้อย่างไรว่าศพของชูเซี่ยถูกทิ้งไว้ที่แบบนี้ทั้งยังหาศพไม่พบ ตอนนี้เขาคงทำได้เพียงแค่ปิดบังความจริงไว้ก่อนเท่านั้น! เขาพยายามข่มอารมณ์โกรธแค้นและความเจ็บปวดเอาไว้จากนั้นก็ค่อยๆหันหน้ากลับไปถาม “ชูเซี่ยมีทิ้งสิ่งของอะไรไว้บ้างหรือไม่” หลี่อวิ่นกังส่ายหน้าแทบจะทันที “ไม่เลย ไม่ทิ้งอะไรไว้สักอย่าง” จูเก๋อหมิงกำมือไว้แน่น “ท่านแทบจะพลิกทั้งเนินเขาค้นหาจะไม่เจอของของนางแม้แต่ชิ้นเดียวเชียวหรือ ศพหาไม่เจอก็ช่างเถิดแต่แม้กระทั่งปิ่นปักผม ต่างหูของนางก็ไม่พบเลยหรือ” หลี่อวิ่นกังถูกคำพูดของเขาทำให้นึกขึ้นได้จึงค่อยๆหยิบปิ่นปักผมออกมาจากสาบเสื้อ “ตอนที่ตามหาศพของนางเจอของสิ่งนี้ใช่ของนางหรือไม่” จูเก๋อหมิงพิจารณาดูปิ่นปักผมหยกเรียบๆที่ส่องประกายอยู่ในมือของเขาด้วยหัวใจยากจะบรรยาย มันเป็นของนางจริงๆ ตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวงนางก็ใช้แต่ปิ่นปักผมชิ้นนี้เพราะนางเป็นคนที่ไม่มีเครื่องประดับอะไรมากมายนัก ท่านหมอหนุ่มเอื้อมมือที่สั่นเทาของตนเองไปรับปิ่นปักผมหยกชิ้นนั้นมา หัวใจของเขาเจ็บแปลบวูบโหว่ง ชายหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมาให้ใครเห็นว่าน้ำตาของลูกผู้ชายเช่นเขากำลังหยดลงมาหยดแล้วหยดเล่า “ข้าจะกลับไปคุยกับเฉินเย่นเอง ส่วนท่านก็ปิดปากคนของท่านให้เงียบที่สุดอย่าได้ให้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด” หลี่อวิ่นกังเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ปิดบังเขาไม่ได้นานหรอก นางกลับมาไม่ได้อีกแล้ว” หัวใจของจูเก๋อหมิงว้าวุ่นไปหมด ราวกับก้อนไหมที่ถูกแมวข่วนเล่นจนพันกันยุ่งเหยิงไปหมดจนไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นหัวส่วนไหนเป็นท้าย เรื่องนี้หัวใจเขารู้ดีกว่าใคร แต่ทว่ามันยังมีทางเลือกอีกหรือ เขายังจะทำอะไรได้เล่า เกิดวันหนึ่งที่เฉินเย่นรู้ความจริงจะเป็นอย่างไร ช่างเถิดยามนี้ขอให้ปิดบังไปเรื่อยๆวันต่อวันก็ยังดี หลี่เฉินเย่นหาร่องรอยของชูเซี่ยอยู่ในเมืองหลวงทั้งวันกว่าจะกลับมาที่จวนก็มืดค่ำเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าจูเก๋อหมิงกลับมาที่จวนก่อนเขาหลายชั่วยามเขาก็แบกร่างกายที่เหนื่อยล้าของตนไปหาจูเก๋อหมิงถึงเรือนพักส่วนตัว “เจ้าออกไปค้นหานอกเมืองเป็นอย่างไรบ้าง” จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นมองมาที่หลี่เฉินเย่น เนื่องจากชายหนุ่มอยู่ข้างนอกตามหาชูเซี่ยทั้งวันทำให้ยามนี้ทั้งเสื้อผ้าและผมเผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความกังวลและเหนื่อยล้า จูเก๋อหมิงพยายามระงับความเจ็บปวดในจิตใจก่อนจะค่อยๆหยิบซองจดหมายและปิ่นปักผมออกมาจากสาบเสื้อ “ข้าพบนางแล้วล่ะ!” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นเป็นประกาย เขารีบร้อนเอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมและซองจดหมายว่าไว้ในมือ ซองจดหมายถูกพับไว้สองสามทบทั้งยังมีรอยยับอยู่เต็มไปหมด ชายหนุ่มเพ่งมองตัวอักษรในจดหมาย เป็นลายมือของชูเซี่ยไม่ผิดแน่ ข้อความในจดหมายไม่สั้นไม่ยาว ‘เฉินเย่น ข้าขอออกไปนอกเมืองสักพัก รอจนงานมงคลของท่านเสร็จสิ้นจึงจะกลับไป ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ายังสบายดี!’ “นางไปที่ใดกัน ยังพูดอะไรอีกหรือไม่” หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นจากจดหมายพลางเอ่ยถามจูเก๋อหมิง น้ำเสียงมีความสงสัยปะปนอยู่ “เหตุใดเจ้าจึงไม่พานางกลับมาก่อนค่อยปรึกษาหารือกันเรื่องนี้ นางจากไปเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ เหตุใดจึงไม่พาเชียนซานตามไปอารักขาด้วยเล่า” จูเก๋อหมิงเอ่ยตอบ “ข้าหานางพบในวัดแห่งหนึ่งแถบชานเมือง ตอนที่ข้าพบนาง นางกล่าวว่าขอเวลาทำใจให้สงบสักพัก ทั้งยังฝากให้ข้ามาบอกเจ้า แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่เชื่อจึงให้นางเขียนจดหมายบอกแก่เจ้าด้วยตนเองว่านางปลอดภัยดีจะได้ไม่ทำให้เจ้าเป็นห่วง นางกล่าวว่าให้พวกเราเลิกตามหานางสักพัก เมื่อทุกอย่างดีขึ้นนางจะกลับมาเอง” ยามที่จูเก๋อหมิงเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาใบหน้าของเขาเรียบเฉยและสงบอย่างยิ่งทั้งยังสั้นและกระชับได้ใจความ เพราะคำพูดราวนี้เขาท่องอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ให้เกิดพิรุธอันใดทั้งสิ้น แต่ทว่าไม่ว่าเขาจะปั้นสีหน้านิ่งเฉยเล่าความเท็จอย่างไรแต่เพียงแค่หลี่เฉินเย่นสังเกตสักนิดก็สามารถรู้ได้ไม่ยากว่าน้ำเสียงของจูเก๋อหมิงสั่นเพียงใด ทว่าในใจของหลี่เฉินเย่นจมอยู่กับข้อความในจดหมาย หัวใจของเขายามนี้เต็มไปด้วยความละอายใจและเศร้าใจจึงไม่ได้จับสังเกตน้ำเสียงของสหายรักของตน จูเก๋อหมิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาเพียงหันกายหลับไปที่ชั้นตำราจากนั้นก็หยิบตำราออกมาหลายเล่มทั้งยังมีเสื้อผ้าอีกส่วนหนึ่งที่เขามักจะทิ้งไว้ในจวนเผื่อไว้ยามที่เขาต้องมพำนักที่จวนอ๋องแห่งนี้ หลี่เฉินเย่นมองเขาอย่างสงสัย “เจ้าจะเก็บข้าวของไปที่ใดกัน” จูเก๋อหมิงค่อยๆหันมองมองพร้อมยิ้มออกมาเบาบาง “ช่วงนี้ที่โรงหมอยุ่งมาก ข้าคาดว่าในระยะนี้คงไม่ได้กลับมานอนพักที่นี่นานพอดู” หลี่เฉินเย่นไม่ได้สงสัยอะไร เขาเพียงแค่นิ่งไปจากนั้นก็เอ่ยถาม “นางได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด” จูเก๋อหมิงไม่ได้หันหน้ากลับมามอง เขาพยายามระงับสติอารมณ์ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ท่านหมอหนุ่มเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ “นางไม่ได้บอก” หลี่เฉินเย่นนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าสิ้นหวังก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ “จูเก๋อ เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางจะกล้ำกลืนฝืนทนเรื่องเช่นนี้ได้หรือไม่” จูเก๋อหมิงโอบตำราหลายเล่มไว้ในอ้อมกอดจากนั้นก้หันกลับมามองเขา คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าคิดจะทำอะไร” หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ยิ้มเย้ยหยัน “ เปิ่นหวางจะทำอะไรได้เล่า” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความประชดประชัน จูเก๋อหมิงปั้นสีหน้ายากลำบาก “ชีวิตของฮองเฮาและตระกูลของพระองค์รวมถึงเหล่าคนที่จงรักภักดีต่อเจ้า ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าลองตรองดูให้ดีเถิด!” หลี่เฉินเย่นยิ้มเย็น “บางครั้งเปิ่นหวางก็อยากลองเดิมพันกับเสด็จพ่อดูเหมือนกันว่าหากเปิ่นหวางไม่ยอมทำตามรับสั่งของพระองค์ พระองค์จะส่งสังหารเปิ่นหวางได้ลงคอจริงหรือไม่ ” จูเก๋อหมิงขมวดคิ้ว “ขนาดอดีตฮ่องเต้ที่เป็นถึงบิดาแท้ๆพระองค์ยังสังหารได้ลงคอ ยังจะมีอะไรที่พระองค์ทำไม่ลงอีกหรือ หากเจ้าจะเดิมพันกับเสด็จพ่อของเจ้า ชนะก็นับว่าดี แล้วถ้าหากแพ้เล่า” หลี่เฉินเย่นไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ แม้ว่าเขาจะไม่อยากจะยอมรับเรื่องที่เสด็จพ่อเป็นผู้ลงมือสังหารอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นบิดาแท้ๆของตนเองก็ตาม แต่ทว่าอย่างไรเสียนี่ก็เป็นความจริงที่หลีกหนีไม่ได้ จูเก๋อหมิงถอนหายใจยาวๆ เขาหมุนกายเดินออกไปข้างนอก จวนอ๋องหนิงอานยามนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายมงคล โคมไฟสีแดงถูกประดับประดาทั้งจวน แต่ในสายตาของเขามันกลับเหมือนสีของเลือดเสียมากกว่า จูเก๋อหมิงอยากหนีออกไปให้พ้นจากจวนแห่งนี้ให้เร็วที่สุด เขาเกรงว่าอยู่ต่ออีกแม้แต่เพียงครึ่งก้านธูปก็อาจทำให้เขาไม่อาจกักเก็บความเจ็บปวดที่ล้นเอ่ออยู่ในใจได้อีกต่อไปจนเผลอระเบิดมันออกมา ในตอนนี้คนที่เขาอิจฉามากที่สุดก็คือหลี่เฉินเย่น เขาอิจฉาที่ชายหนุ่มไม่รู้อะไรเลย ส่วนเขาที่รู้ดีทุกอย่างกลับต้องแสร้งทำเป็นว่าชูเซี่ยหายตัวไปและหนีออกจากเมืองหลวงไปแล้ว งานแต่งงานถูกจัดขึ้นตามที่กำหนด เป็นเพราะหนิงอานอ๋องแต่งพระชายาเข้ามาในจวนทั้งยังเป็นพระประสงค์ขององค์ไทเฮา ดังนั้นจึงมีแขกเหรื่อมากมายมาเข้าร่วมงานมงคลครั้งนี้กันอย่างล้นหลาม บ่าวสาวจำเป็นต้องเข้าวังเพื่อทำการกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษและองค์ไทเฮาที่สุสานหลวงเสียก่อนจากนั้นจึงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวลอย่างยินดีพลางเอื้อมพระหัตถ์มาดึงมือของหลี่เฉินเย่นไว้ “วันนี้เรามีความสุขมากจริงๆ เฉินเย่น จากนี้ไปเจ้าต้องทำดีต่ออวี่จู๋ให้มากๆเข้าใจหรือไม่ นางเป็นหญิงสาวที่ดีพอให้ที่จะให้เจ้ามอบหัวใจไว้ที่นางได้ ส่วนเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วรวมถึงคนที่จากไปแล้ว สิ่งที่ควรลืมก็ควรลืมไปเสีย ปล่อยวางได้ก็ควรปล่อยวาง ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ยังอยู่อย่างเจ้าก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดีจึงจะทำให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจากไปอย่างหมดห่วง เข้าใจหรือไม่” หลี่เฉินเย่นกัดฟันตนเองจนเลือดซึมเพื่อระงับความเคียดแค้นและความเจ็บปวดในใจ ชายหนุ่มโค้งคำนับอย่างนอบน้อมทั้งที่ในใจหาได้รู้สึกเช่นนั้นไม่ “ลูกทราบแล้วพะย่ะค่ะ!” เมื่อพระองค์ทรงตรัสบอกจุดประสงค์ที่แอบแฝงมาแล้วก็ไม่ได้ตรัสอะไรออกมาอีก ฮองเฮาเป็นผู้เสด็จมาส่งพวกเขานอกท้องพระโรงด้วยพระองค์เอง จากนั้นพระองค์ก็หันมาเผชิญหน้ากับบุตรชาย พระหัตถ์บอบบางเอื้อมไปกุมมือบุตรชายของพระองค์ไว้ “ลูกรัก แม่รู้ว่าเจ้าลำบากใจเพียงใด แต่ทว่าต่อให้ชีวิตจะลำบากเพียงใดก็ต้องก้าวต่อไปให้ได้นะ” หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็หันกายกลับไปและกอบกุมมือเจ้าสาวของตนไว้เดินออกจากวังไปด้วยกันทีละก้าวๆ เฉินอวี่จู๋คลุมผ้าคลุมเจ้าสาวไว้ตลอด ทั้งสองคนไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ยามที่อยู่บนรถม้าหลี่เฉินเย่นไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา เฉินอวี่จู๋ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่มีแต่ความเงียบปกคลุมไปทั่วจนมาถึงจวนอ๋อง ในคืนนี้หลี่เฉินเย่นดื่มเหล้าเมามายจนแทบประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มเกือบจะดื่มกับแขกทุกคนที่ก้าวมาแสดงความยินดีและคาราวะเขา เสี่ยวซานจื่อที่ตามหลังเขาตลอดดื่มแทนเขาไปแล้วหลายแก้ว แต่ทว่าส่วนมากแล้วก็เป็นหลี่เฉินเย่นที่เป็นผู้ดื่มมันลงไป หลี่เฉินเย่นเมามายไม่อาจประคองสติได้อีกแล้วจนต้องให้คนประคองส่งไปถึงห้องหอ เฉินอวี่จู๋ที่นั่งคลุมผ้าคลุมเจ้าสาวอยู่บนเตียงเมื่อเห็นว่ามีคนประคองหลี่เฉินเย่นเข้ามาในห้องนางก็รีบร้อนลุกขึ้นเพื่อให้คนประคองเขามานอนบนเตียง เมื่อบ่าวรับใช้ออกไปจากห้องแล้ว ภายในห้องหอมีเพียงแสงสว่างจากเทียนมงคลสีแดงที่ส่องสว่าง น้ำตาเทียนที่ไหลลงมาบนโต๊ะหินอ่อนสีขาวทีละหยดๆจนแทบจะถูกย้อมไปด้วยน้ำตาสีแดง! เฉินอวี่จู๋ยืนฟังเสียงลมหายใจของชายหนุ่มข้างกายอยู่เป็นเวลานาน ร่างทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา นางจึงเลิกผ้าคลุมเจ้าสาวขึ้นจากนั้นก็เพ่งพินิจไปที่ชายหนุ่มบนเตียง ใบหน้าของเขากล่อเหล่าราวกับรูปสลัก รูปร่างล่ำสันทั้งยังถูกชุดสีแดงทำให้ดูงดงามราวกับภาพวาด นางมองเขาอย่างเหม่อลอย เพราะนางไม่เคยพบเขามาก่อน นางรู้เพียงว่าเขามีชายาเป็นถึงแม่ทัพพญาอินทรีย์ นิสัยห้าวหาญ สมชายชาตรี เป็นวีรบุรุษในสงคราม การที่นางได้มีโอกาสออกเรือนแต่งให้กับวีรบุรุษเช่นนี้ย่อมเป็นความปรารถนาในชีวิตของนางอยู่แล้ว นางอยากสั่งใช้สาวใช้ไปเตรียมผ้าเตรียมน้ำมาเช็ดใบหน้าให้เขาเหลือเกิน แต่ทว่าหากออกไปเช่นนี้คงอับอายผู้คนนัก นางจึงตัดสินใจใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเองมาซับหน้าให้เขาแทน แต่ทว่ามือบางของนางกลับถูกหยุดไว้ หลี่เฉินเย่นลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาเป็นประกายกดดันสร้างความตกใจให้แก่เฉินอวี่จู๋ยิ่งนักจนนางต้องรีบดึงมือกลับทั้งยังนำผ้าคลุมเจ้าสาวปิดลงมาเหมือนเดิม แม้ว่าจะมีเพียงแค่ครู่เดียวแต่ทว่าหลี่เฉินเย่นยังคงเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นขากนั้นก็กระชากผ้าคลุมหน้าของนางออก ดวงตาที่เป็นประกายยินดีของเขาค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเฉยชา เฉินอวี่จู๋ก้มหน้าลงนางจึงไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาได้ สายตาของนางจับจ้องเพียงผ้าคลุมเจ้าสาวสีแดงที่อยู่ในมือของเขาเท่านั้น รูปโฉมของนางคล้ายกับชูเซี่ยเมื่อสามปีก่อน หรือก็คือหลิวหยิงหลงเหลือเกิน แต่ทว่าเมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้วก็มีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง ใบหน้าของหลิวหยิงหลงนับว่างดงามกว่านางหลายส่วน หลายปีก่อนที่หลิวหยิงหลงแต่งเข้ามาที่จวน นางก็แสดงสีหน้าเขินอายและมีเสน่ห์เช่นนี้ หัวใจของเขาหวนคิดไปถึงเรื่องราวแต่เก่าก่อนอีกทั้งยังดื่มเหล้าไปมากมาย ความโกรธและความเศร้าก็แทบจะปกปิดไม่ได้อีกต่อไป ครั้งนั้นหากเขาไม่หูเบาเชื่อคำพูดของหลิวมี่เหอ ในวันนี้เขาและชูเซี่ยคงไม่ต้องมาลงเอยเช่นนี้ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นมาเต็มความสูงจากนั้นก็วิ่งออกไปจากห้องลาวกับสายลม เพียงแค่พริบตาเขาก็มาถึงเรือนโม่หลาน หลิวมี่เหอเองก็ยังไม่ได้เข้านอน วันนี้ในบรรยากาศในจวนครื้นเครงยิ่งนัก นางเพียงนั่งอย่างสงบฟังเสียงบรรยากาศงานมงคลรื่นเริงภายนอกแม้แต่หัวใจของนางก็เฉยชาตามไปด้วย นางรู้ว่าหลี่เฉินเย่นแต่งพระชายาเข้าจวน ทั้งยังรู้ว่าคนที่เขาแต่งด้วยไม่ใช่ชูเซี่ย แรกเริ่มเดิมทีนางก็สับสนแต่ทว่าเมื่อได้ยินว่าคนที่เขาแต่งด้วยคือคุณหนูตระกูลเฉินก็เข้าใจได้ในทันที นางยิ่งตระหนักได้ดีว่าเขายังไม่อาจปล่อยวางพี่สาวของนางได้ สามปีมาแล้วเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางนางได้ นางเคยพบเฉินอวี่จู๋มาก่อน เฉินอวี่จู๋และหลิวหยิงหลงมีรูปโฉมคล้ายกันยิ่ง ยามที่เป็นเพียงดรุณีทั้งคู่ก็เหมือนกันถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ทว่านางก็ไม่ได้พบเฉินอวี่จู๋มาหลายปีแล้ว ยามนี้นางมีรูปโฉมเช่นใดก็สุดจะรู้ แต่ทว่าก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนักหรอก เมื่อนึกถึงชูเซี่ย นางก็อดนึกถึงท่านหมอหญิงผู้น่าสงสารคนนั้นไม่ได้ เดิมทีนึกว่านางมีวิชาการแพทย์ทั้งยังเป็นที่หมายปองของท่านอ๋อง แต่ทว่าสุดท้ายนางกลับไม่ได้ครองตำแหน่งที่ตนเองสมควรได้เสียนี่ ในช่วงเวลาที่นางกำลังรู้สึกผิดหวังอยู่นั้นก็มีเงาสายหนึ่งเคลื่อนเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันที่นางจะรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้นมาใบหน้าก็หันไปตามแรงกระแทกเสียก่อน แรงที่ตบลงมาที่แก้มของนางไม่ผ่อนแรงแม้แต่น้อยจนนางถึงกับมึนงงและทรุดลงไปกองกับพื้นทันที นางส่ายศีรษะเล็กน้อยเพื่อขับไล่ความมึนงงจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปสบเข้ากับสายตาอำมหิตของหลี่เฉินเย่น นางจึงค่อยๆเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของท่านอ๋องไม่ใช่หรือเพคะ เหตุใดจึงไม่เข้าหออยู่กับเจ้าสาวแต่กลับปลีกตัวมาหาหม่อมฉันได้เล่า?”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 102 นึกถึงเพื่อนเก่า
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A